ตอนที่ 483 – พบเจอบนทางแคบ
ยังไม่ทันจะได้ถือคันศรแห่งหงส์เพลิงไว้ในมือ จิ่งสิงจื่อก็ร้องคำหนึ่งอย่างเจ็บปวด ถูกโยนออกมาแล้ว
เห็นเพียงว่าบนคันศรแห่งหงส์เพลิง แสงไฟยังคงกลับสู่สภาพดั้งเดิม เผาไหม้อย่างต่อเนื่องและรุนแรง
“สหายเต๋าจิ่ง?”
จิ่งสิงจื่อกึ่ง ๆ นั่งอยู่บนพื้น ก้มหน้ามองมือตัวเอง สีหน้าอึมครึมปรวนแปร
มือข้างนั้นที่เขาเพิ่งจะไปคว้าคันศรแห่งหงส์เพลิงดำไหม้ไปหย่อมหนึ่งแล้ว
โม่เทียนเกอกับฉินซีสบตากัน ตกตะลึงอยู่บ้าง ตอนที่ผู้ฝึกตนผูกจิตวิญญาณ ร่างกายก็จะก่อร่างใหม่ด้วย ร่างกายของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมาก อาวุธเวททั่วไปทำร้ายให้บาดเจ็บได้ยากมาก จิ่งสิงจื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่มักจะฝึกวิชากายาพิสุทธิ์ร่วมด้วย กายเนื้อย่อมทนทานยิ่งกว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั่วไป
แต่คันศรแห่งหงส์เพลิงนี้อาศัยแค่แสงไฟบนตัวมันก็ทำร้ายจิ่งสิงจื่อสาหัส หากมิได้เห็นกับตา ทั้งสองคนแทบไม่เชื่อ
“พลังอันแกร่งกล้านัก” กว่าครึ่งค่อนวัน จิ่งสิงจื่อได้สติกลับมา กลืนโอสถเม็ด และร่ายทักษะเวทรักษาง่าย ๆ ใส่บาดแผล ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
เขาทอดมองคันศรแห่งหงส์เพลิงบนโต๊ะ ความร้อนแรงในดวงตาเขามอดลงเล็กน้อย หันหน้าไปเอ่ยกับฉินซีว่า “ดูท่าสหายเต๋าชิงเวยพูดไม่ผิด สมบัตินี้ทรงพลังน่าทึ่ง เหนือล้ำกว่าระดับชั้นของพวกเราลิบลับ ไม่มีวิธีการพิเศษหยิบไปไม่ได้เลย”
สิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ฉินซีย่อมเชื่อถือ อีกทั้งประสบการณ์ของจิ่งสิงจื่อก็อยู่ตรงหน้า แต่ เขาทอดมองคันศรแห่งหงส์เพลิงเบื้องหน้า ขบคิดอึดใจหนึ่ง ยังคงก้าวเท้าออกไป
“ซือเกอ!” โม่เทียนเกอเรียก
เขาหันหน้ากลับมา เห็นสีหน้าวิตกของนาง เผยรอยยิ้มนิด ๆ ปลอบใจ “แค่ลองดู หากไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ฝืน”
โม่เทียนเกอลังเลอยู่พริบตาหนึ่ง พยักหน้า “ระวังให้จงหนักนะ”
นางทราบว่า ถึงแม้ฉินซีกับนางจะเหมือนกัน ล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่จิตใจหนักแน่น แต่ในบางด้านก็ไม่เหมือนกัน ในกระบวนการเติบโตของนางประสบกับความสูญเสียมากเกินไป หลังจากการทดสอบจิตมารก่อเกิดตานก็มองดูทุกสิ่งในโลกหล้าอย่างเฉยเมยยิ่ง มุ่งเน้นสภาวะจิตใจทว่าปล่อยวางวัตถุภายนอก ทว่าฉินซีเป็นเหมือนกับผู้ฝึกตนบุรุษทั้งหลาย ในขณะที่แสวงหาเส้นทางเซียนก็แสวงหาพลังอำนาจ เขาไม่เคยปล่อยปละการชำระกระบี่อัคนีสามพลังหยาง เสาะหาทักษะลับอย่างพากเพียรมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
บางที นี่ก็คือจุดหนึ่งที่ไม่เหมือนกันระหว่างบุรุษสตรี ผู้ฝึกตนสตรีที่จิตเต๋าหนักแน่น น้อยคนจะรักชอบการฆ่าฟัน ทว่าจะทุ่มเทจิตใจไปที่เต๋า ผู้ฝึกตนบุรุษกลับมีกว่าครึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความปรารถนาต่อพลังอำนาจ จุดนี้ไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้
