ตอนที่30 : เรื่องที่ผมเท่านั้นที่ทำได้
“ไม่ ไม่ๆๆ… ฉันเพิ่งรู้จักเธอได้ไม่นานเองนะ ถ้าจะให้พูดถึงคนที่สนิทกันมานานแล้วเข้ากันได้ดีมาตลอด คนอย่างฮิโนะซังน่าจะเหมาะสมกว่าเยอะ…”
ผมเป็นแค่เพื่อนเล่นเกมหรือไม่ก็แค่พวกชวนกันโดดงานเท่านั้นแหละ
ถ้าเทียบกับฮิโนะซังแล้ว ทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถม ครอบครัวของฝั่งนั้นก็ไว้ใจถึงขั้นให้ดูแลเธอ
ผมคิดว่าเธอน่าจะเหมาะกว่าอย่างชัดเจน แต่ว่า—
“ฉันทำไม่ได้”
เธอปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด
“มะ หมายความว่ายังไง…?”
“ฉันเป็นหนึ่งในคนที่คาดหวังในตัวฮิคารุมากเกินไป…”
“คาดหวัง?”
“ใช่ ต่อให้ตอนนี้ฉันจะพยายามเชียร์ให้ฮิคารุสู้ต่อไปมากแค่ไหน สุดท้ายมันก็กลายเป็นการกดดันสำหรับเธอเท่านั้น…”
เธออยากจะให้กำลังใจ แต่กลับทำไม่ได้
เสียงของเธอสั่นไหวเล็กน้อย อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงความไร้พลังของตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเพื่อนรักได้
“แต่กับนายไม่ใช่แบบนั้นนี่? ฉันไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคนทำอะไรกันบ้าง… แต่ถ้าให้พูดตามตรงก็คือ นายเป็นคนไม่ดีที่พยายามดึงฮิคารุไปนอกลู่นอกทางสินะ?”
“นะ นอกลู่นอกทาง…? ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง…”
ก็แค่เล่นเกมด้วยกันก็โดนกล่าวหาแรงขนาดนี้เลยเหรอ?
…แต่ถ้าพูดว่าเป็นผมที่ชวนให้เธอโดดซ้อมก็ปฏิเสธไม่ออกเหมือนกัน
“ยังไงก็เถอะ ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้ฮิคารุพึ่งพานายอยู่ ถ้าใช้วิธีที่ถูกต้อง บางทีนายอาจช่วยให้เธอกลับมาได้ก็ได้นะ?”
“ช่วยให้กลับมา…? แต่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวเป็นแบบนั้นเพราะอะไร…”
“สาเหตุน่ะฉันรู้… คิดว่านะ…”
“เอ๊ะ? จริงเหรอ?”
พอผมถามอย่างกระตือรือร้น ฮิโนะซังพยักหน้าเบาๆ
“ตอนปีหนึ่ง… ก่อนปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิไม่นาน ฉันคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นอาการบาดเจ็บที่เธอได้รับในตอนฝึกซ้อม”
“บาดเจ็บ? แต่ตอนนี้เขาก็ดูปกตินี่…”
เดิน วิ่ง ตีลูกด้วยไม้แร็กเกต ทุกอย่างดูปกติดี
สาเหตุคืออาการบาดเจ็บงั้นเหรอ? มันดูไม่ค่อยเกี่ยวกันเลย
“ใช่ อาการบาดเจ็บหายน่ะหายไปนานแล้ว มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ภายในไม่ถึงสองสัปดาห์ก็กลับมาเป็นปกติ”
“งั้นทำไมถึง…”
“เพราะว่าเธอบาดเจ็บที่เข่าข้างซ้าย”
“เข่าข้างซ้าย… อ๊ะ…”
ผมเข้าใจทันทีถึงความหมายหนักแน่นในคำพูดของเธอ
เข่าซ้าย…
มันเป็นบริเวณที่ทำให้แม่ของอาซาฮิซังต้องเลิกเล่นเทนนิส
ผมนึกถึงตอนที่พวกเราไปเที่ยวกันและอาซาฮิซังสะดุดกับขั้นบันได สีหน้าของเธอในตอนนั้น…
เธอเผลอใช้เท้าซ้ายเหยียบลงไปก่อน
ถ้าอาการบาดเจ็บในอดีตกลับมาในความทรงจำเพราะเหตุการณ์นั้น ทุกอย่างที่พูดมาก็สมเหตุสมผล
“เพราะงั้น ฉันเลยคิดว่าเธอคงกลัว… กลัวว่าถ้าตัวเองเป็นเหมือนมิสึกิซัง เธอจะไม่สามารถทำตามความฝันได้อีกต่อไป… ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องแบกรับความฝันของคนอื่นไว้เลยสักนิด… ทั้งฉันฉันกับมิสึกิซังไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้นด้วยซ้ำ…”
ฮิโนะซังถอดแว่นออกมาเช็ดน้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่
เธอแบกรับความฝันของคนอื่นไว้…
