ตอนที่ 482 – คันศรแห่งหงส์เพลิง
โม่เทียนเกอเคยอธิบายข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับศาลเจ้าให้ฉินซีฟังโดยละเอียดแล้ว ขณะนี้เห็นฉินซีเหมือนจะไม่มีความเห็นคัดค้าน จึงเอ่ยกับจิ่งสิงจื่อว่า “สถานที่นี้ ตามการคาดเดาของข้า น่าจะเป็นโบราณสถานของยุคสมัยปฐมกาล”
“ปฐมกาล?” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จิ่งสิงจื่อลืมตา สีหน้าเคร่งขรึม “ท่านมั่นใจว่าไม่ผิด เป็นปฐมกาล?”
“บอกไปแล้ว เป็นการคาดเดา” โม่เทียนเกอสงบนิ่งมาก “เป็นไปได้ว่าที่นี่บูชาหงส์เพลิงที่เป็นหนึ่งในห้าวิญญาณปฐมกาล จะใช่หรือไม่ ยังต้องให้พวกเราไปพิสูจน์”
“หงส์เพลิง……” จิ่งสิงจื่อพึมพำกับตัวเอง
โม่เทียนเกอทอดมองเขา แล้วเสริมไปอีกประโยคว่า “นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีศิลาจารึกปีศาจแรกเริ่ม แล้วก็เป็นแหล่งที่มาของปราณมารพวกนี้”
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอะไร”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ กล่าวว่า “หนึ่งคือเสาะหาศิลาจารึกปีศาจแรกเริ่มหลักนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็เอาไป สองคือ……ข้าก็จะไม่ปิดบังสหายเต๋าจิ่ง ศาลเจ้านี้ไม่ได้เพียงแค่บูชาห้าวิญญาณ ทว่ามีซากสังขารของห้าวิญญาณที่แท้จริง”
“อะไรนะ?!” จิ่งสิงจื่อร้องออกมาเสียงหลง ห้าวิญญาณ นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณในตำนาน สัญลักษณ์ของเทพยุคปฐมกาล เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดที่ใกล้เคียงเทพที่สุดก่อนที่มนุษย์จะฝึกเซียน พวกมันมีพลังเหนือธรรมชาติตั้งแต่ถือกำเนิด ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นฟ้าลงดิน มีเพียงเทพที่สามารถบัญชา สิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่ที่เขาเริ่มก้าวลงบนเส้นทางเซียนก็ได้เรียนรู้มาจากในตำราโบราณแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถเห็นซากสังขารของห้าวิญญาณกับตา
นั่นเป็นยุคสมัยที่ห่างไกลจากตอนนี้มากเกินไป
“สหายเต๋าจิ่ง การเดินทางนี้ ท่านไม่ขาดทุนกระมัง?” โม่เทียนเกอถามอย่างยิ้มแย้ม
จิ่งสิงจื่อสงบสติลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้จริง ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจพวกท่านแล้ว”
โบราณสถานปฐมกาลที่บูชาซากสังขารหงส์เพลิงหนึ่งในห้าวิญญาณ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถได้รับวาสนาในนี้หรือไม่ เพียงพาเขามาที่นี่ก็เป็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่แล้ว
หลังจากขบคิดสั้น ๆ จิ่งสิงจื่อถอนหายใจเอ่ยอีกว่า “สำนักใหญ่โบราณกาลนี้สรุปแล้วมีที่มาอย่างไร ถึงกับสร้างวังเซียนทับศาลเจ้าปฐมกาล”
