ตอนที่ 456 – ปีศาจแรกเริ่มแรกปรากฏ
“ทางนี้” ตามการชี้แนะของฝูเหยาจื่อ โม่เทียนเกอพาฉินซีทะลุผ่านป่าผืนหนึ่ง อ้อมไปข้างหน้าผา
ใต้หน้าผามีป่าหินประหลาดตั้งอยู่ ภูมิประเทศค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ว่าโล่งเตียน ไม่มีสัญญาณว่าจะมีสมบัติวิญญาณอะไรงอกเงยที่นี่ คิดว่าจะต้องไม่มีผู้ใดเลือกเส้นทางนี้
“ที่นี่พิกลนัก ระมัดระวังด้วย อย่าลงมืออย่างหุนหัน” ในกระบี่ฝูเซิงมีเสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้น
โม่เทียนเกอตอบรับเบา ๆ คำหนึ่ง หันไปบอกฉินซี
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย แผ่จิตหยั่งรู้ออกไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “สถานที่นี้……” เขาลังเลชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยต่อไปว่า “มีปราณมารซ่อนอยู่ ต้องไปที่นี่จริง ๆ หรือ”
“ไปเถอะ” โม่เทียนเกอใช้การกระทำเป็นคำตอบ ก้าวเท้าไปทางป่าหิน
ในรอยแยกมิตินี้มีกำแพงอาคมอันพิสดาร หากเหินบินโดยประมาท เกรงแต่ว่าจะถูกหลอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตายโดยไร้ที่กลบฝัง ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เข้ามาที่นี่ไม่ว่าจะมีระดับการฝึกตนอะไร มีคนร่วมทางมากน้อยเท่าใด ล้วนบินเรียดพื้นอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นนางมั่นใจเช่นนี้ ฉินซีจึงไม่พูดอะไรอีก เดินตามเข้าไป
หลังจากสังเกตรอบด้านอย่างละเอียด โม่เทียนเกอล้วงร่มปทุมาออกมากางขึ้น
มองคำรบแรก ตีนเขาสงบเงียบ ไร้สิ่งผิดปกติ แต่ลมปราณอันแปลกพิกลที่ซ่อนอยู่ภายในกลับทำให้คนไม่เป็นสุข ก่อนหน้านี้ฝูเหยาจื่อเคยเตือนแล้วว่านี่เป็นทางลัด แต่ซ่อนภยันตรายเอาไว้ จะต้องเก็บจิตใจอยากรู้อยากเห็น ห้ามสัมผัสสิ่งของอันใดตามใจชอบ
สำหรับร่มปทุมา เดิมก็มีประสิทธิภาพในการขับไล่ปราณมาร หลังออกจากชนเผ่าตะวันตก โม่เทียนเกอยังปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝูเหยาจื่อ ฝึกฝนวิชาเวทสยบปราณมาร อีกทั้งชำระอาวุธเวทต่าง ๆ นานาของตนเองใหม่อีกหนึ่งรอบ มีความสามารถในการสยบปราณมารแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่มปทุมาในปัจจุบัน ในด้านปราบมาร พลังอำนาจไม่สามัญธรรมดาเลย
โม่เทียนเกอจู่ ๆ ค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นวิชาเวทหรือว่าอาวุธเวท ตนเองกลายเป็นดาวข่มของผู้ฝึกมารอย่างช้า ๆ แล้ว หลังจากนี้พบเจอกับผู้ฝึกมารไยมิใช่ได้เปรียบมาก? แล้วคิดถึงคำเปรยของเนี่ยอู๋ชางก่อนหน้านี้ว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับนาง อดยิ้มขึ้นมาอีกมิได้ หากให้นางรู้เข้า นางจะต้องยินดีที่ตนเองมองการไกลกระมัง?
