ตอนที่25 : แลกเปลี่ยนข้อมูล
แย่แล้วๆๆๆ
เย็นวันอังคารในตอนที่ผมนั่งอยู่ในห้องตัวเองพร้อมกับแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ตรงหน้า ผมก็ได้แต่กุมขมับ
อีกแค่สองวันก็จะถึงวันสอบแล้ว
แต่ผมดันเอาวันหยุดทั้งสองวันไปเล่นเกมจนหมด
วันแรกที่โดดเรียนไปกับอาซาฮิซังน่ะพอเข้าใจได้ แต่วันที่สองนี่คือเกินไปจริงๆ
ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า ‘Defect’ ที่มันอ่อนแอเกินไปทำให้ผมไม่สามารถผ่านด่าน A20 และปราบบอสสุดท้ายได้ซักที
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ผมได้สอบตกแน่ๆ
แล้วถ้าตก ก็ต้องเข้าเรียนเสริม เสียเวลาเข้าไปอีก ไหนจะถูกส่งเรื่องไปถึงพ่อแม่ที่อินเดียอีก
ถึงพ่อแม่จะไม่เข้มงวดเรื่องการเรียนมากนัก แต่ถ้าถึงขั้นสอบตก เรื่องคงไม่จบง่ายๆแน่
ที่แย่ที่สุดคือ พวกเขาอาจจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบผ่านอิจิรุซัง หรือแย่ไปกว่านั้น—ตัดอินเทอร์เน็ตที่พวกเขาเป็นคนจ่ายให้
แบบนั้นต้องไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
จะทำยังไงดีล่ะ…?
เรียกฮายาโตะกับยูมะมาช่วยดีไหม…? รวมพลังพวกเนิร์ดสุดขั้วสามคน อาจจะพอไหว…?
ไม่สิ เอาพวกตกอันดับท้ายๆมารวมกันมีแต่จะพากันเล่นเกมมากกว่าติวหนังสือ
แบบนี้มีทางเดียวเท่านั้น
ถึงจะไม่อยากพึ่งพาเลยก็เถอะ…
ผมหยิบมือถือขึ้นมา เปิดแอป ‘PINE’ แล้วพิมพ์ข้อความส่งไป
“ช่วยสอนติวสอบให้หน่อยครับ ค่าตอบแทนคือ—”
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น คนที่ผมติดต่อไปก็มาถึง
“โย่ว มาแล้วเว้ย”
“ขอโทษที่เรียกมากะทันหัน… เชิญเข้ามาก่อนครับ”
ผมต้อนรับไทจูซังเข้าห้องราวกับแขกผู้มีเกียรติ
“โอ้ ห้องใช้ได้นี่นา นี่เป็นรังรักที่นายกับฮิคารุเอาไว้จู๋จี๋กันสินะ”
“เปล่าครับ! ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย…”
(ถึงตอนนั้นมันจะมีจังหวะเผลอกอดกันไปก็เถอะ… แบบนั้นถือว่าเป็นการ ‘จู๋จี๋’ รึเปล่านะ…?)
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้วเดินตามเข้าไปในห้อง
วันนี้ไทจูซังก็ยังใส่เสื้อยืดลายแปลกๆเหมือนเดิม แถมยังถือกระเป๋าใบเบ้อเริ่มมาด้วย
พอเขาวางมันลงบนพื้น เสียงกระแทกหนักๆก็ดังขึ้นจนผมสงสัยว่าข้างในมันมีอะไรกันแน่
“เชิญดื่มครับ… ถึงจะเป็นชาธรรมดาๆก็เถอะ”
ผมวางแก้วชาที่เตรียมไว้ลงบนโต๊ะ
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า… เรื่องค่าตอบแทนนั่น พูดจริงใช่ไหม?”
น้ำเสียงของไทจูซังเหมือนพวกแก๊งค้ายาที่กำลังต่อรองข้อตกลงใหญ่
“ครับ ถ้าผมรอดพ้นจากการสอบตกได้—หลังสอบไปสองอาทิตย์ วันที่ผมทำงานพิเศษทุกวัน ผมจะคอยพูดให้คะแนนไทจูซังต่อหน้าอิจิรุซังอย่างแนบเนียนให้เอง”
“โอเช ดีลเลย!”