“สำนักนี้ตอนแรกสุดจะต้องเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด น่าเสียดาย สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกฎแห่งฟ้าดิน” ฉินซียังคงหลับตาปรับลมหายใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ใช่แล้ว กฎแห่งฟ้าดิน” จิ่งสิงจื่อถอนหายใจ “สำนักใหญ่ขนาดนี้ก็ถึงกับถูกฉีกออกเป็นมิติเอกเทศ พังทลายในชั่วขณะ ยิ่งฝึกเซียน ยิ่งรู้สึกว่าพลังแห่งฟ้าดินช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้”
ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเกิดความสะพรึงกลัวในใจ มีเพียงผู้ไม่รู้จึงสามารถไร้ความกลัว
ฉินซีหัวเราะเบา ๆ ลืมตาทั้งคู่ เอ่ยว่า “หากไม่เป็นเช่นนี้ พวกเรายังต้องฝึกเซียนด้วยเหตุอันใด พวกเราล้วนเป็นปุถุชนที่อยากหลีกหนีพลังแห่งฟ้าดิน ปรารถนาความอมตะ น่าเสียดาย ไม่มีคนรู้แล้วว่าเส้นทางนี้จะสามารถเดินไปจนสุดทางหรือไม่”
ยุคปฐมกาล โลกหล้าถ่ายทอดตำนานเรื่องการบรรลุแจ้งสำเร็จเซียนจำนวนมาก ส่วนภายหลังเป็นโบราณกาล ก็มีคนที่ฝึกไปถึงมหายาน เผชิญด่านเคราะห์ แต่ตอนนี้เล่า แม้แต่แปลงเทพยังกลายเป็นตำนานแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ทั้งสามคนต่างมีประสบการณ์ของตัวเอง เงียบงันไม่พูดจาไปชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอส่งเสียงว่า “พักผ่อนเสร็จแล้วกระมัง? พวกเราควรจะไปต่อแล้ว เวลาไม่มาก มีเพียงหนึ่งวันสุดท้ายแล้ว”
ฉินซีกับจิ่งสิงจื่อได้ยินแล้วก็หยุดปรับลมหายใจ ลุกขึ้นเตรียมตัว
เดินไปตามทางศิลาอันมืดสลัว ทั้งสามคนเดินหน้าไปอย่างช้า ๆ
ศาลเจ้าหงส์เพลิงหลังนี้คล้ายคลึงแต่ไม่เหมือนกับศาลเจ้ามังกรเขียวที่โม่เทียนเกอเคยไป วัสดุที่ใช้สร้างศาลเจ้าเป็นก้อนหินแดงเพลิงชนิดหนึ่ง ในนั้นบรรจุลมปราณของธาตุแห่งอัคคีเอาไว้ ฉินซีเดาว่า ก้อนหินเหล่านี้น่าจะเอามาจากสถานที่ที่ธาตุไฟเต็มเปี่ยมถึงขีดสุด ภายใต้เดือนปีอันยาวนานจึงบรรจุลมปราณธาตุไฟมากขนาดนี้ หากเป็นปัจจุบัน นี่เป็นวัสดุที่ใช้หลอมสร้างอาวุธเวทธาตุไฟที่ดียิ่ง แต่ว่า พวกเขาล้วนไม่มีความตั้งใจจะรื้อถอนศาลเจ้า อย่างนั้นจะไม่เคารพต่อหงส์เพลิงที่ได้รับการบูชาอยู่ที่นี่จนเกินไป
พวกเขาผู้ฝึกเซียนเหล่านี้ ไม่เคารพเทพผี ไม่กลัวฟ้าดิน แต่ในส่วนลึกของจิตใจยังคงมีความยำเกรงบางอย่าง
เดินไปครู่หนึ่ง เจอกับสิ่งมีชีวิตมารอีกฝูง
ในศาลเจ้านี้ ปราณมารรั่วไหลอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตมารมากยิ่ง น่าเสียดายที่สิ่งมีชีวิตมารพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขาผู้ฝึกเซียน ฆ่าแล้วก็ได้แต่ทิ้งมันไป หากมีผู้ฝึกมารอยู่ที่นี่จะต้องลิงโลดไม่รู้แล้ว
โม่เทียนเกอคิดถึงหยางเฉิงจีขึ้นมาอีก ถึงตอนที่พวกเขาฝ่าม่านพลังมายาห้องคลังก็ยังคงไม่ปรากฏตัว หรือว่าพวกเขาศิษย์อาจารย์สิ้นชีพอยู่ที่นี่แล้วจริง ๆ?
