ตอนที่ 476 – การพบปะที่ไม่คาดหมาย
เมื่อปล่อยศพหลอมระดับแปลงเทพออกมาที่ผาบำเพ็ญทุกขกิริยา ตอนที่หลบหนี ฉินซีจงใจชักนำไปแถว ๆ เมี่ยวอิงหยวนจวินและพรตเต๋ากัว เมี่ยวอิงหยวนจวินและพรตเต๋ากัวก็ไปพบกับซูเซียงเจินเจ่ออยู่กลางทางอีก
ภายใต้วัฏจักรเช่นนี้ ในวังเซียนของวังน้ำแข็งยะเยือกสำนักใหญ่โบราณกาลนี้ หมูหมากาไก่วิ่งกันอลหม่าน แทบจะทุกคนล้วนถูกม้วนเข้าไป
ที่อนาถที่สุดคือผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นขั้นกลางสามคน พวกเขาสามารถเข้ามาในวังเซียน ถึงความแข็งแกร่งก็ไม่แย่ แต่ก็อาศัยโชคด้วย ตอนที่ผ่านทางเดินได้รับบาดเจ็บไม่เบา กำลังท่องอยู่ในวังเซียนเสาะหาสมบัติวิญญาณ โชคร้ายเจอกับศพหลอมระดับแปลงเทพที่กำลังเดินเตร่อยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตหยั่งรู้, ประสบการณ์ หรือว่าทักษะหลบหนี พวกเขาล้วนเทียบผู้ฝึกตนใหญ่วิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้นไม่ได้ เมื่อไม่ได้ระวังป้องกันจึงถูกศพหลอมสังหารซึ่งหน้า
จากนั้นเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางที่ได้รับบาดเจ็บสองคนนั้นของสำนักจิ่วเยี่ยน พวกเขามีปฏิกิริยาเร็วยิ่ง ค้นพบอย่างทันท่วงทีมาก แต่ในขั้นตอนการหลบหนี เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนัก คนหนึ่งถูกตามทัน อีกคนพบกับกำแพงอาคมอิสระอันแข็งแกร่งในอากาศและล้มลง
ต่อจากนั้น……
ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ทั่วทั้งวังเซียนกลายเป็นโรงเชือด ผู้ฝึกตนที่ความแข็งแกร่งด้อยสักเล็กน้อยถูกฆ่าล้างสิ้น มีเพียงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านั้น รวมทั้งผู้ที่โชคดีบางส่วนเป็นข้อยกเว้น
แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเหล่านี้ก็ไม่ได้หนีรอดปลอดภัยโดยสิ้นเชิง ประมุขมารเยว่อิ่งโชคร้ายมากสูญเสียศพหลอมไปหนึ่งตัว เทียบเท่ากับการถูกตัดแขนไปหนึ่งข้าง ส่วนคนอื่น ๆ ถึงจะไม่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกไล่ล่าจนเสียพลังวิญญาณไปมาก เพื่อแก้กำแพงอาคมที่เจอขณะบินหลบหนี มิอาจไม่ใช้สมบัติวิญญาณและทักษะลับส่วนหนึ่งออกไป
ในวังเซียนที่วุ่นวายจนเละเทะไปหมดนี้ ผู้ฝึกตนที่เจอกับศพหลอมระดับแปลงเทพทุกคนล้วนสบถในใจเป็นการใหญ่ พวกเขาเข้าวังเซียนมาหนึ่งวันกว่า เดิมไม่เห็นศพหลอมระดับแปลงเทพอะไร ไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าสารเลวคนไหนปล่อยศพหลอมนี่ออกมา ทำให้พวกเขาซวยหนักมาก!
เวลานี้ โม่เทียนเกอและฉินซีที่เป็นตัวการใหญ่ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้ว มุ่งหน้าไปทางห้องคลังอย่างระแวดระวังตื่นตัว
เสียงเคลื่อนไหวที่ศพหลอมชักนำขึ้นมาใหญ่โตขนาดนี้ พวกเขาย่อมมิใช่ไม่สังเกตเห็น แต่ว่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาคาดหวังไว้พอดี
ศพหลอมถูกปล่อยออกมาแล้ว ให้ดีที่สุดคือลากทุกคนลงน้ำโคลนปลักนี้ อย่างนี้พวกเขาจึงสลัดหลุดได้ง่าย ถ้าไม่อย่างนั้น มีเพียงพวกเขาถูกศพหลอมไล่ล่า ไยมิใช่ทำให้คนอื่นได้กำไรไปเปล่า ๆ?
