ตอนที่ 489 – ไม่ไปแล้ว
“สหายเต๋าชิงเวย!” เสียงของจิ่งสิงจื่อดึงโม่เทียนเกอกลับสู่ความจริง
นางสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์ เรื่องเกิดขึ้นแล้ว โศกเศร้ามึนงงไปล้วนไม่มีประโยชน์ นางควรจะคิดหาหนทางแก้ไขจึงจะถูก
ก้มหน้าลง มองสภาพไม่รู้สึกตัวของฉินซี นางตัดสินใจในใจ
ทุกครั้งล้วนเป็นท่านปกป้องข้า ครั้งนี้ ก็ให้ข้าปกป้องท่านเถอะ
“รีบไปเถอะ” เมื่อเห็นประกายแสงในดวงตานาง จิ่งสิงจื่อรู้สึกอุ่นใจอย่างมากอยู่ในใจ โม่ชิงเวยคนนี้ยังนับว่ารู้จักหนักเบา ถ้าหากในเวลานี้นางเอาแต่เศร้าใจ เขาจะต้องรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนฉินซีที่แต่งกับหญิงโง่
โม่เทียนเกอเงยหน้า จู่ ๆ ถามว่า “สหายเต๋าจิ่ง อาศัยกำลังของท่านคนเดียวสามารถคุ้มครองพวกเราออกจากเส้นทางวังเซียนได้ไหม”
จิ่งสิงจื่อตะลึง นิ่งเงียบไม่ปริปาก เส้นทางวังเซียนที่เกิดชั่วคราวนั้นอันตรายถึงที่สุด อย่าว่าแต่คุ้มครองคนครึ่งเป็นครึ่งตายคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่ง ตอนที่เขาเข้ามาผจญภยันตรายนับร้อย เมื่อมีประสบการณ์ที่เข้ามา เขาออกไปจะราบรื่นหน่อย แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
“พวกเราไปไม่ได้” โม่เทียนเกอกล่าวช้า ๆ “ตอนนี้เวลาไม่มากแล้ว คิดว่าผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตในวังเซียนจะต้องเริ่มออกไปกันหมดแล้ว ข้าเพียงมีระดับก่อเกิดตาน ซือเกอเป็นคนครึ่งตาย พวกเขาทราบกระจ่างว่าพวกเราได้รับสมบัติจากในวังเซียน ขอเพียงพวกเราปรากฏตัว เกรงว่าจะเลี่ยงชะตาชีวิตถูกฆ่าคนชิงสมบัติไม่พ้น” เวลานั้น แม้แต่อู๋หมิงเจินเจ่อที่เมตตาที่สุดก็ไม่อาจยืนหยัดปกป้อง
นางเงยหน้ามองจิ่งสิงจื่อ พูดว่า “สหายเต๋าจิ่ง อาศัยท่านคนเดียว สามารถออกจากที่นี่อย่างปลอดภัยก็ดีมากแล้ว ข้างนอกผู้ฝึกตนขั้นปลายมากขนาดนั้น ท่านจะคุ้มครองพวกเราสองคนได้อย่างไร อีกอย่าง การร่วมทางกับพวกเรา ท่านก็จะติดร่างแหไปด้วย……ท่านคนนี้ ถึงนิสัยจะน่ารำคาญมาก แต่ในช่วงเวลาวิกฤตสามารถไว้ใจได้เสมอ ข้าก็ไม่อยากลากท่านลงมาอีก”
“ฮา!” จิ่งสิงจื่อเผยรอยยิ้มขื่น เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะดีใจหรือว่าควรจะหดหู่ คิดถึงว่าเขาจิ่งสิงจื่อ ถึงโชคร้ายตลอดศก ที่สำนักอาจารย์ไม่ได้รับการต้อนรับ แต่ในด้านสตรีราบรื่นไร้อุปสรรค ผลคือได้รับคำประเมินของนางประโยคเดียวว่า “นิสัยน่ารำคาญมาก” แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ที่โลกฝึกเซียนอันมีใจจริงน้อยนิด นางกลับเต็มใจจะไว้ใจเขา