ค่าตอบแทนสูงสุดที่ผมสามารถเสนอให้ได้ ไทจูซังรับมันไปอย่างไม่ลังเล
เขาเป็นถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยโตเกียว คณะวิทยาศาสตร์สาขาที่ 1
เรียกได้ว่าเป็นเหมือน ‘อัศวินถือหอกเงิน’ ที่จะช่วยแบกผมในช่วงเวลายากลำบากของเกม
“แล้วอยากให้สอนวิชาไหนอ่ะ?”
“ตอนนี้คณิตศาสตร์แย่สุดเลยครับ อยากให้ช่วยติวเรื่องในส่วนนี้ก่อน…”
ผมหยิบหนังสือแบบฝึกหัดออกมาแล้วเปิดตรงหน้าช่วงที่ต้องสอบ
“อ่ะ… เก็บๆไปเหอะ ไม่ต้องใช้หรอก”
ไทจูซังปัดหนังสือออกจากโต๊ะเหมือนมันเป็นของไร้ค่า
“เอ๊ะ…? แต่ไม่ต้องใช้โจทย์ แล้วจะเรียนกันยังไง—”
ก่อนที่ผมจะถามจบ เขาก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดเล่มนึงออกมา
“อาจารย์คณิตศาสตร์ที่สอนอยู่เป็นใคร?”
“เอ่อ… อาจารย์ไซโต้ครับ…”
“ไซโต้สินะ… อ๊ะ นี่ไง เจอแล้วๆ”
เขาเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดอีกเล่มออกมา
“นั่นมันอะไรครับ?”
“นี่คือ ‘สมุดบันทึกโจทย์ที่เป็นไปได้’ ที่ฉันรวบรวมไว้สมัยเรียน ทั้งจากรุ่นพี่ รุ่นน้อง ไปจนถึงศิษย์เก่า”
“สะ…สมุดบันทึก!? อย่าบอกนะว่ากระเป๋านั่นเต็มไปด้วยสมุดแบบนี้!?”
ดูจากขนาดแล้วมีไม่ต่ำกว่าร้อยเล่มแน่ๆ
“ใช่ ฉันรวบรวมโจทย์ของอาจารย์ทุกคนที่เคยสอนพวกเราตอนอยู่ ม.ปลายไว้หมด ตอนนั้นได้เงินจากขายพวกนี้ไม่น้อยเลยล่ะ นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้มันแล้วซะอีก”
นี่มันพ่อค้าโจทย์หน้ามหาวิทยาลัยชัดๆ…
“ถ้าโดนจับได้ต้องโดนพักการเรียนแน่ๆเลยนะครับ…”
“ช่างเถอะน่า นายมีหน้าที่จำโจทย์ให้ได้ ไม่ต้องเข้าใจทั้งหมดก็ได้ แค่จำให้ขึ้นใจพอ! การสอบของโรงเรียนก็แค่เอาโจทย์เก่ามาดัดแปลงนิดหน่อยเท่านั้นแหละ”
“แต่แบบนี้มัน…”
ผมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเพราะคิดว่าการเรียนจากเด็กมหาวิทยาลัยโตเกียวต้องเป็นการติวแบบละเอียดสุดๆ
ไม่คิดว่าจะได้เจอ ‘สูตรโกง’ แบบนี้…
“นายน่ะไม่มีพื้นฐานเลย จะมาเริ่มเรียนจากศูนย์ตอนนี้ก็สายไปแล้วไง ใช้วิธีนี้ซะ!”
…ไม่มีอะไรเถียงกลับได้เลย
สุดท้าย ผมก็ต้องทำตามแผนของไทจูซัง
แม้วิธีนี้จะไม่ถูกต้องนัก แต่มันก็ได้ผลจริงๆผมเริ่มจำโจทย์และคำตอบได้เรื่อยๆ
และพอฝึกไปสักพัก ก็รู้สึกว่าความเข้าใจเริ่มเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
หรือนี่อาจจะเป็นแผนของเขามาตั้งแต่แรก…?