โดยเฉพาะโม่เทียนเกอยิ่งยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น การเดินทางมาทะเลกุยสวีเที่ยวนี้ ก่อนที่ฉินซีจะมา นางถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้รังแกจนสุดจะทน ตอนนี้พวกเขาซวย นางจึงไม่รู้สึกผิด
ข้างหน้ามีแสงหลบหนีอีกสายบินผ่านไปด้วยความเร็วสูง ฉินซีดึงโม่เทียนเกอไปอีกทางหนึ่งอย่างระมัดระวัง
ในเวลาครึ่งวันนี้ ฉากนี้พวกเขาเห็นมามากแล้ว บ่อยครั้งจะมีผู้ฝึกตนไม่สนใจกำแพงอาคมในอากาศ หนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่งในวังเซียน มันไร้หนทางจริง ๆ กำแพงอาคมจะอันตรายอีกแค่ไหน ความน่าจะเป็นที่จะพบเข้าไม่ได้สูงมากเลย หากถูกศพหลอมนั่นไล่คามทัน นั่นจึงจบเห่แบบร้อยละร้อย
“จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง” ฉินซีมองแสงหลบหนีสายนั้น กล่าวว่า “คนผู้นี้ความแข็งแกร่งไม่ต่ำ แต่ว่า เหมือนจะมีอาการบาดเจ็บบนร่าง อันตรายแล้ว”
โม่เทียนเกอเพ่งมองแสงหลบหนีสายนั้นอยู่ไกล ๆ ศพหลอมข้างหลังตามมาติด ๆ ตามคาด แสงหลบหนีนั้นสั่นไหวในอากาศ หยุดนิ่งชั่วขณะ แล้วถูกปราณมารนั้นไล่ตามทัน
ปราณมารขยายตัว ปกคลุมแสงหลบหนีสายนั้น พวกเขาราวกับจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากข้างใน ต่อจากนั้น ปราณมารกลืนกินแสงหลบหนีทั้งหมดอย่างช้า ๆ
ฉากนี้เกิดขึ้นกลางอากาศ ผู้ฝึกตนจำนวนมากในวังเซียนล้วนมองเห็น อดรู้สึกใจเต้นระทึกไม่ได้
ระดับแปลงเทพ หุบเหวที่พวกเขาไม่อาจข้ามผ่าน หากเปลี่ยนไปพวกเขาถูกไล่ทันก็ถูกทำลายในการโบกมือครั้งเดียวเหมือนกัน ไม่อาจต้านทานได้เลย
รอจนแสงหลบหนีสายนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง ปราณมารหยุดอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งแล้วจึงไล่ไปในอีกทิศทางหนึ่ง
ครั้งนี้ สิ่งที่เหินข้ามฟากฟ้าเป็นแสงกระบี่อันบาดนัยน์ตาสายหนึ่ง บินหลบหนีมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ฉินซีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่มีเวลาให้ซ่อนตัว ดึงโม่เทียนเกอขึ้นเมฆบิน เลือกทางหนึ่งอย่างส่งเดชหนีไป
ใครจะรู้ว่าเจ้านายของแสงกระบี่นั่นคล้ายจะเห็นพวกเขา หันร่างไล่มาทางพวกเขาด้วยเหมือนกัน
เมื่อค้นพบจุดนี้ ฉินซีขมวดคิ้วแนบแน่น “คนคนนี้จงใจ!”
