ตอนที่ 478 – รวมตัวกันอีกครา
เมื่อเห็นผู้ฝึกตนถูกศพหลอมกลืินกินกลางอากาศอีกครั้ง พวกโม่เทียนเกอทั้งสามไม่กล้าเสียเวลาอีก บินมุ่งหน้าไปยังห้องคลัง
เวลาหนึ่งวันจวนจะหมดแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนไปรวมตัวกันที่ห้องคลัง ขอเพียงทำลายม่านพลังมายาเข้าไปในห้องคลังก็จะปลอดภัย
ด้วยความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนใหญ่ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายทั้งหลาย โม่เทียนเกอไม่กังขาสักนิดว่าพวกเขาสามารถทำลายกำแพงอาคมของถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณได้ แต่สามารถเสาะพบป้ายคำสั่งเพียงพอหรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว นางและฉินซีโชคดีล้วน ๆ หากมิใช่ฝูเหยาจื่อรู้ว่าบนหน้าผาบำเพ็ญทุกรกิริยามีถ้ำพำนักเนตรวิญญาณ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาสองคน ระดับความยากในการแย่งชิงถ้ำพำนักผู้ฝึกตนโบราณกับคนอื่นสูงมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าครั้งเดียวก็เสาะพบป้ายคำสั่งสามชิ้น
ในระหว่างที่บินไปยังห้องคลังได้พบกับศพหลอมอีกหนึ่งครั้ง โชคดีที่พวกเขาตื่นตัว หลบเลี่ยงแต่เนิ่น ๆ ต่อจากนั้น เสาะพบถ้ำพำนักร้างอีกหลายแห่ง ในนั้นหาเจอโครงกระดูกที่แทบจะกลายเป็นฝุ่นผงสีดำหลายโครง เก็บกระเป๋าเอกภพได้หลายใบ
ถ้ำพำนักหลายถ้ำนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง คุณภาพไม่สูง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับสูง สิ่งที่ใช้ก็เป็นเพียงแค่กระเป๋าเอกภพ มิใช่แหวนเอกภพ ดูกระเป๋าเอกภพอีกที มีเพียงระดับก่อเกิดตานตามคาด ในกระเป๋าเอกภพถึงจะมีวัตถุดิบที่หาได้ยากในตอนนี้จำนวนหนึ่ง แต่สำหรับพวกเขาสามคนล้วนไม่ได้มีค่าจนเกินไป แบ่งกันมั่ว ๆ ก็ถือเสียว่าดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ตลอดทางมีตระหนกแต่ไร้เภทภัย ในที่สุดก็มาถึงห้องคลังก่อนที่วันที่สองจะสิ้นสุด
“สหายเต๋าฉิน สหายเต๋าโม่ ทั้งสองท่านมาเร็วแท้” ที่หน้าประตูห้องคลังมีคนรออยู่แล้ว กลับเป็นบัณฑิตอวี๋และหานซื่อจือ
ฉินซีคำนับตอบแล้วเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “อวี๋เซียนเซิงมาเร็วยิ่งกว่า คิดว่าเรื่องราวราบรื่นมากแล้ว”
บัณฑิตอวี๋ใบหน้าเจือรอยยิ้มนิด ๆ ท่าทางอารมณ์ดีมาก จากนั้นสายตกอยู่บนร่างจิ่งสิงจื่อ “กลับไม่ทราบว่าสหายเต๋าท่านนี้คือ……”
“ผู้นี้คือจิ่งสิงจื่อสหายเต๋าจิ่ง สหายเก่าของผู้แซ่ฉิน ก่อนหน้านี้บังเอิญพบกัน ช่วยเหลือพวกเรา ดังนั้น……”
“อ้อ……” บัณฑิตอวี๋พยักหน้าช้า ๆ สีหน้าครุ่นคิด “พูดอย่างนี้ ทั้งสองท่านอยากจะพาสหายเต๋าจิ่งไปด้วยแล้ว?”
“นี่ น่าจะไม่ได้ผิดข้อตกลงกับทุกท่านกระมัง?”
