ตอนที่31 : ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอกให้ได้
ผมเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเธออย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในช่วงกลางฤดูหนาว เมื่อตอนปีแรกของชีวิตม.ปลายกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายๆ
วันนั้น ผมพลาดรถบัสขากลับจากงานพิเศษ และเพื่อลดการขาดการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ผมเลยตัดสินใจเดินกลับบ้านแทน
ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจนดูเหมือนหิมะอาจตกลงมา ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่ไม่นั่งรอรถบัสเที่ยวถัดไป
แต่แล้ว ผมก็ได้ยินเสียงไม่คุ้นหูดังมาจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยซึ่งอยู่ติดกับทางเท้า
ราวกับผมถูกดึงดูดโดยเสียงนั้น ผมชะโงกหน้ามองผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ริมถนนก่อนจะเห็นว่ามีรั้วตาข่ายสูงอยู่ด้านหน้า
ภายใต้แสงไฟที่สว่างจ้าท่ามกลางความมืด มีสนามเทนนิสเรียงรายอยู่หลายสนาม
ผมพึ่งจะรู้ว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นี้คือเสียงลูกเทนนิสถูกตี
และในชั่วพริบตานั้น ผมก็ถูกดึงดูดสายตาไปยังบุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่ในสนาม
เด็กสาววัยเดียวกับผม เธอสวมชุดเทนนิสแขนยาว แม้จะเป็นฤดูหนาวแต่เหงื่อกลับไหลรินทั่วร่าง เธอวิ่งไปทั่วสนามอย่างคล่องแคล่ว
ผมรู้ทันทีว่าเธอคือ อาซาฮิ ฮิคารุ
“เอาล่ะ! อันนี้ลูกสุดท้าย!”
“ฮึ่บ!”
หญิงสาวที่น่าจะเป็นโค้ชตีลูกเทนนิสไปยังจุดที่ยากที่สุด แต่เธอกลับพุ่งตัวไปรับได้ทันและส่งลูกกลับไปอย่างเฉียบคม
เธอเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในรุ่นของผม
แน่นอนว่าผมรู้ทั้งชื่อ ทั้งใบหน้า แล้วรู้ด้วยว่าเธอเล่นเทนนิส
แต่ภาพที่ผมเห็นในสนามเทนนิสตอนนี้กลับดูแตกต่างออกไปจากที่เคยจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
“เยี่ยมเลย! ลูกสุดท้ายเมื่อกี้ตีได้ดีมากเลยนะ! ถ้าเป็นตอนแข่งต้องได้แต้มแน่ๆ!”
“งั้นเพื่อไม่ให้ลืมจังหวะเมื่อกี้ เรามาซ้อมต่อกันเลยเถอะ คราวนี้เพิ่มความเร็วขึ้นอีกหน่อย เป็นยี่สิบลูกดีไหม?”
“อื้ม! พอดีหนูเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาหน่อยแล้ว ถ้าจะให้ดีเพิ่มเป็นสามสิบลูกเลยก็ได้นะ!”
“พูดแบบนี้แล้วห้ามมาบ่นทีหลังนะ? เราจะซ้อมจนกว่าเธอจะทำได้เลยล่ะ”
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ! แต่ขอถอดเสื้อแขนยาวก่อนนะ เริ่มร้อนแล้วล่ะ… เอาล่ะ มาเลย!”
เธอถอดเสื้อแขนยาวออก เหลือเพียงเสื้อแขนสั้นตัวเดียว
แค่เห็นก็รู้สึกหนาวแทนแล้ว แต่เธอกลับไม่สนใจและเดินหน้าซ้อมต่อ
ลูกบอลถูกส่งออกไปซ้ายขวาสลับกัน และเธอก็วิ่งไปรับก่อนจะส่งกลับไปยังฝั่งตรงข้าม
การวิ่งอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากออกซิเจนนานกว่าหนึ่งนาที
ไม่มีทางที่มันจะไม่เหนื่อย
แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของเธอกลับประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะบอกว่า “ฉันสนุกกับเทนนิสสุดๆเลยล่ะ!”