ผมเงยหน้ามองไทจูซังที่กำลังทำอะไรบางอย่าง
ผ่านไปสองชั่วโมง ท้องก็เริ่มร้อง แต่ไทจูซังกลับนั่งจ้องโน้ตบุ๊กเล็กๆของเขาแทน
“เอ่อ… ไทจูซัง ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
เขาหยุดไปแว๊วนึงแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม
“หือ? รบกวนสมาธิหรอ?”
“ไม่หรอกครับ แค่สงสัยน่ะ…”
“กำลังคุยกับทีมพัฒนาเรื่องเกมใหม่อยู่”
“เกมใหม่…?”
“เกมที่แล้วก็อัปเดตกับแก้บั๊กเสร็จหมดละ เลยกำลังคุยกันว่าจะทำเกมอะไรต่อดี”
“โห…”
…ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่าเกมใหม่ที่เขาพูดถึงจะเป็นยังไง!
“ถ้ามันทำให้เสียสมาธิ งั้นฉันกลับละกัน?”
“มะ-ไม่ครับ… อยู่ต่ออีกหน่อยจะช่วยได้มากเลย เผื่อมีอะไรไม่เข้าใจจะได้ถาม…”
“อ้อ งั้นเหรอ ถ้าว่างั้นฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก…”
พูดจบ ไทจูซังก็หันกลับไปจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
…อยากรู้ชะมัด
ตอนนี้เกมใหม่กำลังจะลืมตาดูโลกตรงหน้าผม
คุยอะไรกันอยู่? มีไอเดียอะไรออกมาบ้าง?
อยากรู้มากกกก…
“นายสนใจด้านการสร้างเกมด้วยหรอ?”
“เอ๋? ม-หมายถึงอะไรนะครับ…?”
“ก็มองมาด้วยสายตาที่โคตรสนใจซะขนาดนั้นนี่หว่า…”
“ผม… ทำหน้าตาแบบนั้นเหรอครับ…? ผมตั้งใจอ่านหนังสือจนไม่รู้ตัวเลย…”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ…”
แล้วเขาก็หันกลับไปสนใจการประชุมสร้างเกมต่อ
…ก็อยากรู้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ต้องโฟกัสกับการพิชิตข้อสอบคณิตศาสตร์ก่อน
“…ว่าแต่ ตกลงจะทำเกมแนวไหนเหรอครับ?”
“อืม… ภาคที่แล้วเป็นเกม 2D แอคชั่นมุมมองด้านบนแนวโร้กไลต์ แล้วก็ทำได้ค่อนข้างดีใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นฉันคิดว่าเกมใหม่ก็ควรเป็นแนวเดียวกัน เพื่อให้คนจำสไตล์ของสตูดิโอเราได้”
“เข้าใจละ… คิดรอบคอบจริงๆนะครับ…”
ทั้งฉลาดระดับสอบติดมหาลัยโตเกียว แถมยังมีความกล้าพอตั้งสตูดิโอเกมของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนอยู่
เกมแรกก็ประสบความสำเร็จ แถมยังมองการณ์ไกลถึงอนาคตของโปรเจกต์ต่อไปอีก
ถึงจะมีนิสัยแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ
“ว่าแต่…”
ในตอนที่กำลังตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือ ไทจูซังก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“อะไรเหรอครับ?”
“นายน่ะ ชอบฮิคารุรึเปล่า?”
“หะ-หาาา!?”
คำถามจู่โจมไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมตกใจจนแทบตกเก้าอี้
“ก็ครั้งก่อนเห็นถามเรื่องฮิคารุบ่อยๆ ฉันเลยสงสัย”
“มะ-ไม่ใช่นะครับ… อีกอย่าง อาซาฮิซังทั้งเก่งทั้งเพอร์เฟกต์ขนาดนั้น ผมไม่มีทางเหมาะสมกับเธอหรอก…”
ในฐานะเพื่อน ผมเคยบอกว่าจะชวนเธอไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์แบบชายหญิง มันก็เป็นอีกเรื่อง
มองในแง่นั้นแล้ว ช่องว่างระหว่างเรามันกว้างเกินไป
“งั้นเหรอ? ยัยนั่นก็แค่หน้าตาดีนิดหน่อย แต่ข้างในเป็นพวกเอาแต่ใจสุดๆเลยนะ เอาใจก็ยากอีกต่างหาก… ไม่เห็นจะขนาดนั้นเลย”
“ก็ที่คิดแบบนั้นได้เพราะเป็นพี่ชายไม่ใช่เหรอครับ…?”