หากเจอศพหลอมก็หาผีอาภัพคนอื่น นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ผู้ฝึกตนในวังเซียนเห็นพ้องต้องกันในครึ่งวันมานี้ มีคนที่ประสบความสำเร็จ และมีคนที่กลายเป็นเหยื่อ
คนคนนี้ตามติดอย่างไม่ลดละอยู่ข้างหลัง ข้างหลังคนคนนี้ ศพหลอมตามมาติด ๆ บินไปได้พักหนึ่ง ฉินซีกล่าวด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ว่า “คนผู้นี้ระดับการฝึกตนปานกลาง ความเร็วหลบหนีกลับเร็วนัก เกรงแต่ว่าพวกเราจะสลัดไม่หลุดไปพักหนึ่ง”
โม่เทียนเกอหันหน้าไปมอง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “คนคนนี้เห็นได้ชัดว่าเกาะพวกเรา ถึงจะไล่ตามไม่ทัน หลังจากเขาถูกศพหลอมเข่นฆ่า ศพหลอมนั้นก็จะมาหาพวกเรา ช่างทำร้ายคนโดยไม่ได้ประโยชน์จริง ๆ!”
“หึ!” ในดวงตาฉินซีมีแววอำมหิตวูบขึ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “หากเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ถือสาที่จะเข่นฆ่าคนผู้นี้ก่อนศพหลอม!”
ถึงจะบอกว่าวิธีปฏิบัตินี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเลย แต่ถูกวางอุบายใส่อย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ เป็นใครก็โมโห
โม่เทียนเกอหุบปาก เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ถ้ามิใช่แบกนางอยู่ ความเร็วหลบหนีของฉินซีน่าจะเร็วกว่านี้อีกหน่อย แต่ว่า……
“คนคนนี้พลังวิญญาณไม่ต่อเนื่องแล้ว!” เมื่อหันศีรษะกลับไปอีกครั้ง โม่เทียนเกอก็ค้นพบจุดนี้ เอ่ยอย่างดีใจ
“อืม” ในระหว่างหลบหนี ฉินซีก็ให้ความสนใจด้านหลังอยู่เสมอ พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยไป ความเร็วหลบหนีของคนผู้นี้ช้าลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังวิญญาณไม่พอแล้ว
ขณะที่กำลังจะเร่งความเร็วหลบหนี จู่ ๆ ได้ยินเสียงใสกระจ่างข้างหลัง กระบี่บินใต้เท้าคนคนนั้นระเบิดแสงกระบี่หมื่นจ้างออกมา เร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน
“หืม?” ฉินซีชะงักเท้า หยุดครู่หนึ่ง จู่ ๆ หันศีรษะไปพบหน้ากับคนคนนั้น
“ซือเกอ!” โม่เทียนเกอตะลึงมาก ไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรไป ในเมื่อคนผู้นี้พลังวิญญาณไม่ต่อเนื่อง ถึงจะร่ายทักษะลับก็เป็นแรงเฮือกสุดท้ายแล้ว ขอเพียงเร่งความเร็วหลบหนีก็สามารถสลัดทิ้งเขา ทำไมกลับหันไปพบหน้าเล่า?
ฉินซีไม่ได้ตอบ พบหน้ากับเจ้านายของแสงกระบี่นั้นอย่างรวดเร็ว เขาชูมือขึ้น โยนเครื่องรางวิญญาณหนึ่งชิ้นออกไป
เครื่องรางวิญญาณเมื่อเจอลมก็ลุกไหม้ แต่จู่ ๆ ปลดปล่อยพลังวิญญาณอันกล้าแข็งออกมา ควบรวมเป็นร่างคนหนึ่งคนอย่างช้า ๆ ในอากาศ หยุดนิ่งอยู่ข้างหลังคนคนนั้น
เมื่อกระทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว ฉินซีหันเมฆบินบินหลบหนีจากไปอีกครั้ง ส่วนแสงกระบี่สายนั้นหยุดชั่วครู่แล้วก็ตามหลังมาติด ๆ
ศพหลอมไล่ตามมาทันอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่ก่อเกิดจากเครื่องรางวิญญาณ คล้ายจะสับสนอยู่บ้าง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายยังคงเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้
