ตอนที่ 488 – ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง
“ซือเกอ!”
“อย่าไป!” ร่างไหววูบ จิ่งสิงจื่อขวางอยู่เบื้องหน้าโม่เทียนเกอ ตะโกนเสียงเข้มงวด
โม่เทียนเกอไม่แม้แต่จะมองดูเขา
จิ่งสิงจื่อจนใจ จับแขนของนาง พลังวิญญาณถ่ายเทออกมาจากใจกลางฝ่ามือ
ภายใต้การสะกดข่มของเจตกระบี่อันรุนแรงของผู้ฝึกกระบี่จิตวิญญาณใหม่ โม่เทียนเกอขยับเขยื้อนไม่ได้เลย ได้แต่มองตาปริบ ๆ
ฉินซีถูกลมหายใจแห่งหงส์เพลิงกลืนกินจนหมดสิ้นแล้ว ทั่วทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยหมอกสีแดง แต่ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงพวกนั้นยังคงแพร่กระจายออกมาจากร่างของหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่หยุด โถมไปหาเขา
“ท่านไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้!” จิ่งสิงจื่อพูดอย่างใจเย็น “ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงนี้ทรงพลังขนาดนี้ ท่านเป็นเพียงระดับก่อเกิดตาน ฉินโส่วจิ้งหากรับไม่ไหว ท่านไปก็เพียงตายเพิ่มอีกหนึ่งคน”
“……” เขาพูดอะไร โม่เทียนเกอล้วนไม่ได้ยิน นางเพียงจ้องมองฉินซี มองท่าทางที่เขาถูกลมหายใจแห่งหงส์เพลิงพันธนาการ ในใจว่างเปล่าทันใด
นางได้แต่หวัง หวังว่าก่อนที่เขาจะทนรับไม่ไหว พลังเทพบนคันศรแห่งหงส์เพลิงจะหมดลง ส่วนที่ว่าคันศรแห่งหงส์เพลิงเป็นของใคร นางไม่แยแสสนใจ จะตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขารักษาชีวิตไว้ได้ก็พอแล้ว
แต่ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงกลับเสมือนจะไม่มีสิ้นสุด ถาโถมออกมาไม่หยุด ถ่ายเทใส่ชีพจรปราณของหลิงอวิ๋นเฮ่อ แล้วไหลออกจากร่างของหลิงอวิ๋นเฮ่อ พันอยู่กับฉินซี
หมอกสีแดงบนร่างฉินซียิ่งมายิ่งหนา ถึงตอนท้ายสุด ราวกับว่าทั้งร่างปกคลุมไปด้วยโลหิต แม้แต่เงาร่างก็เห็นไม่ชัดเจน
เมื่อเห็นฉากนี้ อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนทั้งดีใจทั้งวิตก
เดิมเขาอยากจะจับสักคนมาแบ่งเบาแรงกดดันของลมหายใจแห่งหงส์เพลิง ฉินซีและจิ่งสิงจื่อถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ เขาไม่มั่นใจ ได้แต่ลงมือต่อโม่เทียนเกอที่มีระดับการฝึกตนต่ำสุด แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีอุบัติเหตุหลายอย่าง ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงมาหาฉินซี เขาอยู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางแล้ว พลังเทพหงส์เพลิงที่สามารถทนรับได้มากกว่าโม่เทียนเกอมาก ไม่แน่ว่ามีเขาก็เพียงพอแล้ว
แต่ว่า ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงนี้กลับแข็งแกร่งขนาดนี้ เห็นอยู่กับตาว่าบนร่างฉินซีถูกพันธนาการอย่างเต็มที่แล้ว ยังคงไม่มีทีท่าจะหยุดลง อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนอดวิตกขึ้นมาอีกมิได้