“ยิ้มอะไรหรือ” ฉินซีถาม
“คิดถึงเนี่ยอู๋ชาง รู้สึกว่าน่าสนใจมาก” โม่เทียนเกอตอบ ปล่อยมือ ร่มปทุมาลอยอยู่กลางอากาศเหนือทั้งสองคน แสงเรืองรองอ่อนจางครอบคลุมลงมา กั้นลมปราณอันพิสดารไว้ภายนอก
ฉินซีไม่ได้ถามมากความ เงยหน้าขึ้นมองร่มปทุมา เอ่ยว่า “ดูท่าห้าสิบปีนี้ เจ้ามีวาสนาไม่น้อย ข้าจำได้ว่าวัตถุนี้ในปีนั้นไม่ได้มีพลังระดับนี้”
โม่เทียนเกอก็ไม่ปิดบังเขา บอกเรื่องของฝูเหยาจื่อ
ทั้งสองคนเดินพลางพูดคุยพลาง เดินผ่านป่าหินส่วนใหญ่ไปอย่างช้า ๆ
ทันใดนั้น ฉินซีชะงักฝีเท้า เอ่ยว่า “ข้างหน้ามีคน”
โม่เทียนเกอตะลึง “ถึงกับมีคนเดินทางนี้ด้วย?” ข้างซ้ายของที่นี่เป็นหน้าผา ด้านขวาเป็นป่าไม้ ค้นพบได้ยากมาก หากมิใช่ฝูเหยาจื่อกระตุ้นเตือน ความเป็นไปได้ที่คนทั่วไปจะหาเจอที่นี่มีต่ำมาก
ฉินซีเอ่ยว่า “คนที่เข้ามิติรอยแยกนี้มากขนาดนี้ อีกทั้งล้วนเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ บังเอิญมีคนเสาะพบที่นี่ก็ไม่ประหลาด”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “พวกเราไปต่อ ไม่สนใจพวกเขา”
“อืม” ฉินซีไม่คัดค้าน มีวาจานั้นของอาจารย์เต๋าหยวนมู่อยู่ คาดว่าผู้ฝึกตนที่มาที่นี่ก็ไม่กล้าลงมือใส่พวกเขา
ผ่านไปสักพักหนึ่ง จิตหยั่งรู้ของโม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้แล้ว นางขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “หรือว่าพวกเขากำลังแย่งชิงอะไร”
ฉินซีเอ่ยว่า “จะต้องเป็นเช่นนี้” พวกเขาเข้ามาที่นี่ล้วนมาเพื่อเสาะหาวาสนา สิ่งที่เรียกว่าวาสนานั้นรวมไปถึงสมบัติล้ำค่าด้วย สันนิษฐานว่าผู้ฝึกตนสองกลุ่มนี้ค้นพบสมบัติที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนจึงแย่งชิงกันขึ้นมา
ถึงจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอและฉินซียังคงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร็วไม่ช้า ทั้งไม่ได้เร่งความเร็วแล้วก็ไม่ได้จงใจปลีกตัว
ฝั่งนั้นดูเหมือนจะมีความหวั่นวิตกต่อพวกเขาอยู่บ้าง หยุดการต่อสู้ลงชั่วคราว
“มีคนมากหน่อย” ฉินซีขมวดคิ้วนิด ๆ “หกคน……” แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขากับโม่เทียนเกอยังคงรักษาวิถีบินดั้งเดิมต่อไป
ผ่านไปไม่นานนัก ร่างของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หกคนปรากฏในครรลองสายตา ในนั้นเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางสามคน จิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นสองคน ล้วนเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ ลักษณะพลังวิญญาณไม่เสถียร ในนั้นยังมีคนที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ในที่ไม่ไกลจากพวกเขามีเถาวัลย์แห้งเหี่ยวที่ไม่สะดุดสายตาต้นหนึ่งงอกเงยอยู่ เปล่งพลังวิญญาณอันอ่อนจางออกมา
“สหายเต๋าทั้งสอง!” พวกเขายังไม่ทันเปล่งเสียง ในหกคนนั้นก็มีคนหนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมา
โม่เทียนเกอและฉินซีหยุดเท้าห่างไปหลายจ้าง ฉินซีเอ่ยปากว่า “สหายเต๋าทุกท่าน มีคำสั่งสอนใด”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ส่งเสียงนั้นอยู่ขั้นกลาง อยู่ในวัยห้าสิบกว่าปี แต่งกายราวกับคหบดีโลกปุถุชน มีเพียงอาวุธเวทพัดขนนกในมือที่เปล่งประกายอยู่ภายใน เพิ่มไอเซียนหนึ่งส่วน