นางรู้สึกยากจะเชื่อผลลัพธ์นี้ แต่ในวังเซียนนี้ เรื่องอะไรล้วนสามารถเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าประมุขมารกุ่ยฟางจะมีระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแล้วก็ไม่สามารถรับประกันอะไรได้
“หืม!” เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตมารไปอีกฝูงหนึ่ง อ้อมผ่านปราณมารหนึ่งก้อน ฉินซีที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดจู่ ๆ ก็หยุดชะงัก
“ทำไมหรือ”
“ลมปราณนี้……” ผู้พูดคือจิ่งสิงจื่อ เขาเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่แล้ว สัมผัสแหลมคมกว่าโม่เทียนเกอ
ฉินซีไม่ตอบ เร่งฝีเท้าเดินขึ้นหน้าไปอีก
โม่เทียนเกอตามหลังเขาไปติด ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจริง ๆ
เมื่อไม่มีปราณมารกีดขวาง นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงลมปราณขุมหนึ่งที่แทรกซึมโดยรอบ ร้อนระอุทว่าศักดิ์สิทธิ์ กว้างใหญ่แต่พิสุทธิ์ บรรจุความห่างไกลและไพศาลแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน
นี่กับลมหายใจแห่งมังกรเขียวที่นางเคยได้สัมผัสมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ลมหายใจแห่งมังกรเขียวเป็นสิ่งที่เก็บงำทว่าสงบนิ่ง ประดุจอยู่ในพงไพรอันสุดลูกหูลูกตา ผ่อนปรนและเต็มไปด้วยโอกาสมีชีวิต แต่ทว่าลมปราณชนิดนี้กลับบรรจุความระอุอุ่นที่เผาไหม้ทุกสิ่งและพลังชีวิตอันเต็มเปี่ยม
“ลมหายใจแห่งหงส์เพลิง!” นางเอ่ยเสียงเบา
“น่าจะใช่ ไป!” ฉินซีเร่งความเร็ว ทั้งสามคนแทบจะวิ่งอยู่ในทางศิลา
ในที่สุด วิ่งไปถึงสุดปลายของทางศิลา สายตาเบื้องหน้าจู่ ๆ เปิดกว้าง
นี่เป็นตำหนักใหญ่ ประตูศิลาสูงใหญ่หนาหนัก สลักโทเท็มสีแดงเพลิง ในตำหนักตั้งเสาหินขนาดใหญ่ยักษ์ บนนั้นล้วนวาดลวดลายสีแดงเพลิงเอาไว้
เดินเข้าไปข้างในช้า ๆ รูปปั้นศิลาอันสูงตระหง่านค่อย ๆ ปรากฏ ปีกทั้งคู่แผ่กาง หัวชูสูง บรรจุลมปราณที่เผาไหม้ได้ทุกสิ่ง
หนึ่งในห้าวิญญาณ หงส์เพลิง
คนทั้งสามไม่ส่งเสียงเป็นครึ่งค่อนวัน เพียงมองอย่างทึมทื่อ
พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงแล้ว แรงกดดันของลมหายใจแห่งหงส์เพลิงนี้ยังไม่ถึงระดับสั่นคลอนพวกเขา แต่ความห่างไกลไพศาลที่มาจากปฐมกาลในนั้นกลับทำให้พวกเขาสั่นสะเทือน
โม่เทียนเกอได้สติกลับมาเป็นคนแรก นางเคยพบเห็นรูปปั้นเทพมังกรเขียวมาก่อน ณ ตอนนี้เห็นรูปปั้นเทพหงส์เพลิง ไม่ได้ตื่นตะลึงจนเกินไป
“พวกท่านดู นั่นอะไร”
เมื่อได้ยินเสียงของนาง ฉินซีกับจิ่งสิงจื่อมองไปตามทิศทางที่นางชี้ ล้วนตะลึงงัน
เห็นเพียงว่าบนโต๊ะบูชาด้านหน้ารูปปั้นเทพวางไว้ด้วยคันศรหนึ่งคัน ตัวคันศรสีทอง สายธนูสีแดงเพลิง ทรงพลังน่าทึ่ง
“นี่คือ –” จิ่งสิงจื่ออุทานเป็นคนแรก
บนคันศรนี้มีลมปราณหงส์เพลิงอันเข้มข้น ขอเพียงเข้าใกล้สักหน่อยจะรู้สึกถึงไฟร้อนแรงแผดเผาร่าง สิ่งนี้มิใช่อาวุธเวทที่โลกฝึกเซียนทุกวันนี้สามารถหลอมสร้างออกมาได้เป็นอันขาด ทรงพลังขนาดนี้ แม้แต่สมบัติวิญญาณโบราณกาลที่น่าทึ่งเหล่านั้นในห้องคลังล้วนไม่อาจเทียบ