“คงงั้นมั้ง…?”
บทสนทนาจบลง และความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง
ในตอนที่ผมตั้งใจจดเนื้อหาลงสมุดอยู่—
“มินาโมริซังมีแฟนรึยัง?”
“ทำไมอยู่ๆก็ถามแบบนั้นล่ะครับ…”
“บอกมาเหอะน่า ถ้าบอก ฉันให้ยืมหนังสือเรียนแบบไม่ขอคืนเลยเอ้า”
“…ตอนนี้น่าจะยังไม่มีครับ อย่างน้อยตลอดทั้งปีที่ผมมาช่วยงานเธอ ผมก็ไม่เห็นมีอะไรที่เป็นสัญญานเลย”
ข้อเสนอที่เย้ายวนทำให้ผมเผลอเปิดเผยข้อมูลออกไป
“งั้นแปลว่าเมื่อก่อนก็ไม่แน่สินะ?”
“ไม่รู้สิครับ เรื่องตอนเรียนโรงเรียนสอนทำอาหารหรือก่อนหน้านั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แล้วรู้ไหมว่าเธอชอบผู้ชายแบบไหน? มีแนวโน้มยังไง?”
“อันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอไม่เคยคุยเรื่องแบบนี้เลย”
“ชิ… อะไรว้าา”
ดูเหมือนไทจูซังจะผิดหวังเล็กน้อย
“…ว่าแต่ อาซาฮิซังเคยพาผู้ชายมาที่บ้านไหมครับ?”
“ดูท่าทางแกก็สนใจอยู่เหมือนกันนี่หว่า~?”
สีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของไทจูซังทำให้ผมเริ่มเสียใจที่ถามออกไป
“กะ-ก็แค่คุยเล่นๆตามหัวข้อที่คุยกันมาเฉยๆเองครับ…”
“เออๆ จะคิดงั้นให้ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเคยเห็นฮิคารุจู๋จี๋กับผู้ชายที่บ้านมาหลายครั้งแล้วล่ะ”
“เอ๊ะ!? จะ-จริงเหรอครับ!?”
ผมเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ แต่สิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไทจูซัง
ทันทีที่เห็น ผมก็เข้าใจว่าตัวเองถูกหลอกซะแล้ว
“ฮ่าๆๆ! ดูนายดิ รีบหันมามองแล้วตกใจใหญ่เลย! ฉันหมายถึงพ่อโว้ย! พ่อน่ะ!”
…คนคนนี้นี่มัน…
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมหงุดหงิดขนาดนี้จากการคุยกับใครสักคน
“ยัยนั่นน่ะนะ ออกจะติดพ่อสุดๆเลย ตอนเด็กๆถ้ามีอะไรไม่ถูกใจก็จะไปฟ้องพ่อทุกที”
“ครอบครัวไม่นับสิครับ…”
“งั้นเหรอ… ถ้าไม่นับครอบครัว ฉันก็ไม่เคยเห็นหรือได้ข่าวอะไรเลยเหมือนกัน อย่างที่เคยบอกไป ยัยนั่นคือมนุษย์เทนนิสทั้งตัวทั้งใจ ใช้เวลาไปกับเทนนิสหมดนั่นแหละ ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องผู้ชายหรอก”
“งั้นเหรอครับ…”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและพยายามหันกลับไปโฟกัสกับหนังสือเรียน
“ว่าแต่มินาโมริซังมีงานอดิเรกอะไร—”
สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่ได้มีสมาธิอ่านหนังสือกันเลยจนกระทั่งไทจูซังกลับไป
MANGA DISCUSSION