สายตาของบัณฑิตอวี๋กวาดผ่านกระบี่บนหลังของจิ่งสิงจื่อ ท่าทางเรื่อยเฉื่อย “จะเข้าห้องคลัง ทั้งหมดต้องอาศัยป้ายคำสั่ง ตัวข้าไม่คัดค้าน”
พูดอย่างนี้ ทั้งสามล้วนเข้าใจความคิดแท้จริงของเขา ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นหนึ่งคน ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ท่ามกลางพวกเขาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายมากขนาดนี้จะสามารถส่งผลกระทบอะไรได้? อีกประการ พาคนมาเท่าไหร่มิใช่ปัญหา ปัญหาคือคนผู้นี้ไว้ใจได้หรือไม่ จะถ่วงแข้งถ่วงขาหรือไม่ ก่อนหน้านี้บัณฑิตอวี๋ก็เคยกระทำผิดพลาดเช่นนี้ หาผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นสองคนมา ไม่เพียงไม่มีส่วนช่วยเหลือ ยังแทบจะลากเขาไปตายในเส้นทาง ผู้ที่ชาญฉลาดที่สุดยังคงเป็นอู๋หมิงเจินเจ่อ เขาทิ้งศิษย์ร่วมสำนักทั้งหมดไว้ข้างนอกวังเซียน เพียงพาเจวี๋ยอู้คนเดียวเข้าวังเซียน กลับกลายเป็นปลอดโปร่งง่ายดาย
เมื่อสัมผัสได้ถึงการดูแคลนประเภทนี้ สีหน้าของจิ่งสิงจื่อไม่มีความผิดปกติอันใด บัณฑิตอวี๋แม้แต่จะทักทายสักคำยังไม่ทัก เขาก็ไม่ใส่ใจ หามุมแห่งหนึ่งนั่งลงปรับลมหายใจ เขาคนนี้ดูแล้วพึ่งพาไม่ได้มาก แต่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ศิษย์ร่วมสำนักหวาดระแวง จนถึงขนาดที่ฝึกตนไปถึงก่อเกิดตานขั้นปลาย สติปัญญาในการเอาตัวรอดย่อมมีไม่น้อย
หลังจากทักทายอย่างเรียบง่าย ทั้งห้าคนไม่พูดจากันอีก รออยู่พักหนึ่ง ในที่ห่างไกลมีแสงหลบหนีพุ่งฉิวมา เป็นอู๋หมิงเจินเจ่อและเจวี๋ยอู้
โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง นางยังนึกว่า ผู้คนสำนักจิ่วเยี่ยนจะกลายมาก่อนเสียอีก ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคน ความแข็งแกร่งสูงที่สุด แต่คิดดูโดยละเอียด จำนวนคนพวกเขาก็มากที่สุด อยากจะเก็บได้ป้ายคำสั่งสี่ป้าย ให้คนสี่คนเข้าห้องคลังได้หมด ยิ่งไม่ง่ายดาย
“สหายเต๋าอู๋หมิง!”
“พระอาจารย์”
เมื่อเห็นอู๋หมิงเจินเจ่อ บัณฑิตอวี๋และฉินซีต่างส่งเสียงทักทาย ในหมู่พวกเขา มนุษยสัมพันธ์ของอู๋หมิงเจินเจ่อดีที่สุด แล้วก็เป็นผู้ที่คนอื่นไว้วางใจที่สุด สาเหตุเกี่ยวข้องกับวิชาเวทที่อู๋หมิงเจินเจ่อฝึกฝน หลักคำสอนของสำนักพุทธเทียบกับเต๋าขงจื้ออีกสองสายแล้วอ่อนโยนกว่ามาก และสิ่งที่อู๋หมิงเจินเจ่อฝึกฝนเห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาเวทที่ค่อนข้างเคร่งครัด มีข้อเรียกร้องด้านสภาวะจิตใจสูงยิ่ง คนอย่างเขาในโลกฝึกเซียนที่จิตใจคนยากหยั่งถึงมักจะเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจอันดับแรกของผู้อื่น