ท่ามกลางสนามที่เต็มไปด้วยแสงไฟ เธอเป็นสิ่งที่ส่องประกายโดดเด่นที่สุด
ผมรู้สึกว่าเธอเท่กว่าตัวเอกในเกมทุกเกมที่ผมเคยเล่นมาเลย
มองย้อนกลับไปแล้ว มันคงเป็นแค่ความประทับใจครั้งแรกที่แสนจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ผมมั่นใจว่ามีผู้ชายอีกหลายสิบหลายร้อยคนที่รู้สึกแบบเดียวกันกับผม
แต่แน่นอนว่า สำหรับผมที่เป็นแค่เด็กหนุ่มไร้ตัวตนที่อยู่ในมุมมืดของสังคม ไม่มีทางเลยที่ผมจะเข้าใกล้เธอได้
ผมกับเธออยู่กันคนละโลก
เธอเป็นดวงดาวที่เปล่งประกายในสนามภายใต้แสงไฟ ในขณะที่ผมทำได้แค่ยืนมองจากในเงามืด
รั้วตาข่ายที่กั้นอยู่ระหว่างพวกเราสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในสถานะระหว่างผมกับเธออย่างชัดเจน
และแล้ว ความรู้สึกในวันนั้นก็ถูกเก็บเป็นอดีตภายในเวลาไม่ถึงเดือน…
จนกระทั่งวันนั้น วันที่เธอเป็นฝ่ายเข้ามาทักผมบนรถบัส
“เรย์ยะคุง ช่วยเอานี่ไปให้โต๊ะหมายเลขสองหน่อยนะ”
“…อื้ม”
ภายในร้าน มินาโมริเท ผมช่วยอิจิรุซังเสิร์ฟอาหารจากเคาน์เตอร์ไปยังโต๊ะลูกค้า
『พวกอัจฉริยะนี่เปราะบางกว่าที่คิดเยอะเลย』
ตั้งแต่วันนั้น คำพูดของรุ่นน้องสองคนนั้นก็ไม่เคยออกจากหัวของผมเลย
ขนาดผมที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรยังรู้สึกเจ็บใจขนาดนี้
แล้วอาซาฮิซังล่ะ… เธอจะเจ็บปวดขนาดไหนกัน?
ผมอยากทำอะไรสักอย่างให้เธอ
แต่ในขณะเดียวกัน ในใจลึกๆผมก็รู้ดีว่า “ผม” ไม่มีทางช่วยอะไรเธอได้เลย
“เรย์ยะคุง? เอ๊ะ… หน้าซีดจัง? เป็นอะไรรึเปล่า?”
อิจิรุซังชะโงกหน้ามาจากในครัวมองผทอย่างเป็นห่วง
ดูเหมือนว่าหน้าของผมจะเผลอเผยความรู้สึกออกมาโดยไม่รู้ตัว
“หืม? เปล่านี่… ผมก็เป็นแบบนี้ตามปกตินั่นแหละ…”
“ถ้ารู้สึกไม่ดีก็อย่าฝืนนะ? ถึงไม่มีเธอฉันก็พอจัดการร้านคนเดียวได้นะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ… เอาล่ะ นี่ของไทจูซังใช่ไหม?”
“ใช่จ้ะ ฝากเอาไปให้หน่อยนะ แล้วก็ช่วยบอกเขาด้วยว่าขอบคุณที่มาอุดหนุนเสมอเลยนะ”
ผมปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติแล้วนำจานอาหารไปเสิร์ฟที่เคาน์เตอร์
“โอ้ มาแล้วๆ”
ไทจูซังเลื่อนโน้ตบุ๊กที่กำลังใช้งานอยู่ไปด้านข้างและเตรียมพร้อมกินอาหาร
“ขอบคุณที่อดทนรอครับ แล้วก็… อิจิรุซังฝากบอกว่าขอบคุณที่คอยอุดหนุนมาเสมอเลยนะครับ”
“เฮ้อ… อาหารอร่อยขนาดนี้ ถ้าให้มาทุกวันก็คงไม่เบื่อเลยล่ะ! …แต่จะให้ฉันพูดเองตรงๆน่ะ มันก็… “
ถึงหน้าตาจะดูเข้มแข็ง แต่ท่าทางที่เขาไม่กล้าเอ่ยคำขอบคุณตรงๆออกไปนั้นก็ทำให้รู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้ต่างจากผมมากนัก
แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเดินกลับไปทำงานต่อ…
“เรย์ยะ! มีประกาศออกมาแล้วนะ!”
“อะไรหรอครับ?”
“เกมใหม่ของ Plum! ประกาศว่าจะวางขายปลายปีนี้เลย! คลิปตัวอย่างก็มาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเกมสเกลใหญ่แนว Soul like แบบ Open world เลยนะ!”
ในตอนปกติ ผมคงจะตื่นเต้นจนทำงานไม่รู้เรื่องแน่
แต่ตอนนี้… เรื่องของ อาซาฮิซังทำให้ผมไม่มีอารมณ์สนใจเลยจริงๆ
“เชอะ… นายมันพวกไม่เอาไหนจริงๆเลยนะเนี่ย วันวางขายคือช่วงปลายปีเหรอ… ยังอีกไกลเลยแฮะ แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ฉันต้องสะสางเรื่องยุ่งยากทั้งหมดให้หมดเพื่อที่จะได้ต้อนรับมันด้วยสภาพที่ดีที่สุดล่ะนะ”
คำพูดที่หลุดออกมาจากข้างหลังอย่างไม่ตั้งใจนั้น ทำให้เท้าของผมหยุดชะงัก
“ไทจูซัง เมื่อกี้… พูดว่าอะไรนะครับ?”