ถ้าหากว่าเพิ่มฉินซีก็ไม่พอ เช่นนั้นต้องทำอย่างไร? เดิมทีวางแผนว่า อย่างเลวร้ายที่สุดตนเองก็จะเสี่ยงชีวิตไปแบ่งเบาพลังเทพหงส์เพลิง แต่เมื่อครู่นี้ลงมือไปแล้ว ด้วยนิสัยอำมหิตของเด็กผู้ฝึกกระบี่คนนั้น เกรงแต่ว่าจะฉวยที่คนตกอยู่ในอันตราย ทิ้งชีวิตอยู่ในมือเขาไปเสียเปล่า ๆ
คิดดังนี้แล้ว อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนรุกถอยไม่ได้ไปชั่วขณะ ก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ
“ตูม!” หมอกโลหิตหนาถึงขีดสุด บนร่างฉินซีจู่ ๆ เกิดเสียงระเบิดดังลั่น หมอกโลหิตเหล่านี้ถึงกับกลายเป็นเปลวเพลิง เผาไหม้อย่างร้อนแรงขึ้นมา
โม่เทียนเกอตระหนกจนหน้าถอดสี นี่มันสถานการณ์อะไร เปลวเพลิงที่ก่อตัวมาจากลมหายใจแห่งหงส์เพลิงบรรจุพลังเทพหงส์เพลิงเอาไว้ แม้แต่ไฟแท้สุดหยางของฉินซียังสะพรึงกลัวถึงที่สุด เผาไหม้บนร่างเขาตรง ๆ เช่นนี้ ยังจะมีชีวิตหรือไร
“หืม!” จิ่งสิงจื่อที่อยู่ด้านข้างกลับอุทานอย่างประหลาดใจคำหนึ่ง พึมพำกับตนเองว่า “ประหลาดเกินไปแล้ว”
ณ ขณะนี้ มือของหลิงอวิ๋นเฮ่อกำอยู่บนคันศรแห่งหงส์เพลิง ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงเข้าสู่ชีพจรปราณผ่านฝ่ามือของเขา แล้วไหลผ่านเขาไปที่ร่างอาจารย์เต๋าหยวนมู่ แต่อาจารย์เต๋าหยวนมู่เพียงแดงไปทั้งร่าง ชีพจรปราณและตานเถียนถูกลมหายใจแห่งหงส์เพลิงเติมเต็ม สถานการณ์ของฉินซีกลับไม่เหมือนพวกเขา
หนึ่งคือก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สัมผัสกับหลิงอวิ๋นเฮ่อ กล่าวได้ว่าลมหายใจแห่งหงส์เพลิงมาหาเขาด้วยตัวมันเอง สองคือลมหายใจแห่งหงส์เพลิงบนร่างเขาเป็นรูปแบบหมอกแดงที่แทรกซึมไปทั้งร่าง ไม่เหมือนกับพวกเขาสองคนที่ตรงเขาสู่ชีพจรปราณ สามคือบนร่างของอีกสองคนล้วนไม่มีเปลวเพลิง มีฉินซีคนเดียวที่กลายเป็นเปลวเพลิงในตอนท้ายสุด
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เปลวเพลิงได้ห้อมล้อมฉินซีอย่างสิ้นเชิงแล้ว นอกจากเงาอันเลือนรางก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ตอนที่คนอื่นนึกว่าเขาต้องถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนไม่เหลือซาก ที่ตำแหน่งตานเถียนของเขาจู่ ๆ ปรากฏแสงสีขาวจาง ๆ แสงสีขาวนี้เริ่มแรกเป็นเพียงจุดเล็กนิดเดียว ซ่อนอยู่ในเปลวเพลิง อ่อนจางประดุจภาพลวงตาของคน แต่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แสงสีขาวกลายเป็นสว่าง อีกทั้งยิ่งมายิ่งใหญ่โต ถึงขนาดที่ประชันขันแข่งกับเพลิงแห่งหงส์เพลิง
“ตูม!” เกิดเสียงดังทึบ ๆ ขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงถาโถมไปหาฉินซีราวกับบ้าคลั่ง จากคันศรแห่งหงส์เพลิง จากหลิงอวิ๋นเฮ่อ และแม้กระทั่งอาจารย์เต๋าหยวนมู่!
ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงพวกนี้ไหลไปที่ร่างของฉินซี กลายเป็นเปลวเพลิง และโถมใส่แสงสีขาว!
“นี่คือ……” จิ่งสิงจื่อและอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนล้วนตะลึงงัน นี่เป็นสถานการณ์อะไร
โม่เทียนเกอหลังจากตะลึงแล้ว จู่ ๆ คิดถึงสิ่งของหนึ่ง ลิงโลดมาก “ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง!”
นางเกือบลืมไปแล้ว บนร่างของฉินซีมีลูกประคำวิญญาณพลังหยาง! ประมุขเต๋าจิ้งเหอเคยพูดว่า ลูกประคำวิญญาณพลังหยางเป็นวัตถุประหลาดของฟ้าดิน ก่อเกิดขึ้นในเส้นเลือดวิญญาณ กลืนกินพลังวิญญาณหยางในเส้นเลือดวิญญาณโดยเฉพาะ เนิ่นนานเข้า จะกลืนกินพลังวิญญาณหยางในเส้นเลือดวิญญาณทั้งเส้นจนหมดสิ้น สร้างเป็นลูกประคำวิญญาณพลังหยาง
ตามคำกล่าวนี้ ในลูกประคำวิญญาณพลังหยางบรรจุพลังวิญญาณอันนับไม่ถ้วน หากปลดปล่อยออกมาทั้งหมด แม้แต่ผู้ฝึกตนแปลงเทพก็พลังวิญญาณระเบิดร่างได้อย่างง่ายดาย เพราะว่า สิ่งที่สามารถสร้างลูกประคำวิญญาณพลังหยางมิใช่เส้นเลือดวิญญาณเล็ก ๆ สักเส้นเป็นอันขาด และผู้ฝึกตนแปลงเทพคนหนึ่ง พลังวิญญาณที่ครอบครองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมากยิ่งกว่าเส้นเลือดวิญญาณ
ในเมื่อลูกประคำวิญญาณพลังหยางหนึ่งเม็ดสามารถบรรจุพลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ เช่นนั้น ใช่หรือไม่ว่าก็สามารถบรรจุพลังเทพที่ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงนำมา?
คิดถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอเพียงรู้สึกว่าฟื้นคืนชีวิต ในใจเกิดความหวังขึ้นมา
“ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง?” จิ่งสิงจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจ
ถึงแม้ว่าการผจญภัยครั้งนั้นที่ฉินซีได้รับลูกประคำวิญญาณพลังหยางจะเป็นการไปกับเขา แต่เขาไม่ทราบเลยว่าลูกประคำที่ไม่สะดุดตาเม็ดนั้นจะเป็นลูกประคำวิญญาณพลังหยางอะไร ถ้าหากเขาทราบ จะต้องสำนึกเสียใจภายหลังจนลำไส้เป็นสีเขียว เพราะว่า — ตอนแรกนั้นเขาไม่ได้เห็นลูกประคำเม็ดนั้นในสายตาเลย ตอนที่แบ่งสมบัติก็โยนให้ฉินซีส่ง ๆ ทว่าเป็นเพราะลูกประคำวิญญาณพลังหยางเม็ดนี้ ฉินซีฝึกตนเร็วกว่าเขา วาสนามากกว่าเขา และยังได้รับวิชาเวทขั้นสุดยอดอย่างศาสตร์หยางบริสุทธิ์จากผู้ฝึกตนแปลงเทพ ถึงขนาดที่ก่อเป็นวาสนาแต่งงานกับโม่เทียนเกอ
โชคดีที่เขาไม่ทราบ บางครั้ง การไม่รู้ก็เป็นความสุขชนิดหนึ่ง
แสงสีขาวยิ่งมายิ่งสว่าง ความเร็วที่ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงโถมใส่ฉินซีก็ยิ่งมายิ่งเร็ว สีหน้าของอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนเปลี่ยนไปเป็นพิกลอยู่บ้าง เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง
ลูกประคำวิญญาณพลังหยางส่องแสงสว่างมาก แสงของคันศรแห่งหงส์เพลิงกลับยิ่งมายิ่งอ่อนจาง ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงบนร่างหลิงอวิ๋นเฮ่อและอาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็ยิ่งมายิ่งน้อย ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงพวกนี้โถมไปที่ร่างของฉินซีคนเดียวทั้งหมด!