ศพหลอมหยุดลง ช่วงชิงเวลาสักพักหนึ่งให้กับทั้งสามคน หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
รอจนศพหลอมกลืนกินพลังวิญญาณที่ก่อเกิดจากเครื่องรางวิญญาณจนหมดสิ้นก็พอดีค้นพบผู้ฝึกตนอีกกลุ่มใกล้ ๆ หันศีรษะไล่ตามไป
ทั้งสามคนถอนหายใจโล่งอก หลบหนีไปอีกระยะทางหนึ่ง แล้วจึงหาสถานที่ปลอดภัยทิ้งตัวลง
“เป็นท่าน!” เมื่อทิ้งตัวลงในสวนดอกไม้อันรกร้างแล้ว โม่เทียนเกอก็เห็นคนผู้นี้ ตะลึงงันไป
คนผู้นี้สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ ใบหน้าซูบตอบ สีหน้าไร้อารมณ์ ก็คือนักกระบี่ชุดเขียวเจี้ยนซินที่นางพบที่เมืองซิงลั่วเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นพวกเขาตกลงไปในหลุมพรางของเจ้าเมืองเหมยพร้อมกัน เคยร่วมมือกัน แต่ภายหลังนางถูกเจ้าเมืองเหมยไล่ฆ่า ไม่รู้ตำแหน่งแห่งหนของเจี้ยนซินเลย
สำหรับเจี้ยนซิน ความรู้สึกของโม่เทียนเกอซับซ้อนมาก คนผู้นี้มีไหวพริบ จิตใจละเอียดอ่อน ในภาวะวิกฤตสามารถตัดสินใจอย่างว่องไว เป็นบุคคลชั้นหนึ่งจริง ๆ แต่ว่าเขาก็เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ด้วย เพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่แยแสชีวิตคนอื่นสักนิด มิใช่คนที่สามารถคบหาสมาคมด้วยได้เลย แต่ว่า ก็เป็นคนอย่างนี้นี่แหละ ตอนที่นางกำลังจะถูกเจ้าเมืองเหมยเข่นฆ่า ได้ลงมือขัดขวางครั้งหนึ่ง ทำให้นางสามารถหนีเอาชีวิตรอด นางบอกได้ไม่ชัดเจนอยู่บ้างว่าตนเองเกลียดชังเขาหรือว่ารู้สึกขอบคุณเขา
แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งตะลึงคือ ตอนที่พบกันครั้งแรก เจี้ยนซินเห็นได้ชัดว่ามีระดับก่อเกิดตานขั้นกลาง ปัจจุบันนี้กลับเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นแล้ว! ระยะเวลาห้าสิบกว่าปี จากก่อเกิดตานขั้นกลางถึงจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น ความเร็วนี้ไม่อาจบอกว่าไม่เร็ว อย่าว่าแต่คนผู้นี้ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย!
นางยังไม่ทันพูดอะไรอีก เจี้ยนซินคนนี้จู่ ๆ ยิ้มให้นาง รอยยิ้มนี้จนใจอยู่บ้าง ปลิดปลงอยู่บ้าง และเจือความรู้สึกคุ้นเคยอันไม่อาจบรรยาย ทำให้โม่เทียนเกอนิ่งอึ้งไป
คนคนนี้……
ฉินซีได้ยินวาจาของนาง มุ่นคิ้วมองนางอย่างไม่เข้าใจแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไป กล่าวกับคนผู้นี้ว่า “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่”
“ทำไมข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะ” น้ำเสียงของเจี้ยนซินก็จนใจมาก แววตาที่มองพวกเขาซับซ้อนถึงสิบส่วน “ท่านจดจำข้าออกได้อย่างไร”
ฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถึงอย่างไรก็รู้จักกันมาสองร้อยกว่าปีแล้ว ทักษะลับอันนี้ของท่าน คนอื่นจำไม่ได้ ข้ากลับจำได้”
“……” เจี้ยนซินก้มหน้า คล้ายกับหดหู่อยู่บ้าง ไม่ตอบวาจา
ฉินซีร้องหึเสียงเย็นอีกคำ กล่าวว่า “ทำร้ายคนโดยไม่ได้ผลประโยชน์ ถึงตายก็ต้องหาเหยื่อสังเวย นิสัยนี้ของท่านถึงตายก็ทิ้งไม่ได้จริง ๆ!”