สำหรับผู้ฝึกตนที่แสวงหาพลังอำนาจทั้งหมด เบื้องหน้าวางอาวุธเวทสื่อวิญญาณที่ยากจะเห็นสักครั้งแม้แต่ในยุคโบราณกาล แม้แต่ลองดูยังไม่ลองก็ละทิ้ง นั่นเป็นความเสียดายชั่วชีวิต
ฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยืนอยู่หน้าโต๊ะบูชา เอื้อมมือออกไป เปลวไฟสีครามพุ่งออกมาจากแขน กลับเป็นทักษะลับของเขา ไฟแท้สุดหยาง
ไฟแท้ของโลกฝึกเซียนแบ่งเป็นไฟนอกไฟใน ไฟนอกหมายถึงสามไฟแท้ยิ่งใหญ่ ส่วนไฟในนั้นคือไฟแท้ตานเถียนของผู้ฝึกตน ฝึกมาถึงจิตวิญญาณใหม่ ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ได้ฝึกเวทอัคคี ไฟแท้จิตวิญญาณใหม่ของเขายังแข็งแกร่งถึงสิบส่วน อย่าว่าแต่ฉินซีที่ตั้งแต่หลอมรวมพลังวิญญาณ ก็ฝึกฝนทักษะเวทธาตุไฟจนเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ไฟแท้สุดหยางของเขา นอกจากไฟแท้สมาบัติในตำนานและไฟแท้ตานเถียนของผู้ฝึกตนแปลงเทพ ไม่มีไฟแท้อื่นใดที่สามารถเทียบได้แล้ว
แต่ว่า ถึงจะเป็นเช่นนี้ พอเข้าใกล้คันศรแห่งหงส์เพลิง ไฟแท้สุดหยางของเขาก็เริ่มสั่นไหวไม่หยุดนิ่ง ราวกับหวาดกลัวถึงขีดสุด!
โม่เทียนเกอสีหน้าเคร่งขรึม จับจ้องความเคลื่อนไหวของเขาตาไม่กะพริบ
ฉินซีควบคุมไฟแท้สุดหยางสุดกำลัง โอบล้อมแขนของตนเอง เคลื่อนเข้าใกล้คันศรแห่งหงส์เพลิงช้า ๆ
หนึ่งฉื่อ ครึ่งฉื่อ สามชุ่น หนึ่งชุ่น……เห็น ๆ อยู่ว่ามือของเขากำลังจะกำคันศรแห่งหงส์เพลิง เปลวเพลิงที่เผาไหม้บนสายธนูปะทุขึ้นมาอีกรอบ ลุกโหมกระหน่ำ
ร่างฉินซีถอยวูบอย่างรีบร้อน โบกมืออีกข้าง กระบี่อัคนีสามพลังหยางขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า
โม่เทียนเกอก็โยนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกไปในเวลาเดียวกัน กลายเป็นหมอกหนาพยายามขวางคลื่นปราณ
“พลั่ก” “พลั่ก” ทั้งสองถูกทุ่มลงพื้นพร้อมกัน
“เทียนเกอ!” มีไฟแท้สุดหยางคุ้มครองกาย และยังล่าถอยอย่างทันท่วงที ฉินซีเพียงรู้สึกว่าพลังวิญญาณในร่างกายพลิกตลบหน่อยหนึ่ง ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เมื่อเห็นโม่เทียนเกอถูกโยนออกไปไกลมาก จึงรีบขึ้นหน้าไปพยุงนางขึ้นมา
“แค่ก ๆ!” โม่เทียนเกอสีหน้าซีดเผือด ลมหายใจวิญญาณในร่างกายยุ่งเหยิง
ฉินซีเห็นดังนี้ก็หยิบยาเก้าตลบคืนหยางส่งให้นางทันที ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าระดับการฝึกตนไม่สูง ทำไมถึงฝืนตัว แม้แต่จิ่งสิงจื่อยังทนรับพลังนั้นไม่ได้ เจ้านี่มิใช่หาเรื่องเจ็บตัวหรือไร”