“หืม? ก็บอกว่าเกมใหม่ออกช่วงปลายปีไง…”
“ไม่ใช่ตรงนั้นครับ หลังจากนั้นไปอีก!”
“ยะ อยู่ๆเป็นอะไรของนายเนี่ย? ฉันแค่บอกว่าอยากสนุกกับเกมฟอร์มยักษ์ในสภาพที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลยเท่านั้นเอง… มันก็เหมือนเป็นมารยาทของเกมเมอร์ไม่ใช่รึไง?”
ไทจูซังพูดพลางเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางลนลาน
“อย่างงี้นี่เอง… เป็นแบบนี้เองสินะ…”
ใช่แล้ว…
สิ่งที่ผมเท่านั้นที่จะทำได้…
“อิจิรุซัง…! ขอโทษนะครับ! วันนี้ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ!!”
ทันทีที่ผมรับรู้ถึงเรื่องนั้น ผมก็ทนอยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไป
“เฮ้ย! นี่นายเป็นอะไรของนายเนี่ย!?”
“เอ๊ะ? คะ เรย์ยะคุง!? เดี๋ยวก่อนสิ จะกลับก็กลับได้แหละ แต่เครื่องแบบของร้านน่ะ–“
ผมออกไปโดยไม่ฟังเสียงของอิจิรุซังที่ดังมาจากด้านหลังแล้ววิ่งออกมาจากร้านทั้งๆที่ยังใส่ชุดพนักงานอยู่
แล้วผมก็วิ่งสุดกำลังไปตามถนนที่เชื่อมไปยังบ้านของผม
เวลาเกือบ 19:00 น. ในวันศุกร์
ผมวิ่งฝ่ากลุ่มคนที่กำลังเดินทางกลับบ้านบนถนนอย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้แต่วินาทีเดียวก็ต้องเร็วขึ้นอีก
เพื่อที่จะไปให้ถึงตัวเธอที่กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังในตอนนี้
แต่แน่นอนว่าวิ่งไปได้ไม่กี่นาที ผมก็เริ่มหายใจหอบ แถมขาก็เริ่มหนักอึ้ง
“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้… น่าจะ… ออกกำลังกาย… ให้มากกว่านี้… ตั้งแต่แรกก็ดี…”
ผมหายใจหอบพลางก้าวเท้าหนักๆทีละก้าวไปข้างหน้า
จริงๆแล้วผมวิ่งออกมาด้วยแรงกระตุ้น แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
ผมเกลียดความโง่ของตัวเองชะมัด
ผมมันเป็นคนไม่ได้เรื่องจริงๆ
เป็นพวกเก็บตัว เป็นโอตาคุ เรียนก็ไม่เก่ง เล่นกีฬาก็ไม่ได้ แถมยังเอาแต่โดดเรียนอีก
ผมไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบละครวัยรุ่นเลือดร้อนเหมือนที่พวกคนเข้าสังคมเก่งเขาทำกันในวัยนี้หรอก
แต่ถึงจะเป็นคนไม่ได้เรื่องแบบนั้น ผมก็หาคำพูดที่พูดได้ในที่สุด
ผมก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่หยุด
ผมไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่ผมรู้สึกว่าเธอต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ
เมื่อผมเข้าใกล้สถานที่นั้น เสียงที่ผมเคยได้ยินในตอนนั้นก็ดังขึ้นมา
“อาซาฮิซัง…!!”
ผมพิงร่างกายที่อ่อนล้าไว้กับรั้วตาข่ายแล้วรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเรียกชื่อนั้น
สนามเดียวกับตอนนั้น
เธอนั่งอยู่ข้างๆคนที่ดูเหมือนจะเป็นแม่บนม้านั่ง ไม่นาน เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้น
หลังจากที่รู้ว่าเป็นผมที่เรียกเธอ เธอก็เช็ดเหงื่อแล้ววิ่งมาหาผม
“คะ คาเงยามะคุง…? เอ๊ะ? ทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะ…?”
“แฮ่ก… แฮ่ก… ขอโทษ… ที่มาแบบ… กะทันหัน…”
ผมจับรั้วตาข่ายแล้วมองหน้าเธอให้แน่ชัดพลางพูดออกมา
“แต่ฉันมีเรื่องที่อยากจะบอกอาซาฮิซังให้ได้…”
“…บอกฉันเหรอ?”
“ใช่… ฉันอยากจะบอกเธอให้ได้ด้วยปากของฉันเอง…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิ่งมาหรือเพราะตื่นเต้น แต่หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา
“…เรื่องอะไร?”
อาซาฮิซังยืนอยู่หลังรั้วตาข่ายแล้วมองผมด้วยสีหน้าตึงเครียด
ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเธอที่แดงเล็กน้อย แล้วตัดสินใจพูดออกมา
“เธอน่ะ ยังไม่รู้จัก… ประสบการณ์การเล่นเกมที่สนุกสุดยอดจริงๆหรอก!!”
MANGA DISCUSSION