เมื่อคืนก่อน ผมก็รู้สึกถึงอะไรแบบนั้นจากคำพูดของเธอเหมือนกัน
“เพราะแบบนั้น ฉันถึงช่วยเธอไม่ได้…”
“ฉันเข้าใจเหตุผลแล้ว แต่… ให้ฉันช่วยแทนเนี่ยนะ…”
จริงอยู่ที่ตอนนี้อาซาฮิซังพึ่งพาผม
มันไม่ใช่ความอวดดีของผมที่คิดเอาเอง หลักฐานก็มาจากการที่เธอเลือกจะมาหาผมหลังจากทะเลาะกับแม่แล้ว
ไม่ใช่เพราะผมเข้มแข็งหรืออะไร แต่เพราะผมยอมให้เธอหนีจากความจริงก็เท่านั้น
การดึงเธอไปในหนทางที่ง่ายกับการทำให้เธอเผชิญหน้ากับความเป็นจริงมันไม่เหมือนกันเลยสักนิด…
“ขอโทษนะ… ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยาก… แต่ฉันเองก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำยังไงต่อไป…”
“…เข้าใจแล้ว ฉันเองก็ไม่คิดว่าสภาพของอาซาฮิซังในตอนนี้จะดีนักหรอก ยังไงฉันจะลองดูเท่าที่ทำได้”
“ขอบคุณนะ… ฝากด้วย…”
เสียงของเธอเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
ถึงแม้ว่าผมยังรู้สึกว่ามันเกินกำลังของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยต่อเธอที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าได้
ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะช่วยอาซาฮิซังได้ยังไง…
*****
สุดท้าย เวลาก็ผ่านไปหลายวันโดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ผมทำได้แค่เฝ้าดูอาซาฮิซังจากที่ไกลๆ
จากภายนอก เธอก็ยังดูเป็นปกติเหมือนเดิม
ไม่มีใครคิดเลยว่าเธอจะกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาลที่ไม่อาจหันกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอรักได้
และวันหยุดนี้ เธอก็มีการแข่งขันนัดสำคัญรออยู่
ฮิโนะซังบอกว่าถ้าเธอชนะจะได้รับโอกาสไปแข่งในรายการใหญ่ระดับนานาชาติ
แต่เธอเองก็ไม่เคยพูดถึงมันให้ผมฟังเลย
แล้วผมจะช่วยเธอได้ยังไงกันล่ะ?
เธอที่แบกรับความฝันของทั้งแม่และเพื่อนสนิทไว้
ผมไม่มีทางเข้าใจถึงภาระที่เธอแบกอยู่เลยด้วยซ้ำ
จะให้พูดว่า “สู้ๆ” งั้นเหรอ? “เธอทำได้แน่”? หรือแค่บอกว่า “ฉันก็เชียร์เธออยู่นะ”?
ไม่ได้… มันไม่ได้ผลหรอก
ตอนนี้เธอพึ่งพาผมแค่เพราะมันสบายกว่า ไม่ใช่เพราะผมช่วยเธอได้จริงๆ
ถ้าผมพูดอะไรแบบนั้นไปตอนนี้ มันจะกลายเป็นอีกหนึ่งความกดดันให้เธอแทน
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความไร้พลังของตัวเอง
บางที… ผมควรปล่อยให้เวลาช่วยจัดการทุกอย่างเอง
ในตอนที่ผมยังจมอยู่ในความคิด เสียงกริ่งบอกหมดคาบที่สี่ก็ดังขึ้น
ผมหยิบข้าวกลางวันที่ซื้อมาจากกระเป๋า—
“แย่ละ… ลืมซื้อข้าวมาแฮะ…”
ผมมัวแต่คิดเรื่องนี้จนลืมไปเลย
“ไปโรงอาหารก็แล้วกัน…”
ผมส่งข้อความบอกฮายาโตะกับยูมะว่าฉันจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง…
“อ่า…น่าเบื่อชะมัด…ทำไมต้องไปเชียร์วันเสาร์ด้วยเนี่ย…”
ผมได้ยินเสียงสนทนาของกลุ่มเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“ก็เป็นแมตช์สุดท้ายก่อนที่รุ่นพี่จะเลิกเล่นแล้วนี่ อย่างน้อยก็ควรไปให้กำลังใจหน่อยสิ”
“แต่ก็แค่รุ่นพี่ที่เราเพิ่งรู้จักไม่ถึงสองเดือนเองนะ แทบไม่มีความทรงจำอะไรด้วยซ้ำ”
พวกเธอพูดคุยกันด้วยท่าทีสนุกสนาน จากเนื้อหาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นนักกีฬาปีหนึ่งที่พูดถึงเรื่องในชมรมอยู่
“แถมบางทีก็รู้สึกหมั่นไส้ด้วยซ้ำ แค่เกิดก่อนสองปีทำเป็นวางท่าใส่ ถ้าแพ้เร็วๆไปเลยจะได้โล่งสองเท่าอีกต่างหาก”
“ฮะๆ แต่ว่า…แมตช์นี้คนๆนั้นก็น่าจะลงแข่งด้วยไม่ใช่เหรอ…อืม…ใครแล้วนะ?”