ไม่รู้ว่าคงอยู่นานเท่าใด อาจจะหนึ่งเค่อ อาจจะสั้นกว่านั้น เปลวเพลิงบนคันศรแห่งหงส์เพลิงกะพริบในที่สุด มืดสลัวลง จนกระทั่งหายลับไป เมื่อสูญเสียลมหายใจแห่งหงส์เพลิง มันดูไปแล้วก็เป็นเพียงอาวุธอันเรียบง่ายทว่าวิจิตรเท่านั้น
ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงบนร่างหลิงอวิ๋นเฮ่อและอาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็หายลับไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อสูญเสียการสนับสนุนของพลังเทพหงส์เพลิง พวกเขาสองคนล้มลงบนพื้นทันที
อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนตะลึงไป พุ่งไปข้างหน้า ตรวจสอบสภาพการณ์ของหลิงอวิ๋นเฮ่อและอาจารย์เต๋าหยวนมู่
ทันทีที่กดชีพจรของทั้งสองคน อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนอึ้งงันไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็ล้มลงนั่งกับพื้น
พวกเขาสองคน ชีพจรปราณและตานเถียนถูกลมหายใจแห่งหงส์เพลิงพุ่งผ่านอย่างรุนแรง ถึงจะไม่ถึงระดับฉีกขาด แต่ก็แทบจะถูกทำลายแล้ว
หลิงอวิ๋นเฮ่อดีหน่อย ศาสตร์น้ำแข็งอัคคีที่เขาฝึกตน สอดคล้องกับพลังวิญญาณไฟกับลมหายใจแห่งหงส์เพลิงในนั้น เสียหายนิดหน่อยเท่านั้น อาจารย์เต๋าหยวนมู่กลับชีพจรปราณฉีกขาดไปชุ่นหนึ่ง แทบจะไม่มีพลังวิญญาณแล้ว! คันศรแห่งหงส์เพลิงนี้ถึงอย่างไรก็เป็นอาวุธเวทสื่อวิญญาณโบราณกาล ถึงแม้อาจารย์เต๋าหยวนมู่จะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแล้ว ก็ทนรับพลังเทพหงส์เพลิงอันแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ได้
ทว่าสาเหตุที่ทำให้อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนหน้าเผือดสีขนาดนี้กลับเป็นเพราะคันศรแห่งหงส์เพลิงบนโต๊ะบูชาเมื่อสูญเสียลมหายใจแห่งหงส์เพลิงก็ไม่มีพลังเทพหงส์เพลิง เช่นนั้นยังจะเป็นอาวุธเวทสื่อวิญญาณหรือ อีกประการ หลิงอวิ๋นเฮ่อสลบไปแล้ว คันศรแห่งหงส์เพลิงกลับยังวางอยู่บนโต๊ะบูชานิ่ง ๆ นี่มองอย่างไรก็ไม่เหมือนกับว่าปราบคันศรแห่งหงส์เพลิงลงไปแล้วเลย
เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือว่าความปรารถนาสุดท้ายของบรรพจารย์ ความพยายามนับร้อยรุ่นเป็นแสนปีของสำนักจิ่วเยี่ยน จะเป็นบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารีเท่านั้น? สรุปว่าการคาดเดาของพวกเขาผิดไป หรือว่าระดับการฝึกตนของหลิงอวิ๋นเฮ่อไม่เพียงพอ