“คันศรแห่งหงส์เพลิง ได้เห็นอีกแล้ว” ในสมองของโม่เทียนเกอ เสียงถอนหายใจของฝูเหยาจื่อดังขึ้น
“ซือฟุ สรุปว่านี่มันเรื่องอะไรเจ้าคะ”
“คันศรแห่งหงส์เพลิงนี้เป็นสมบัติวิญญาณขั้นสุดยอดที่ผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของสำนักใหญ่โบราณกาลวังน้ำแข็งยะเยือกแห่งนี้ใช้ซากสังขารของหงส์เพลิงในศาลเจ้าหลอมสร้างจนสำเร็จ แล้วก็เป็นสมบัติประจำสำนักของสำนักนี้” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “สิ่งที่น่าเสียดายคือ ผู้ที่วังน้ำแข็งยะเยือกแห่งนี้รับสมัครเป็นศิษย์รากวิญญาณธาตุน้ำ ฝึกฝนวิชาเวทธาตุน้ำแข็งเป็นพิเศษ ในภายหลัง สำนักเสื่อมถอย ไม่มีคนในสำนักที่สามารถใช้คันศรนี้แล้ว คันศรนี้จึงถูกบูชาอยู่ในวังใต้ดิน ไม่เห็นแสงตะวัน”
“……” โม่เทียนเกอเงียบงันไร้วาจา สำนักแห่งนี้ทึ่ขึ้นชื่อด้านวิชาเวทธาตุน้ำแข็ง กลับหลอมสร้างสมบัติวิญญาณธาตุไฟขั้นสุดยอดอย่างนี้แล้วนำมาเป็นสมบัติประจำสำนัก ช่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรจริง ๆ แต่ถึงจะเปลี่ยนเป็นคนอื่น สำนักตั้งอยู่เหนือศาลเจ้าหงส์เพลิง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิกเฉยต่อพลังเทพหงส์เพลิงในนี้กระมัง?
ยิ่งไปกว่านั้น ยุคโบราณกาลผู้ฝึกตนอัจฉริยะมีมากมายปานใด เท่าที่นางทราบ มีวิชาเวทชนิดหนึ่งเรียกว่าศาสตร์น้ำแข็งไฟ หากฝึกฝนศาสตร์นี้ การใช้คันศรนี้จะไม่เป็นปัญหา
“ซือฟุเจ้าคะ หรือว่าที่ท่านอยากให้พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อหยิบสมบัติชิ้นนี้”
“ฮ่า!” ฝูเหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ หนึ่งคำ เอ่ยว่า “หากสมบัตินี้สามารถหยิบฉวยไปได้ ปีนั้นพวกเราห้าคนไยจะทิ้งมันไว้? บอกกับพวกเจ้าตามจริง พลังเทพหงส์เพลิงที่อยู่บนสมบัตินี้มิใช่สิ่งที่พวกเราสามารถบังคับได้เลย ย่อมจะหยิบไปไม่ได้ด้วย ปีนั้นพวกเราล้วนเคยลองแล้ว ไม่มีสักคนที่สามารถต้านทานลมหายใจแห่งหงส์เพลิงบนนั้น หากฝืนต้านทานยังจะได้รับบาดเจ็บด้วย สุดท้ายได้แต่ยอมแพ้”
เมื่อได้ฟังวาจานี้ โม่เทียนเกอราวกับถูกน้ำเย็นสาด แต่คิด ๆ ดูก็ใช่ ถ้าหากสามารถหยิบไปก็หยิบไปแต่แรกแล้ว
“เช่นนั้นพวกเรามาที่นี่ทำอะไรเจ้าคะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์หดหู่ของนาง ฝูเหยาจื่อยิ้มแล้ว “ลมหายใจแห่งหงส์เพลิงในนี้หรือมิใช่สมบัติ? เหวยซือรู้ว่าเจ้ามีชะตาชีวิตไม่สามัญ แต่อย่าได้โลภจนเกินไป เจ้าได้รับกระดูกแห่งมังกรเขียวมาแต่แรก แล้วก็ครอบครองลมหายใจแห่งมังกรเขียวแล้ว ณ ตอนนี้ได้รับลมหายใจแห่งหงส์เพลิงอีก หลังจากเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่จะสร้างณานศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้! คิดดูเอาเถอะ หลอมลมหายใจแห่งมังกรเขียวและลมหายใจแห่งหงส์เพลิง สร้างณานศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งด้วยตัวเอง ไยมิใช่น่ากลัว?”