“อ้อ…รุ่นพี่อาซาฮิ ปีสองใช่ปะ?”
พอได้ยินชื่อที่คุ้นเคย มือของผมที่กำลังถือช้อนอยู่ก็หยุดลงทันที
“ใช่ๆ! ได้ยินว่าเก่งมากเลยใช่มะ?”
“แน่นอน ปีที่แล้วเธอชนะการแข่งขัน All Japan Junior โดยไม่เสียแม้แต่เซตเดียวเลยนะ จริงๆแล้วเธอสามารถไปเป็นนักกีฬามืออาชีพได้เลยด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องมาเรียนมัธยมปลายก็ยังได้ ถ้าเดินสายแข่งไปเรื่อยๆ รุ่นพี่ของเราน่าจะต้องเจอกับเธอในรอบสาม”
“โห…น่าสงสารอ่ะ แต่นั่นก็หมายความว่าเราคงได้กลับบ้านเร็วขึ้นสินะ”
“อ้อ…แต่ฉันได้ยินข่าวลือที่ค่อนข้างน่ากลัวเกี่ยวกับเธอด้วยนะ”
เด็กสาวที่ดูเหมือนจะเป็นสมาชิกชมรมเทนนิสลดเสียงลงอย่างจริงจัง
“หือ? ข่าวลืออะไร? หรือว่าเรื่องผู้ชาย?”
“ไม่ใช่ๆ เพื่อนที่เรียนในชมรมเดียวกันตอนมัธยมต้นได้ยินมาว่าช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิเธอได้รับบาดเจ็บที่เข่า ถึงจะไม่ใช่การบาดเจ็บหนักแต่หลังจากนั้นเธอก็มีปัญหาด้านจิตใจจนไม่สามารถก้าวขาเข้าหาลูกเทนนิสได้อีก”
“เห…จริงเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าหนักใจอยู่นะ”
“ก็แค่ข่าวลือน่ะ แต่ถ้าจริงก็น่าแปลกใจเหมือนกันเนอะ พวกอัจฉริยะก็เปราะบางกว่าที่คิดเยอะเลย แค่เจ็บตัวนิดหน่อยถึงกับจิตตกเนี่ยนะ? นักกีฬามันก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดาไม่ใช่รึไง?”
“แต่จะว่าไปก็เถอะ ทั้งสวย ทั้งเรียนเก่ง แถมยังเก่งกีฬาอีก น่าอิจฉาจะตาย ถ้าข่าวลือนั่นเป็นความจริงก็คงรู้สึกสะใจนิ—”
–ปัง!!
รู้ตัวอีกที ผมก็ลุกขึ้นแล้วทุบโต๊ะเสียงดังสนั่น
“เอ๊ะ…? อะไรอ่ะ…น่ากลัวจัง…”
เด็กสาวปีหนึ่งทั้งสองคนเงียบกริบแล้วมองผมด้วยสีหน้าตกใจ
ไม่ใช่แค่พวกเธอ แต่รอบๆก็มีสายตาหลายคู่หันมามองด้วยความสงสัย
…พวกเธอไม่รู้อะไรเลยแท้ๆแต่ยังพูดจาส่งเดชแบบนั้นได้อีกนะ
คนที่ต้องแบกรับทั้งความฝันทั้งของตัวเองทั้งของคนอื่นมาโดยตลอดแบบเธอ ตรงไหนกันที่เรียกว่าเปราะบาง…?
ความโกรธของผมพุ่งขึ้นสูงจนแทบระเบิดออกมา แต่ผมก็กัดฟันอดทนไว้
ถ้าผมโวยวายอะไรออกไปตอนนี้ มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
แถมข่าวลือนั่นอาจจะยิ่งถูกเติมแต่งจนแพร่กระจายหนักกว่าเดิมด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น…ผมเองก็ยังไม่รู้จักเธอมากพอจะพูดอะไรได้อย่างมั่นใจ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งลงอย่างช้าๆ
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหยิบช้อนขึ้นมากินต่อ
พอเห็นผมทำแบบนั้น บรรยากาศรอบตัวก็กลับมาเป็นปกติ
พวกเด็กปีหนึ่งสองคนเองก็รีบกินข้าวให้เสร็จแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดถึงเรื่องเดิมอีก
MANGA DISCUSSION