แน่นอนว่า ที่บัณฑิตอวี๋และฉินซีค่อนสุภาพต่อเขาขนาดนี้ ไม่เห็นเป็นเพียงเพราะเหตุนี้เลย บัณฑิตอวี๋กับอู๋หมิงเจินเจ่อมีมิตรภาพเก่าแก่ ทั้งสองคนมีการคบหากันอยู่เสมอ ส่วนฉินซี ก่อนที่จะเข้าเส้นทางวังเซียนได้รับความช่วยเหลือของอู๋หมิงเจินเจ่อ ก็เลยมีจิตใจนึกขอบคุณ พวกเขากลุ่มเล็ก ๆ นี้มีรวมทั้งสิ้นห้าฝ่าย นอกจากสำนักจิ่วเยี่ยนที่แกร่งหน่อย ความแข็งแกร่งของทุก ๆ ฝ่ายล้วนเท่า ๆ กัน หากสามารถดึงมาเป็นพันธมิตรก็เป็นเรื่องดี
อู๋หมิงเจินเจ่อยังคงหลับตา อมยิ้มทักทายทุกคน แม้แต่รุ่นเยาว์สองคนก็ไม่ละเลย สุดท้ายถึงขนาดเอ่ยถึงจิ่งสิงจื่อ “ไม่ทราบสหายเต๋าท่านนี้เป็นสหายผู้ใดหรือ”
ฉินซียังคงแนะนำอีกรอบ เปิดเผยเจตนาที่จิ่งสิงจื่อเข้าร่วมกับฝ่ายพวกเขา
อู๋หมิงเจินเจ่อสีหน้านิ่งเฉย พยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นสหายเต๋าจิ่ง”
จิ่งสิงจื่อก็ลุกขึ้นคำนับกลับ “น้อมพบพระอาจารย์”
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ผู้คนสำนักจิ่วเยี่ยนมาถึงในที่สุด
สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ดูไม่ดีมาก หน้ากากเหล็กดำบนหน้าอาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนปกปิดการแสดงอารมณ์ของเขาและยังปิดกั้นจิตหยั่งรู้ ดูความผิดปกติอะไรไม่ออก สีหน้าหลิงซื่ออวี่ซีดขาวคล้ายมีอาการบาดเจ็บบนร่าง หลิงอวิ๋นเฮ่อตามอยู่ข้างหลังอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นคนหลายคนบ้างนั่งบ้างยืนอยู่นอกกำแพงภูเขา สีหน้าอาจารย์เต๋าหยวนมู่ยิ่งหนักอึ้ง คนทั้งหมดกลับมาที่นี่นานแล้ว สีหน้าของทุกคนก็ค่อนข้างร่าเริง เห็นได้ชัดว่าล้วนสมปรารถนา เมื่อคำนึงถึงราคาที่ตนเองจ่ายออกไป เขาจะสามารถมีอารมณ์ดีได้เยี่ยงไร
แต่ว่า ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขายังคงทักทายทุกคนอย่างสุภาพเอาใจใส่ อีกทั้งไม่แสดงการคัดค้านอันใดต่อการมาของจิ่งสิงจื่อ
โม่เทียนเกออยากรู้มากว่าสรุปแล้วสำนักจิ่วเยี่ยนพบเจอกับสถานการณ์อะไร ด้วยขุมกำลังผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคนและผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางหนึ่งคนของพวกเขากลับกลายเป็นอเนจเอนาถยิ่งกว่าคนอื่นได้อีกหรือ นี่ก็ไม่ปกติเกินไปแล้ว
ขณะที่กำลังมอง สายตาจู่ ๆ ก็สบเข้ากับหลิงอวิ๋นเฮ่อ หลิงอวิ๋นเฮ่อยิ้มน้อย ๆ ให้นาง ในแววตาคล้ายมีความเข้าใจ ทำเอาโม่เทียนเกอรู้สึกอับอายอยู่บ้าง กุมมือให้เขา ไม่สำรวจอีก
หลังจากคนสี่ฝ่ายมาชุมนุมกันก็รออีกนานมาก ในช่วงเวลานี้ ศพหลอมระดับแปลงเทพตัวนั้นเข่นฆ่าผู้ฝึกตนไปอีกหลายคน หลังจากนั้นก็ไม่มีเป้าหมายเลย เดินเตร่อยู่ในวังเซียน