นางยังไม่ทันตอบ จิ่งสิงจื่อที่อยู่ด้านข้างก็พึมพำหนึ่งประโยคว่า “จะพูดก็พูดไป เอ่ยถึงข้าทำไม……” เมื่อเห็นว่าฉินซีก็หยิบคันศรแห่งหงส์เพลิงไปไม่ได้ อารมณ์ของเขาซับซ้อนอยู่บ้าง ทั้งดีใจ แต่ก็หดหู่อยู่บ้าง สิ่งที่ดีใจคือ อาวุธเวทสื่อวิญญาณเช่นนี้ เขาหยิบไม่ได้ หากให้คนอื่นหยิบไปต่อหน้าเขา ไยมิใช่น่าเศร้านัก? สิ่งที่หดหู่คือ สิ่งที่ฉินซีฝึกเป็นวิชาเวทสายอัคคี ระดับการฝึกตนก็สูงกว่าเขา แต่ก็ยังหยิบคันศรนี้ไม่ได้ หรือว่าพวกเขาก็ได้แต่เป็นอย่างห้าปราชญ์ เข้าภูเขาสมบัติทว่ากลับมามือเปล่า
เมื่อกินโอสถแล้ว สีหน้าของโม่เทียนเกอดูดีขึ้นมาบ้าง ยิ้มว่า “ข้าไม่ได้คิดมาก……”
ฉินซีอยากจะพูดอะไรกับนาง เห็นท่าทางนี้ของนางก็แข็งใจไม่ได้ จึงเอ่ยว่า “พักผ่อนก่อน”
โม่เทียนเกอกำลังจะตอบ จู่ ๆ เห็นพวกเขาสองคนสีหน้าเปลี่ยนไป
“ทำไมหรือ”
“มีคนมาแล้ว!” ฉินซีเอ่ย
“สามคน อีกฝ่ายค้นพบพวกเราแล้ว!” จิ่งสิงจื่อสีหน้าเคร่งขรึม ไม่สนใจว่ามือบาดเจ็บ สะบัดแขน กระบี่แหลมคนบนหลังหลุดออกจากฝัก กลายเป็นรังสีกระบี่ปกป้องรอบตัว
“ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน” ฉินซีเสียงแผ่วเบา “เกรงว่าเป็นพวกเขา……”
โม่เทียนเกอสีหน้าตึงเครียด ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน หรือว่าจะเป็นคนของสำนักจิ่วเยี่ยน คนสามคน ยังมีอีกคนเป็นใคร หลิงอวิ๋นเฮ่อถูกทิ้งไว้ข้างบน หรือว่าเป็นหลิงซื่ออวี่
ทั้งสามคนยังคิดไม่ตก ลมปราณข้างนอกยิ่งมายิ่งใกล้ อย่างรวดเร็ว คนสามคนวิ่งพรวดเข้าตำหนัก
ในศาลเจ้าหงส์เพลิงนี้ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มรั่วไหลอย่างรุนแรง สิ่งที่ตามมาก็คือจิตหยั่งรู้ไม่สามารถแผ่ขยายออกไปได้ดีมากด้วย ดังนั้นตอนที่พวกเขาสัมผัสได้ว่ามีคนเข้าใกล้ก็หลบเลี่ยงไม่ทันแล้ว
“เป็นพวกท่านจริง ๆ!” ผู้มาตะโกนเสียงทุ้มต่ำ
กลับเป็นอาจารย์เต๋าหยวนมู่, อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยน รวมถึงหลิงอวิ๋นเฮ่อ
“สหายเต๋าหยวนมู่ จากกันไม่กี่ชั่วยาม พวกเราพบกันอีกแล้ว” หลังจากตะลึงงัน ฉินซีสีหน้านิ่งเฉย ทักทายเขาอย่างสงบนิ่ง
สายตาของอาจารย์เต๋าหยวนมู่แหลมคม วนไปมาระหว่างทั้งสามคน สุดท้ายหยุดอยู่ที่บนโต๊ะบูชา
“คันศรแห่งหงส์เพลิง เป็นคันศรแห่งหงส์เพลิงจริง ๆ!” บนใบหน้าเขาผุดแววคลุ้มคลั่ง สายตาจับจ้องคันศรแห่งหงส์เพลิงด้านหน้ารูปปั้นเทพหงส์เพลิงเขม็ง
โม่เทียนเกอรู้สึกไม่เข้าทีมาก สำนักจิ่วเยี่ยนรู้จักคันศรแห่งหงส์เพลิง นางไม่ประหลาดใจเลย ปีนั้นห้าปราชญ์ลงวังใต้ดินด้วยกัน มีเหตุผลให้ไม่รู้จักด้วยหรือไร แต่ว่า นางคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาเร็วขนาดนี้ ฝูเหยาจื่อเคยบอกกับนางว่า เส้นทางลับเส้นนั้นในห้องคลัง ปราชญ์อีกสี่คนไม่ทราบ ปีนั้นพวกเขาเข้ามาผ่านทางเข้าอีกทาง สาเหตุที่ฝูเหยาจื่อรู้มากขนาดนี้เป็นเพราะว่าปีนั้นเขานำตำราเก็บความลับที่เกี่ยวกับสำนักนี้จำนวนมากไปจากในห้องสมุดที่เก็บบันทึกประสบการณ์ของศาลาเก็บคัมภีร์ ตอนที่ห้าปราชญ์ได้รับแหวนเอกภพของผู้ฝึกตนแปลงเทพ เขายังจงใจขอแผ่นหยกที่เกี่ยวข้อง