ขณะที่พูด โม่เทียนเกอเห็นจิ่งสิงจื่อเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว รีบร้องเรียก “สหายเต๋าจิ่ง!”
จิ่งสิงจื่อหันหน้ามา ทอดมองนาง “ทำไมหรือ”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “สิ่งนี้ทรงพลังน่าทึ่ง เกรงแต่ว่าพวกเราล้วนหยิบไปไม่ได้”
เมื่อได้ยินวาจานี้ของนาง ฉินซีที่สายตาร้อนแรงหันหน้ามา “เกิดอะไรขึ้น”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ ถ่ายทอดคำพูดของฝูเหยาจื่อให้พวกเขาฟัง ตอนจบกล่าวว่า “สมบัตินี่น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนที่ระดับชั้นเหนือล้ำพวกเราหลอมสร้าง ทรงพลังน่าทึ่ง แต่ว่า พลังเทพหงส์เพลิงที่ตัวมันบรรจุไว้กล้าแข็งเกินไป มิใช่สิ่งที่พวกเราในระดับชั้นนี้จะสามารถบังคับ”
“อาวุธเวทสื่อวิญญาณ……” ฉินซีพึมพำ
โลกฝึกเซียนเล่าลือว่า สมบัติวิญญาณชั้นสุดยอดที่สุด ตัวมันเองจะมีจิตวิญญาณ เรียกขานว่าอาวุธเวทสื่อวิญญาณ อาวุธเวทสื่อวิญญาณเช่นนี้ พลังอำนาจของอาวุธเวททั่วไปเทียบไม่ได้โดยเด็ดขาด แต่ว่า อาวุธเวทสื่อวิญญาณชนิดนี้สาปสูญไปแต่แรกแล้ว แม้แต่ในห้องคลังสำนักใหญ่โบราณกาลก็หาอาวุธเวทสื่อวิญญาณออกมาไม่ได้สักกี่ชิ้น
อาวุธเวทสื่อวิญญาณ ในอดีตเพียงคงอยู่ในตำนาน พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงว่าตนเองจะสามารถได้เห็นกับตา
“ไม่ได้!” จิ่งสิงจื่อเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าล้วนต้องลองดู! เห็นอาวุธเวทสื่อวิญญาณอยู่ต่อหน้าต่อตา กลับไม่แม้แต่จะลองดู เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ยินยอมพร้อมใจ!”
โม่เทียนเกอมองไปทางฉินซี เห็นเพียงว่าในดวงตาฉินซีก็ปรากฏแววมุ่งมั่น
นางส่ายหน้า เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านว่าอาวุธเวทสื่อวิญญาณ สำหรับพวกเราเหล่าผู้ฝึกตนแล้ว เป็นความเย้ายวนใจเช่นไร……”
“ข้าไปหยิบก่อน” จิ่งสิงจื่อหันหน้ามากล่าวกับพวกเขา “หากข้าถูกพลังเทพหงส์เพลิงบนนั้นทำร้ายบาดเจ็บ ถึงพวกท่านจะทิ้งข้าไว้ที่นี่ ข้าก็จะไม่โทษพวกท่าน”
พูดจบ เขาไม่พูดจามากความอีก ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นมือออกไปที่คันศรแห่งหงส์เพลิงบนโต๊ะบูชา
“หึ่ง!” เสียงร้องดังเบา ๆ ยังไม่ทันได้สัมผัส คันศรแห่งหงส์เพลิงก็ลุกไหม้อย่างร้อนแรง
……………….
ตอนที่ 483 – พบเจอบนทางแคบ
MANGA DISCUSSION