เขายิ้มแย้มกุมมือเอ่ยว่า “จ้ายเซี่ยหนานกุยเถียนสำนักตานเสีย สองท่านก็คือสหายเต๋าฉินและสหายเต๋าน้อยโม่ที่ถือกระบี่ฝูเซิงอยู่ในมือกระมัง”
ฉินซีสีหน้าเรียบเฉย ผงกศีรษะคำนับตอบ “มิผิด”
พวกเขาสองคนถูกทุกคนจดจำได้แต่แรกแล้ว หนานกุยเถียนก็เพียงถามเรื่อยเปื่อยหนึ่งคำ จากนั้นหัวเราะฮี่ ๆ เอ่ยว่า “มิติแห่งนี้ใหญ่ขนาดนี้ พวกข้าถึงกับสามารถพบเจอกับสหายเต๋าทั้งสอง เป็นชะตาโดยแท้ แต่ไม่ทราบว่าสหายเต๋าทั้งสองจะไปที่ใด เต็มใจจะร่วมทางกันหรือไม่”
โม่เทียนเกอแอบขมวดคิ้ว หกคนนี้เป็นศัตรูกันอย่างเห็นได้ชัด ในอากาศยังหลงเหลือความผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้ ขณะนี้หนานกุยเถียนผู้นี้กลับเชิญพวกเขาร่วมทาง……
นางกับฉินซียังไม่ทันตอบ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อีกคนหนึ่งก็ร้องหึเสียงเย็นเอ่ยว่า “สหายเต๋าหนาน ท่านหมายความว่าอะไร ระหว่างพวกเรายังไม่ตัดสินแพ้ชนะ ท่านก็รอไม่ไหวที่จะดึงตัวสหายเต๋าฉินโม่ทั้งสองขนาดนี้เลยหรือ”
วาจาเสียดสีนี้ หนานกุยเถียนได้ยินกับหูก็มิได้สีหน้าแปลกไปสักครึ่งส่วน ยังคงยิ้มต้อนรับผู้คน “ฮี่ ๆ ผู้แซ่หนานถามตอนนี้กับถามถัดจากนี้ก็ไม่แตกต่างอะไร สหายเต๋าฉีต้องร้อนใจไปไยกัน” ความหมายเหยียดหยามว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสู้ไม่ได้ในวาจานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนฟังออก
ผู้ฝึกตนหน้าเย็นชาที่ประจันหน้ากับหนานกุยเถียนใบหน้าปรากฏแววโกรธ กำลังจะอ้าปาก ฉินซีก็กล่าวขึ้นมาแล้วว่า “สหายเต๋าทุกท่าน จ้ายเซี่ยกับภรรยาเพียงผ่านมาที่นี่ จะไม่รั้งอยู่นาน ขอตัว”
พูดจบก็กวาดมองเถาวัลย์แห้งต้นนั้นที่อยู่ข้างหลังทั้งหกคนอย่างเฉยเมย มองโม่เทียนเกอแวบหนึ่ง ทั้งสองบินไปโดยไม่รีรอสักนิด
“สหายเต๋าฉิน……” หนานกุยเถียนร้องเรียนอยู่ข้างหลังพวกเขา ไม่ได้รับการตอบกลับ สีหน้ากลับโล่งใจ เขาหันเหสายตาไปยังเถาวัลย์แห้งต้นนั้น สายตาแผดเผาขึ้นมาทันที บนใบหน้าที่ยิ้มแย้มปรากฏรังสีฆ่าฟันอันร้อนแรง
หนีไปได้สักระยะทางหนึ่ง ทั้งสองคนลดความเร็ว เดินทางเงียบ ๆ สักพัก ฉินซีเอ่ยว่า “ดูท่า ต้องมีคนตายไม่น้อย”
โม่เทียนเกอหมวดคิ้ว ถอนหายใจเอ่ยว่า “ใช่” เถาวัลย์แห้งต้นนั้นดูไปไม่สะดุดตา แต่มีพลังวิญญาณธาตุไม้อันพิสุทธิ์อย่างเลือนราง ถ้าหากนางดูไม่ผิด เถาวัลย์แห้งนี้อย่างน้อยที่สุดมีอายุหมื่นปี กำลังมีพลังวิญญาณธาตุไม้เต็มเปี่ยมที่สุด ตอนที่เริ่มจะแห้งเหี่ยว พลังวิญญาณธาตุไม้ในนั้นไม่ว่าจะดูดซับไปใช้เองหรือว่าหลอมสร้างเป็นอาวุธเวทล้วนมีประโยชน์มาก
สมบัติเช่นนี้ ไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กันยกใหญ่อย่างไม่เสียดายชีวิต เมื่อเข้าสู่ระดับจิตวิญญาณใหม่ ความเร็วในการฝึกตนช้าอย่างยิ่ง มีเพียงสมบัติวิญญาณเช่นนี้จึงมีประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ และหากหลอมสร้างเป็นอาวุธเวทก็จะเป็นสมบัติวิญญาณอันสะท้านฟ้า
ตีนเขาแห่งนี้เป็นเพียงสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่งในรอยแยกมิตินี้ ถึงกับมีสมบัติวิญญาณเช่นนี้งอกเงยขึ้นด้วย สามารถจินตนาการได้ว่าที่นี่มีสมบัติมากขนาดไหน!