ความคิดในสมองหมุนวนอย่างรวดเร็ว นางคิดถึงปฏิกิริยาอันผิดปกติของอาจารย์เต๋าหยวนมู่หน้าห้องคลัง เต็มใจมอบป้ายคำสั่งออกไปหนึ่งป้าย เพียงอยากจะเข้าห้องคลังไปหลบภัยให้เร็วที่สุด — หรือว่าจะรักษาขุมกำลังและช่วงชิงเวลาเพื่อวังใต้ดิน? พูดอย่างนี้ เป้าหมายแรกเริ่มของสำนักจิ่วเยี่ยนก็คือคันศรแห่งหงส์เพลิงในศาลเจ้าหงส์เพลิงแล้ว?
นางมองพวกอาจารย์เต๋าหยวนมู่ทั้งสามอย่างตื่นตัว หากเป็นเช่นนี้ ต่อหน้าสมบัติสำคัญ พวกเขาจะปรองดองกันได้หรือไร
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ได้สติกลับมาจากความคลุ้มคลั่ง สายตาจับจ้องพวกเขาสามคนอย่างเคร่งขรึม “สหายเต๋าทั้งหลายหายตัวไปอย่างแปลกประหลาด ที่แท้ลงวังใต้ดินมาแต่เนิ่น ๆ แล้ว ดูท่าเป้าหมายของพวกท่านก็คือคันศรแห่งหงส์เพลิงนี้กระมัง”
เมื่อได้ยินการสอบสวนอย่างไม่ปรานีของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ ทั้งสามคนล้วนไม่ส่งเสียง
สถานการณ์เบื้องหน้านี้ไม่เข้าข้างพวกเขาอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายล้วนมีสามคน ตัดโม่เทียนเกอกับหลิงอวิ๋นเฮ่อที่อยู่ระดับก่อเกิดตาน ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน ส่วนพวกเขากลับเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางหนึ่งคน จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นหนึ่งคน จิ่งสิงจื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่ จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นเทียบได้กับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ฉินซีก็แกร่งกว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางทั่วไป แต่ว่า นี่ยังคงไม่เพียงพอจะปิดช่องว่างของทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ว่าอาจารย์เต๋าหยวนมู่และอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยตอนอยู่ข้างบนก็เป็นเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่า พวกเขาก็มิใช่ไม่มีกำลังจะต่อต้าน ฉินซีกับจิ่งสิงจื่อล้วนเชี่ยวชาญวิชาต่อสู้ ความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนร่วมระดับชั้น ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย ก็ไม่ถึงขนาดไร้ความสามารถขัดขืนสักนิดอย่างผู้ฝึกตนทั่วไป แต่สู้กันขึ้นมาจริง ๆ การจ่ายค่าตอบแทนที่สาหัสสากรรจ์เป็นสิ่งที่แน่นอน
“หยวนมู่ซือตี้” อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งด้าว สายตาที่แฝงรังสีฆ่าฟันทะลุผ่านหน้ากากเหล็กดำกวาดผ่านทั้งสามคน “นี่ยังต้องพูดมากด้วยหรือ”
ในบรรยากาศชักกระบี่น้าวศร โม่เทียนเกอจู่ ๆ หัวเราะเบา ๆ ลุกขึ้นยืน มองพวกเขากล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง ในเมื่อเป้าหมายของพวกท่านเป็นคันศรแห่งหงส์เพลิง เช่นนั้นก็เชิญเถอะ พวกเราไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว” พูดจบก็มุ่งหน้าไปที่ประตูตำหนัก