แสงไฟบนร่างฉินซีก็มืดลงช้า ๆ ตอนที่แสงไฟเสี้ยวสุดท้ายหายไป คันศรแห่งหงส์เพลิงบนโต๊ะบูชาสั่นไหวขึ้นมา บินไปทางเขา จมลงไปในร่างกายของเขาพร้อมกับแสงไฟ
ลูกประคำวิญญาณพลังหยางเม็ดนั้น เพราะว่าดูดซับลมหายใจแห่งหงส์เพลิง สีไม่ได้เป็นสีขาวบริสุทธิ์อีกต่อไป ทว่ากลายเป็นสีแดงอ่อน หลังจากกลืนกินลมหายใจแห่งหงส์เพลิงทั้งหมด ในลูกประคำวิญญาณพลังหยางเปล่งแสงวูบหนึ่ง แล้วก็หดแสงลงอย่างช้า ๆ สุดท้ายหายไปไม่เห็นอีก
ส่วนฉินซี — ล้มหัวทิ่ม
“ซือเกอ!” โม่เทียนเกอตะโกน
จิ่งสิงจื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้ว เก็บเจตกระบี่ ปล่อยนาง
นางพุ่งไปข้างหน้า คุกเข่าลง พยุงฉินซีขึ้นมา
ฉินซีหลับตาทั้งคู่ ขบฟันแน่น สีหน้าดุจคนตาย
โม่เทียนเกอใจเต้นระทึกรุนแรง เอื้อมมือไปแตะชีพจรของเขา ค้นพบว่ายังมีลมหายใจวิญญาณไหลเวียน จึงได้ถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่าหัวใจอันว่างเปล่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
มีชีวิต อย่างน้อยเขายังมีชีวิต……
จิ่งสิงจื่อก้าวมาหา จับชีพจรของฉินซีเช่นกัน แต่หัวคิ้วยิ่งขมวดยิ่งแน่น
“ทำไมหรือ” โม่เทียนเกอถามเขาอย่างตึงเครียดอยู่บ้าง ด้วยความต่างของระดับการฝึกตน นางไม่อาจใช้พลังวิญญาณตรวจสอบสถานการณ์ที่แน่ชัดในร่างกายของฉินซี รู้เพียงว่าในชีพจรปราณยังมีพลังวิญญาณ
ผ่านไปพักใหญ่ จิ่งสิงจื่อจึงปล่อยชีพจรของฉินซี เอ่ยว่า “พลังวิญญาณในร่างกายเขาแทบจะว่างเปล่าแล้ว ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ปิดตัว ตานเถียนได้รับความเสียหาย……” มองโม่เทียนเกอแวบหนึ่ง พิจารณาถ้อยคำ พูดอย่างระมัดระวังว่า “ถึงครั้งนี้เขาจะไม่ตาย แต่สถานการณ์ประเภทนี้ ข้าไม่รู้ว่าสรุปแล้วจะยันต่อไปได้หรือไม่”
“……” โม่เทียนเกอตะลึงลานไปครู่หนึ่ง ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ปิดตัว นางก็เคยประสบกับสถานการณ์ประเภทนี้ ห้วงมหรรณพแห่งความรู้เป็นที่อยู่ของจิตสำนึก ห้วงมหรรณพแห่งความรู้พอปิดตัว คนก็เท่ากับคนตายที่ยังมีชีวิต ไม่มีสติสัมปชัญญะ สิ่งที่ยิ่งถึงแก่ชีวิตคือ พลังวิญญาณในร่างกายเขาแทบจะว่างเปล่าแล้ว ตานเถียนก็ได้รับความเสียหาย ผู้ฝึกตนไม่มีสติสัมปชัญญะก็ไม่อาจฝึกตน ไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณมารักษาบาดเจ็บ หากไม่รักษาบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บของตานเถียนจะแย่ลงไปที่ละขั้น ถึงเวลา ร่างกายจะพังทลายลงอย่างช้า ๆ ตายไปอย่างไร้สติสัมปชัญญะ…… ถึงเขาจะอดทนผ่านไป มีวันหนึ่งฟื้นขึ้นมา ก็ต้องระดับการฝึกตนถดถอยอย่างมาก