ก้มหน้ามองสตรีที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ จู่ ๆ เขาถอนหายใจยาว ๆ ซือจุนสิ้นชีพ การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมพวกนั้นที่เขาได้รับที่สำนักกู่เจี้ยนทำให้เขามีความรู้สึกเป็นศัตรูชนิดหนึ่งต่อทุกคนบนโลก หลายปีมานี้ เขาแสดงบุคลิกขี้เล่นออกมาเสมอ ปากราวกับเคลือบน้ำผึ้ง ท่าทางเหลาะแหละ แต่ในความเป็นจริง ต่อคนทุกคน ต่อเรื่องทุกเรื่อง ล้วนเฝ้าดูด้วยสายตาเย็นชา ไม่เต็มใจจะเข้าใกล้
ฉินโส่วจิ้งเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าตอนที่พวกเขารู้จักกัน ตนเองยังเป็นบุตรผยองแห่งสวรรค์ แล้วก็เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าตนเองจะเป็นบุตรผยองแห่งสวรรค์ หรือว่าเป็นศิษย์ที่ถูกทิ้งของสำนักกู่เจี้ยน ท่าทีของเขาเหมือนเดิมเสมอ
สำหรับฉินโส่วจิ้ง ที่จริงแล้วในส่วนลึกของจิตใจเขามีความรู้สึกขอบคุณประมาณหนึ่ง เพราะว่า ฉินโส่วจิ้งเป็นคนเดียวที่เขาสามารถแน่ใจได้ว่าปฏิบัติต่อเขาด้วยทัศนคติที่แท้จริง
และตอนนี้ก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคนสินะ…… คนที่ไม่ว่าจะชอบหรือชังล้วนแสดงใจจริงต่อเขา
“เช่นนั้นก็ต้องออกจากวังใต้ดิน ที่นี่อันตรายมาก” จิ่งสิงจื่อพูด “ส่วนหลังจากออกไป หากท่านเต็มใจสละสมบัติ พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนกับคนอื่น แลกกับการคุ้มครองของพวกเขา”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าเบา ๆ “แลกเปลี่ยนกับใครเล่า ใคร ๆ ล้วนทราบว่า ข้ากับซือเกอจะต้องได้รับสมบัติมา ใคร ๆ ล้วนจับจ้อง เดิมที การแลกเปลี่ยนกับสำนักจิ่วเยี่ยนดีอย่างยิ่ง พวกเขามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน ความแข็งแกร่งแกร่งยิ่ง แต่ตอนนี้……”
จิ่งสิงจื่อก็เงียบงันแล้ว ที่นางพูดไม่ผิด ต่อหน้าผลประโยชน์ เป้าที่เลือกจะแลกเปลี่ยนก็ต้องแข็งแกร่งเพียงพอ ไม่อย่างนั้น คนอื่นจับจ้องแล้วก็คุ้มครองไม่ได้……
“ส่วนวังใต้ดิน ยิ่งไม่สามารถออกไป ศพหลอมระดับแปลงเทพข้างนอกตัวนั้นอันตรายเกินไป” ถึงจะเป็นจริงอย่างที่อาจารย์เต๋าหยวนมู่คาดเดาว่าประมุขมารกุ่ยฟางได้รับศิลาจารึกปีศาจแรกเริ่ม ดูดซับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่นี่แล้ว ก็ยังเป็นคนคนเดียว ถ้าเผื่อพบเจอยังสามารถถกเงื่อนไข แต่ศพหลอมข้างนอกตัวนั้นกลับเป็นสิ่งวายชนม์ พูดหลักเหตุผลกันไม่ได้เลย อีกอย่าง ขอเพียงยังมีสติสัมปชัญญะ ประมุขมารกุ่ยฟางก็ไม่ได้จะรั้งอยู่ที่นี่ไปตลอด
สายตาจิ่งสิงจื่อเป็นประกาย สุดท้ายถามว่า “เช่นนั้นท่านอยากจะรั้งอยู่ที่นี่หรือ เส้นทางวังเซียนพอปิดลงก็ไม่อาจเปิดขึ้นอีก นี่เป็นสิ่งที่ตัวท่านพูดเอง ถึงเวลานั้น ถูกขังอยู่ในวังเซียนนี้ เลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่แล้วอย่างไร ฉินโส่วจิ้งฟื้นขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ท่านยังเยาว์วัยขนาดนี้ หรือว่าอยากจะทิ้งอายุขัยที่เหลืออยู่ที่นี่ ออกไปไม่ได้จะต่างอันใดกับตาย”