“ช้าก่อน!” สายตาของอาจารย์เต๋าหยวนมู่จับอยู่ที่ร่างของนางครู่ใหญ่ จู่ ๆ เผยรอยยิ้มบาง “สหายน้อยโม่ ถ้าเจ้ามิใช่มีอาจารย์อยู่ก่อน เหล่าฟูอยากจะรับเจ้าเข้าสำนักจริง ๆ น่าเสียดายหนอน่าเสียดาย!” วาจาถึงจะเป็นเช่นนี้ แรงกดดันที่ปล่อยออกมากลับยิ่งมายิ่งหนักหนา
“สำนักจิ่วเยี่ยนอัจฉริยะมากล้น มีสหายเต๋าหลิงสืบทอดลัทธิเต๋า ผู้อาวุโสหยวนมู่จะต้องเสียดายอันใดเล่า” ภายใต้แรงกดดันของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ โม่เทียนเกอกล่าวอย่างเต็มฝืน ถึงนางจะมีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณคุ้มครองตัวเอง แต่แรงกดดันของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทรงพลังขนาดไหน อาจารย์เต๋าหยวนมู่ผู้นี้ ในช่วงวิกฤตอย่างนี้ จู่ ๆ พูดชมเชยออกมา มิใช่เรื่องดีจริง ๆ
“สิ่งที่เหล่าฟูเสียดายคือ พวกเจ้ารุ่นหลังไม่กี่คนนี้ล้วนอายุเยาว์วัย ระดับการฝึกตนเหนือคน คิดว่าจะต้องมีพรสวรรค์ไม่สามัญ แต่ต้องสิ้นชีพอยู่ที่นี่แล้ว” คำพูดเพิ่งเปล่งออกมา บนร่างของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันอันร้ายกาจออกมา!
“ชิ้ง!” พริบตาที่รังสีฆ่าฟันปรากฏ ฉินซีกับจิ่งสิงจื่อปล่อยปราณกระบี่ออกมาพร้อมกัน
โม่เทียนเกอถืออาวุธเวทหลายชิ้นในมือ ในห้วงคับขันกลับเยือกเย็นขึ้น ยิ้มนิด ๆ เอ่ยว่า “วาจานี้ของผู้อาวุโส ไยไม่รอให้พวกท่านหยิบคันศรแห่งหงส์เพลิงได้ค่อยพูดล่ะเจ้าคะ พูดตอนนี้เร็วเกินไปหน่อยนะ!”
“ฮา ๆๆ!” อาจารย์เต๋าหยวนมู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะ มองพวกเขาสามคน ยิ้มแย้มไม่มีที่สิ้นสุด “ดูท่าเมื่อครู่พวกเจ้าเคยลองแล้ว หยิบคันศรแห่งหงส์เพลิงไม่ได้ ใช่ไหม”
เมื่อเห็นท่าทางมีไพ่อยู่ในแขนเสื้อของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ โม่เทียนเกอทั้งสามล้วนหัวใจหนักอึ้ง หรือว่า……
“สำนักจิ่วเยี่ยนสืบทอดกันมาแสนกว่าปี ความลับนี้ก็ถ่ายทอดกันมาเป็นร้อยรุ่นแล้ว ในเมื่อพวกเรามาเพื่อคันศรแห่งหงส์เพลิง จะไร้การเตรียมการสักนิดได้เยี่ยงไร”
ฉินซีได้ฟังดังนี้ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “พูดอย่างนี้ ก่อนที่พวกท่านจะเข้าวังเซียนก็เตรียมวิธีหยิบคันศรแห่งหงส์เพลิงไว้แล้ว?”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มิผิด สมบัติสำคัญอยู่ตรงหน้า เหล่าฟูไม่อาจเชื่อมั่นว่าพวกเจ้าสามารถไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้จริง ๆ ดังนั้น ได้แต่ทำให้พวกเจ้าคับแค้นแล้ว” พูดว่าทำให้คับแค้น ใบหน้าเขากลับไม่มีแววละอายสักนิด ในสีหน้ายิ้มแย้ม รังสีฆ่าฟันเหน็บหนาว!
……………….
ตอนที่ 484 – ศาสตร์น้ำแข็งอัคคี
MANGA DISCUSSION