โชคดีที่ฉินซีเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว กายเนื้อผ่านการสร้างขึ้นใหม่ตอนผูกจิตวิญญาณ และเขายังเคยฝึกวิชากายาพิสุทธิ์ ขอเพียงปกป้องตานเถียนของเขา น่าจะไม่เกิดสภาพกายเนื้อแห้งเหี่ยวไป
แต่ถึงกระนั้น เมื่อใดเขาจะเปิดห้วงมหรรณพแห่งความรู้ฟื้นขึ้นมา กลับไม่อาจะนับคำนวณได้ อาจจะเป็นวันสองวัน อาจจะเป็นปีสองปี หรือแม้กระทั่งสิบปีร้อยปี……
นี่คือสาเหตุที่จิ่งสิงจื่อรู้สึกว่ายากจะพูดออกมาจากปาก
ในตำหนักใหญ่ คนเป็นสามคน คนครึ่งตายสามคน ล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน
ผ่านไปพักใหญ่ จิ่งสิงจื่อจู่ ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นตัว “ไม่สามารถรั้งรอเวลาได้อีกแล้ว พวกเรารีบออกไป!”
ปราณมารข้างนอกแทบจะสลายไปหมดแล้ว หรือก็คือ หากการคาดเดาของอาจารย์เต๋าหยวนมู่เป็นความจริง ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มพวกนี้ถูกดูดซับไปหมดสิ้นแล้ว ถ้าเกิดคนที่ดูดซับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มต้องการเวลาผสานพลัง นั่นยังเป็นเรื่องดี ถ้าเกิดเขามาที่ตำหนักใหญ่ทันที……
อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนเหมือนจะถูกปลุกขึ้นมา มองดูหลิงอวิ๋นเฮ่อกับอาจารย์เต๋าหยวนมู่ที่สิ้นสติ สายตามองมาทางพวกเขาอย่างเคร่งขรึม
จิ่งสิงจื่อสังเกตเห็นทันที โบกแขน กระบี่บินแขวนอยู่กลางอากาศ
แต่อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนถึงที่สุดแล้วไม่ได้ลงมือ เงียบงันไปชั่วขณะ เขาแม้แต่คำพูดสักคำยังไม่พูดก็ยกหลิงอวิ๋นเฮ่อกับอาจารย์เต๋าหยวนมู่ขึ้น หนึ่งมือหนึ่งคน บินหลบหนีจากไปอย่างไม่เลี้ยวหลัง
จิ่งสิงจื่อเห็นดังนี้ ประสาทอันตึงเครียดผ่อนคลายลง เขากับอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนระดับการฝึกตนห่างกันใหญ่หลวง หากลงไม้ลงมือมันไม่ดีจริง ๆ แต่หากไม่แยแสสองคนนี้ ตนเองหลบหนีไป ก็รู้สึกไม่สบายใจ……
เขาก้มหน้า มองฉินซีที่หมดสติกับโม่เทียนเกอที่สีหน้าหนักอึ้ง จู่ ๆ อยากจะตบตัวเองมาก
เขาจิ่งสิงจื่อมีชีวิตมาเกือบสามร้อยปีแล้ว ตลอดมากระทำเรื่องราวเด็ดขาดฝีมืออำมหิต ตอนที่ควรจะโหดเหี้ยมไม่เคยลังเล สถานการณ์ขณะนี้ หากเขาโหดเหี้ยมพอ น่าจะฉวยโอกาสปล้นชิงพวกเขา ถึงจะปล้นชิงไม่ลงก็ควรจะไปให้ไกล ๆ เลี่ยงไม่ให้ภัยลามมาถึงตัว แต่เพราะอะไรตอนนี้เขากลับขยับฝีเท้าไม่ได้เล่า
……………….
ตอนที่ 489 – ไม่ไปแล้ว
MANGA DISCUSSION