เมื่อได้ยินวาจานี้ เจี้ยนซินตอบอย่างหดหู่ว่า “รู้แต่แรกว่าเป็นพวกท่าน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไล่ตามมาหรอก”
“หึ!” ฉินซีร้องหึอีกคำ ไม่พูดจาแล้ว
พวกเขาสนทนากันอย่างมีปริศนา ฟังแล้วโม่เทียนเกอเหมือนศีรษะอยู่ในหมอกหนา นางมองฉินซี แล้วมองเจี้ยนซิน ในใจจู่ ๆ ผุดความคิดอันน่าเหลือเชื่อขึ้น แต่ยิ่งมองเจี้ยนซินคนนี้ ความคิดนี้ยิ่งเป็นจริง
“ท่านคือจิ่งสิงจื่อ!” นางโพล่งออกมา
เจี้ยนซินเงยหน้ามองนาง ถอนหายใจอย่างหดหู่ไร้ที่เปรียบ ยื่นมือไปเช็ดหน้า เผยใบหน้าราวดอกท้อของจิ่งสิงจื่อออกมาตามคาด
“ครั้งนี้จำได้สักทีนะ เจ้าช่างเชื่องช้าจริง ๆ” เขายิ้ม ๆ
“……” ที่แท้เขาก็คือจิ่งสิงจื่อ โม่เทียนเกอในใจปั่นป่วน สีหน้ากลับสงบนิ่งไร้คลื่นลม
เมื่อพอกับเจี้ยนซินตอนแรก นางเพียงรู้สึกว่าคนคนนี้นิสัยคุ้น ๆ อยู่บ้าง แต่ไม่ได้คิดลึกซึ้งเลย ถึงอย่างไรคนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์อย่างเขา โลกฝึกเซียนมีจำนวนไม่น้อย อีกประการ ที่นี่เป็นอวิ๋นจง นางไหนเลยจะคิดได้ว่านอกจากเนี่ยอู๋ชาง ตนเองยังจะเจอกับสหายเก่าอีกคน?
แต่ว่า ตอนนี้คิดดูแล้วก็ไม่มีอะไรที่น่าประหลาดใจ สถานการณ์ของจิ่งสิงจื่อ นางรู้อยู่แต่แรก ทะเลาะกับฝ่ายของผู้อาวุโสกระบี่ฝูหลิง เขาอยู่ที่สำนักกู่เจี้ยนคาดว่าจะไปไม่รอด วิ่งมาที่อวิ๋นจงก็ไม่น่าประหลาด ถึงอวิ๋นจงจะห่างจากเทียนจี๋ไกลมาก แต่นางค้นพบเส้นทางใต้ทะเลเส้นหนึ่ง เนี่ยอู๋ชางข้ามทะเลใต้อย่างปลอดภัย จิ่งสิงจื่อก็ย่อมสามารถหาทางสักทางเจอ
เมื่อเห็นสายตาฉงนของฉินซี โม่เทียนเกออธิบายคร่าว ๆ ว่า “ปีนั้นตอนที่ข้าถูกเหมยเฟิงวางอุบาย เขาก็อยู่ในนั้น”
ฉินซีพยักหน้า แสดงออกว่าทราบแล้ว ประสบการณ์หลายปีนี้ของนาง เขาล้วนเคยถามไถ่แล้ว ขณะนี้เพียงฟังหนึ่งประโยคก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องอันใด
โม่เทียนเกอถามอีกว่า “ท่านมิใช่ก่อเกิดตานขั้นปลายไปแล้วหรือไร ทำไมตอนแรกเป็นก่อเกิดตานขั้นกลาง ส่วนตอนนี้ก็ผูกจิตวิญญาณแล้วอีก……”
จิ่งสิงจื่อแบมือ ตอบว่า “เพราะข้าได้รับบาดเจ็บระดับชั้นจึงลดลงไม่ได้หรือ ส่วนผูกจิตวิญญาณ……ข้าเป็นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกับฉินโส่วจิ้ง เขายังจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางแล้ว ทำไมข้าจะผูกจิตวิญญาณไม่ได้?”
“……”
เขาตอบเสร็จ โม่เทียนเกอก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ส่วนฉินซีก็ไม่พูดอีก ทั้งสามคนตกสู่ความเงียบงันอันแปลกประหลาด
……………….
มีใครเดาได้ไหมคะว่าจะเจอหมอนี่ที่อวิ๋นจง แถมเจอตั้งนานแล้วเลยด้วย ตอนเราอ่านนี่เซอร์ไพรส์มาก
ตอนที่ 477 – ข้อตกลงร่วมมือ
MANGA DISCUSSION