“ข้าไม่รู้” โม่เทียนเกอนวดหัวคิ้วอย่างอ่อนล้าอยู่บ้าง ก้มหน้ามองใบหน้าไร้สติรับรู้ของฉินซี “ออกไปคือตาย ข้าได้แต่เลือกมีชีวิตในตอนนี้”
ขอเพียงมีทางให้เดิน นางจะต้องเลือกเช่นนี้หรือไร เนื่องจากการมาถึงของฉินซี นางไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสำนักจิ่วเยี่ยนและทำการแลกเปลี่ยนอีก ทว่าในอีกด้านหนึ่ง หากไม่มีฉินซี สำนักจิ่วเยี่ยนอยากจะหยิบฉวยคันศรแห่งหงส์เพลิง นางจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวแน่นอน ก็จะไม่ได้ฉีกหน้ากับสำนักจิ่วเยี่ยน
ฝูเหยาจื่อได้วางแผนเพื่อนางแต่แรกแล้ว ละทิ้งผลประโยชน์บางส่วนแลกกับความคุ้มครองของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านี้ ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการภายในขอบเขตที่พวกเขาสามารถยอมรับ น่าเสียดาย แผนการตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน นางเดินไปอีกทางหนึ่งแล้ว ตอนนี้ถึงจะก้มต่ำถ่อมตัว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้นก็จะไม่ยอมทนแล้ว
เวลาผ่านไปทีละนิด จิ่งสิงจื่อไม่แสดงความเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ ยืนอยู่อย่างนั้น ทั้งไม่พูดว่าไป แล้วก็ไม่พูดว่ารั้งอยู่
“สหายเต๋าจิ่ง” โม่เทียนเกอลังเลเล็กน้อย ล้วงแหวนเอกภพวงนั้นออกจากอกเสื้อโยนให้เขา “พวกเราร่วมมือกันครั้งนี้ ท่านยังไม่ได้รับผลประโยชน์สักครึ่งส่วนเลย กลับถูกลากเข้ามาในปัญหา สิ่งของนี้เป็นสิ่งที่พวกเราได้รับในครั้งนี้ ในเมื่อข้าไม่ไป วัตถุนี้ก็ให้ท่านเถอะ”
จิ่งสิงจื่อรับมา ตะลึงลาน แหวนเอกภพวงนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เพิ่งได้รับมาจากมือของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ มูลค่าเท่าไหร่ เขาทราบกระจ่างมาก ไม่พูดถึงตัวแหวนเอกภพ ถึงจะเป็นยุคโบราณกาลก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงจึงสามารถครอบครอง ล้ำค่าถึงสิบส่วน แต่ถึงที่สุดแล้วเป็นเพียงอาวุธเวทเก็บของ สิ่งที่มูลค่าสูงสุดคือหยกผลึกข้างใน ที่งานชุมนุมค้าขายของผู้ฝึกตนระดับสูง หากปรากฏสักชิ้นล้วนสร้างความสั่นสะเทือน อย่าว่าแต่ในนี้มีมากขนาดนี้
แหวนเอกภพวงนี้ เทียบกับทรัพย์สมบัติของเขาทั้งตัวแล้ว มูลค่าสูงกว่ามากนัก เขารู้ว่าฉินโส่วจิ้งในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของโรงเรียนเสวียนชิง ทรัพย์สินมีแต่จะมากกว่าเขา แต่ก็ไม่เหนือกว่าแหวนเอกภพวงนี้
เขากลับไม่ทราบว่า พวกเขาสองคนได้รับแหวนเอกภพหนึ่งวงจากผู้ฝึกตนระดับแปลงเทพมาก่อนแล้ว สิ่งของในนั้นมากกว่าวงนี้มาก อีกอย่าง ฉินซีขณะนี้หมดสติอยู่ ไม่รู้ว่าจะยันต่อไปได้หรือไม่ โม่เทียนเกอไหนเลยจะมีอารมณ์ไปแบ่งสมบัติ