เวลากว่าครึ่งวันผ่านไป ผ่านการกวาดล้างของศพหลอมตัวนี้ไป ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ระดับที่ความแข็งแกร่งอ่อนด้อยสักหน่อยในวังเซียนแทบจะถูกฆ่าล้างไปสิ้น เหลือเพียงผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้นรวมทั้งผู้ที่โชคดีจำนวนน้อย คนที่โชคดีมีการเตรียมการไว้แล้ว หลบซ่อนอยู่ไกล ๆ แต่เนิ่น ๆ วังเซียนใหญ่ปานนี้ ศพหลอมนั้นถึงแม้จะอยู่ระดับแปลงเทพก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ถึงปราณมนุษย์ที่ไกลจนเกินไป ในเมื่อสัมผัสปราณมนุษย์ไม่ได้ มันก็เป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง นอกจากเดินเตร่อย่างไร้สติชัมปชัญญะก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก
เพียงแต่ ผ่านการสังหารหมู่ไป พลังทำลายล้างของมันหยั่งลึกอยู่ในใจของทุกผู้คนแล้ว ตอนที่เสาะหาสมบัติก็จะระแวดระวังอยู่ตลอด เลี่ยงไม่ให้ถูกศพหลอมตัวนี้เจอเข้า ความอุตสาหะในการฝึกตนมาหลายร้อยปีกลายเป็นหมอกควัน
“เหตุใดสหายเต๋ากุ่ยฟางยังไม่มา” มองเวลาผ่านไปจนถึงวันสุดท้าย บัณฑิตอวี๋เงยหน้ามองท้องฟ้า ยังไงไม่มีแสงหลบหนีอันใดบินมาใกล้ จึงถามขึ้น
คำถามนี้ไม่มีคนที่สามารถตอบได้ มีเพียงอาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยว่า “บางทีสหายเต๋ากุ่ยฟางอาจจะพบกับความยุ่งยากอะไรแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเรายังจะรอไหม” บัณฑิตอวี๋ขมวดคิ้ว เคาะพัดจีบในมือ “เวลามีไม่มาก หนึ่งวันหลังจากนี้เส้นทางจะปิด จิตหยั่งรู้บนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าสลายไปแล้ว จะไม่มีหนทางเปิดขึ้นมาอีก หากถูกขังอยู่ที่นี่ ถึงจะเลื่อนขึ้นแปลงเทพจะมีประโยชน์อันใด”
“……” ทุกคนเงียบงันไร้วาจา คำพูดของบัณฑิตอวี๋เป็นสิ่งที่พวกเขากังวลอยู่พอดี
ในวังเซียนนี้ พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ศิลาวิญญาณขั้นสูงหาได้ทุกแห่งหน สามารถค้นพบวัตถุวิญญาณโบราณกาลได้เป็นครั้งคราว หากสามารถฝึกตนที่นี่ ความเร็วนั้นเทียบกับโลกภายนอกแล้วห่างกันลิบลับ แต่ว่า เส้นทางวังเซียนปิด ไร้วิธีออกไป ถึงจะฝึกตนไปถึงแปลงเทพแล้วจะอย่างไรเล่า? การเลื่อนขึ้นแปลงเทพก็เพื่อสำรวจความลับของความอมตะ ถึงขนาดที่บรรลุแจ้งกลายเป็นเซียน หากถูกขังอยู่ที่นี่ตลอด สุดท้ายก็ไม่ต่างจากศพหลอมระดับแปลงเทพตัวนั้น มีระดับการฝึกตนเสียเปล่า ไร้ความหมายแม้แต่น้อย
อีกประการ วังเซียนตอนนี้มีศพหลอมระดับแปลงเทพหนึ่งตัวเดินเพ่นพ่านไปทั่ว หากพวกเขารั้งอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะหลบซ่อนอย่างไรเกรงว่าล้วนจะหนีไม่พ้นผลลัพธ์ของการถูกเข่นฆ่า
“สหายน้อยโม่” ผ่านไปพักหนึ่ง อาจารย์เต๋าหยวนมู่จู่ ๆ ส่งเสียงออกมา “หากสหายเต๋ากุ่ยฟางไม่มา อาศัยกำลังของพวกเราจะสามารถเปิดม่านพลังมายาหรือไม่”