“ท่านรู้ว่าในนี้มีทรัพย์สินเท่าไหร่ไหม” จิ่งสิงจื่อถาม “ให้ข้าหมดเลยจริงหรือ”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบา ๆ “ให้ของท่านแล้วยังวาจาไร้สาระมากขนาดนั้น” นางหยุดชั่วครู่ ล้วงแผ่นหยกว่างเปล่าหนึ่งแผ่นออกจากจากในกระเป๋าเอกภพ บันทึกบางอย่างลงไป โยนให้กับเขา “นี่เป็นเส้นทางออกไป ท่านหยิบแล้วไปเร็ว ๆ เถอะ ชักช้าอีก ระวังจะไปไม่ได้แล้ว”
“……” ปราณมารข้างนอกแทบจะหายไปแล้ว จิ่งสิงจื่อก้มหน้ามองแหวนเอกภพในฝ่ามือ ในที่สุดกำแน่น “ได้ ท่านดูแลตัวเองนะ”
“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้า เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไว้พบกันใหม่”
“ไว้พบ……กันใหม่” เขาเปล่งสองคำสุดท้ายออกมาอย่างยากเย็นอยู่บ้าง มองพวกเขาอย่างลึกล้ำแวบสุดท้าย ในที่สุดหมุนตัวจากไปอย่างแน่วแน่ ไม่หันกลับมาอีก
รอจนร่างของจิ่งสิงจื่อหายลับไป โม่เทียนเกอกอดฉินซี มองตำหนักใหญ่อันว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย เนิ่นนานหลังจากนั้นจึงถอนหายใจยาว ๆ อีกครั้ง
ทางเลือกเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ นางไม่รู้ แต่นางรู้ว่า ตอนนี้นางไม่สามารถออกจากวังใต้ดินเป็นอันขาด สาเหตุเป็นอย่างที่บอกกับจิ่งสิงจื่อเมื่อครู่นี้เลย นางกับฉินซีมีสมบัติอยู่กับตัว ปราศจากกำลังต่อสู้ จะต้องกลายเป็นเป้าให้คนเขาเข่นฆ่าแน่นอน
อีกประการ ไม่อาจผ่านเส้นทางวังเซียน ข้างบนยังมีศพหลอมระดับแปลงเทพหนึ่งตัว วังเซียนยังไม่ปลอดภัยเท่าวังใต้ดินนี้เลย
สำหรับอนาคต…… ได้แต่เดินหนึ่งก้าวนับเป็นหนึ่งก้าวแล้ว
“ยายหนู ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้” ในสมอง เสียงถอนหายใจของฝูเหยาจื่อดังขึ้น
โม่เทียนเกอตะลึงเล็กน้อย จากนั้นยิ้มเอ่ยว่า “ซือฟุ ท่านตื่นแล้วหรือ” พร้อมกับที่เวลาผ่านไป จิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่อยิ่งมายิ่งอ่อน เวลาที่พักฟื้นก็ยิ่งมายิ่งนาน
ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “หากเจ้าละทิ้งซือเกอคนนี้ของเจ้า จะสามารถออกไปกับเด็กน้อยผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเมื่อครู่ได้แน่ ในเมื่อเขามีความสามารถผ่านเส้นทางวังเซียนโดยลำพังคนเดียว บวกกับทักษะรักษาชีวิตที่ซือฟุสอนเจ้า เพิ่มเจ้าสักคนก็ไม่มีปัญหาอะไร”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้าไม่คิดจะละทิ้งซือเกอ” ทอดมองใบหน้าสงบนิ่งของฉินซี นางเอ่ยว่า “ซือเกอไม่เคยละทิ้งข้าเลย ข้าก็จะไม่ละทิ้งเขา”
เขาช่วยชีวิตนางมาหลายครั้งเกินไปแล้ว ตอนหลอมรวมพลังวิญญาณ นางโง่เขลาไม่รู้ความ ก่อเภทภัย ถูกสำนักอวิ๋นอู้หนึ่งกลุ่มไล่สังหาร เป็นเขาเร่งมาทันเวลา ตอนสร้างฐานพลัง นางพลาดเข้าไปในม่านพลังมายานภาของจงมู่หลิง ก็เป็นเขาที่เร่งรุดมาโดยไม่สนภยันตราย ตอนก่อเกิดตาน ในภูเขามาร เขาเต็มใจเผชิญหน้ากับอันตรายลำพังก็จะต้องปกป้องนาง ครั้งนี้ นางเดินทางมาอวิ๋นจง ไม่อาจกลับไป เป็นเขาอีกที่ข้ามทะเลใต้อย่างไม่ลังเล มุ่งหน้ามาเสาะหานาง
บางทีตอนเริ่มแรกเป็นเพียงเพราะความรับผิดชอบ แต่น้ำใจมากมายขนาดนี้ นางไม่สามารถทำให้ผิดหวัง แล้วก็ไม่เคยคิดจะทำให้ผิดหวัง
ทิ้งเขาแล้ว ถึงจะออกไปจากวังเซียนแล้วจะอย่างไรเล่า ถึงนางจะมุ่งมั่นที่มหามรรคา แต่จะไม่กระทำการฝืนหัวใจ
“……” หลังจากเงียบงันไปยาวนาน ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เลือกคนผิดจริง ๆ หากเจ้าละทิ้ง ก็ไม่คู่ควรที่เหวยซือจะสืบทอดมรดกให้เจ้าแล้ว”
เมื่อได้รับคำชมเชย โม่เทียนเกอเพียงยิ้ม ๆ ไม่ได้พูดจา
อาการบาดเจ็บของตานเถียนฉินซีสรุปแล้วเป็นถึงระดับใด นางไม่ทราบ แต่ว่า นี่ไม่ได้หมายความว่านางไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ล้วงยาเก้าตลบคืนหยางจากในกระเป๋าเอกภพ ป้อนให้เขา จากนั้น นางพยุงเขาขึ้น ถ่ายทอดพลังวิญญาณอินของตนเองให้เขา
ขอเพียงรักษาตานเถียนไว้ เขาจะสามารถรักษาระดับการฝึกตน แล้วก็มีโอกาสจะฟื้นขึ้นมา
ตอนนี้ นางถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนเองให้เขาก่อน ให้พลังวิญญาณอินพวกนี้กับพลังวิญญาณหยางในร่างกายเขาผสมผสานกัน จะสามารถก่อเกิดเป็นวัฏจักร ซ่อมแซมตานเถียนของเขาช้า ๆ — ส่วนที่ว่าจะซ่อมแซมถึงระดับใด ก็ต้องดูเจตนาสวรรค์แล้ว
เวลาผ่านไปช้า ๆ ในวังใต้ดินสงบนิ่งไร้สำเนียงตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่สิ่งมีชีวิตมารดั้งเดิมก็ไร้ร่องรอย ประมุขมารกุ่ยฟางสองศิษย์อาจารย์ยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงา
เนิ่นนานให้หลัง โม่เทียนเกอหยุดการรักษาบาดเจ็บในที่สุด เช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างอ่อนล้า เมื่อครู่นี้ปิดกั้นพลังสะท้อนของพลังเทพหงส์เพลิงแทนฉินซีก่อน แล้วยังถูกแรงกดดันที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ลงมือส่งผลให้พลังวิญญาณปั่นป่วน สภาพของนางในปัจจุบันก็ไม่ได้ดีมาก ได้แต่ทำถึงขั้นนี้
ตรวจสอบสภาพของฉินซี เห็นสีหน้าเขาไม่ได้ปั้นยากขนาดนั้นแล้ว พลังวิญญาณในร่างกายก็คล้ายจะมากขึ้นมาหน่อย นางโล่งใจ เตรียมจะพักผ่อนเล็กน้อยแล้วจึงเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปพักผ่อนดี ๆ
ถึงจะถูกขังอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่านางยอมแพ้ในการไล่ตามมหามรรคา ควรจะรักษาบาดเจ็บก็ต้องรักษาบาดเจ็บ ควรจะฝึกตนก็ยังต้องฝึกตน
หลังจากลมหายใจวิญญาณในร่างกายสงบนิ่ง นางกอดฉินซี ตอนที่กำลังเตรียมจะเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จิตหยั่งรู้กลับสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้
……………….
ตอนที่ 490 – ยังมีอีกหนึ่งคน
MANGA DISCUSSION