โม่เทียนเกอขบคิดครู่หนึ่ง ตอบว่า “น่าจะไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ได้ยินแล้วเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ลงมือเถอะ เวลาที่นัดหมายผ่านไปแล้ว สหายเต๋ากุ่ยฟางชักช้าไม่มา พวกเราไม่สามารถรอคอยไปตลอดกาล”
“มิผิด” บัณฑิตอวี๋พยักหน้า “เวลางวดเข้ามาแล้ว ได้แต่เป็นเช่นนี้”
อู๋หมิงเจินเจ่อลังเลนิดหน่อย ถอนหายใจเบา ๆ ไม่เปล่งวาจาคัดค้าน
ในเมื่อพวกเขาล้วนตัดสินใจเช่นนี้ ฉินซีและโม่เทียนเกอย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง ประมุขมารกุ่ยฟางสองศิษย์อาจารย์ไม่ใช่พันธมิตร พวกเขายังกลัวว่าคนมากเกินไปจะมีคนที่มีเจตนาชั่วร้าย
หลังจากแลกเปลี่ยนสายตากับฉินซี โม่เทียนเกอพยักหน้าตอบรับ “ได้เจ้าค่ะ ในเมื่อผู้อาวุโสทุกท่านล้วนรู้สึกเช่นนี้ พวกเราก็เริ่มเลย”
เมื่อตัดสินใจแล้ว โม่เทียนเกอไม่ได้เสียเวลา หยิบผังปากั้วไท่จี๋ออกมาจากในแขนเสื้อ จัดระเบียบพลังวิญญาณโดยรอบหนึ่งรอบ จากนั้น หยิบอาวุธเวทรูประฆังหนึ่งใบออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ
นางสั่นเบา ๆ อาวุธเวทระฆังลอยขึ้นสู่ฟ้า เคลื่อนไหวโดยไร้ลม ส่งเสียงกระจ่างใสออกมา
“นี่คือ……” บัณฑิตอวี๋เห็นฉากนี้ก็ตะลึงไป
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดจาก จดจ่ออยู่กับการควบคุมวัตถุนี้ให้มันเคลื่อนไปทั่วกำแพงภูเขา
เสียง “ติงตัง ๆ” ดังไม่ขาดสาย ทุกคนได้ยินอยู่ในหู ค้นพบว่าเสียงนี้ส่งผลกระทบต่อจิตสัมผัส เหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานรีบสำรวมจิตสงบปราณ มุ่งป้องกันตานเถียน
ดูอยู่พักหนึ่ง บัณฑิตอวี๋เป่าปาก กล่าวว่า “ที่แท้เสียงยังมีวิธีใช้งานประเภทนี้” เมื่อเห็นหานซื่อจือสีหน้าค่อนข้างงงงวย เขาอธิบายว่า “สมบัตินี้ใช้คลื่นเสียงเป็นสื่อ เข้าจู่โจมม่านพลังมายา เนื่องจากการโจมตีของคลื่นเสียงเบาบางถึงสิบส่วน ดังนั้นม่านพลังมายาไม่โจมตีกลับขึ้นมาเอง แต่ว่า ภายใต้คลื่นเสียงนี้ พลังวิญญาณจะสร้างความผันผวนอันละเอียดอ่อนขึ้น คนที่คุ้นเคยกับวิชาม่านพลังจะสามารถอาศัยความผันผวนชนิดนี้หาจุดอ่อนของม่านพลังมายาได้”
วาจาเขาเพิ่งจะพูดจบ อาวุธเวทระฆังก็หยุดลง โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างดีใจว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ก็คือตรงนั้น!”
ทุกคนเงยหน้ามอง จุดอ่อนของม่านพลังมายานี้อยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงภูเขา
โม่เทียนเกอเก็บอาวุธเวทระฆัง หันไปทางบัณฑิตอวี๋ “ผู้อาวุโสอวี๋ ถัดไปไม่ต้องใช้ผู้เยาว์แล้วกระมังเจ้าคะ?”
บัณฑิตอวี๋พยักหน้าเล็กน้อย เดินขึ้นหน้า “ในเมื่อมีจุดอ่อนอยู่ เช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว สหายเต๋าทุกท่าน พวกเรารวมพลังโจมตี รอบตีออกมาเป็นรอยแตกเส้นหนึ่ง!”
……………….
ตอนที่ 479 – เข้าสู่ห้องคลัง
MANGA DISCUSSION