แต่ว่า การปรากฏขึ้นของสมบัติวิญญาณ เป็นวาสนา แต่ก็เป็นหายนะ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ส่วนใหญ่ของอวิ๋นจงล้วนเข้ามาในมิติแห่งนี้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะมีกี่คนที่สามารถรอดชีวิตออกไป
คนทั้งสองล้วนเพียงแค่ถอนหายใจคำหนึ่ง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวมากนัก ยังคงเดินไปตามทางของตนเอง
นี่ก็คือกฎของโลกฝึกเซียน ผู้แข็งแกร่งชนะผู้อ่อนแอถูกกำจัด ถ้าอยากเป็นผู้ฝึกตนยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือคนอื่น เสาะหามรรคาเซียน ก็จำเป็นต้องเอาชีวิตรอดในการแข่งขันอันโหดร้ายเช่นนี้
รวมทั้งพวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ระวังที่นี่!” กระบี่ฝูเซิงอยู่ที่ข้างหลังสั่นขึ้นมา เสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้น
โม่เทียนเกอปล่อยศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดออกมาอย่างตื่นตัว ฉินซีพอเห็นการกระทำของนางก็ชักกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมาเสียงดัง “ชิ้ง” ทันที
ลำแสงของกระบี่อัคนีสามพลังหยางกวาดผ่าน พลังสภาวะอันกล้าแข็งครอบคลุมลงมา ร่มปทุมาที่ลอยอยู่เหนือคนทั้งสองส่องแสงอันบาดนัยน์ตาออกมาในพริบตา
“มีปราณมาร!” โม่เทียนเกอหมุนฝ่ามือ กางพัดแห่งสวรรค์และโลกา
ภายใต้การชี้แนะของฝูเหยาจื่อ ร่มปทุมาผ่านการปรับแต่ง สัมผัสไวต่อปราณมารถึงสิบส่วน มีปราณมารเพียงนิดเดียวก็จะกระตุ้นเตือน
“พวกเจ้าอย่าขยับ” ฝูเหยาจื่อเตือนทันที “ปราณมารที่นี่ประหลาดมาก พลังวิญญาณที่พวกเจ้าปล่อยออกมายิ่งกล้าแข็ง การแว้งกัดของมันก็จะยิ่งร้ายกาจ”
โม่เทียนเกอตะลึง หันไปแจ้งคำพูดนี้ต่อฉินซี
ฉินซีขมวดคิ้ว “แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะดี?” หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาไยมิใช่มีทักษะเวททว่าไม่อาจใช้ออก?
ฝูเหยาจื่อเอ่ยว่า “ใช้ศาสตร์สยบมารที่เหวยซือสอนเจ้า ประกอบกับทักษะเก็บงำลมหายใจของเจ้า”
โม่เทียนเกอลังเลเล็กน้อย ถามว่า “ซือฟุ เช่นนั้นซือเกอข้า……”
ฝูเหยาจื่อเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้าไว้ใจเขา เช่นนั้นก็ถ่ายทอดต่อเขา”
“ขอบพระคุณซือฟุมากเจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอดีใจ
ศาสตร์สยบมารเป็นศาสตร์เวทโบราณกาลชุดหนึ่ง เนื้อหาค่อนข้างเรียบง่าย ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบันของฉินซี บวกกับการอธิบายของโม่เทียนเกอ ไม่ทันไรก็เชี่ยวชาญศาสตร์เวทแล้ว ทั้งสองคนทำตามคำพูดของฝูเหยาจื่อ เก็บอาวุธเวท ใช้ศาสตร์สยบมารประกอบกับทักษะเก็บงำลมหายใจ ปราณมารที่ปะทุขึ้นเมื่อครู่นี้ก็สลายไปมากอย่างที่คาดเอาไว้
โม่เทียนเกออดหัวเราะเยาะตนเองไม่ได้ เมื่อครู่นี้นางนี่ช่างเฉลียวฉลาดจริง ๆ ฝูเหยาจื่อพอเตือน นางก็ร่ายศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดทันที ทำให้พลังวิญญาณผันผวน จากนั้นฉินซีปล่อยกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมา นี่เลยทำให้ปราณมารปะทุขึ้น
ยิ่งเดินไปข้างหน้า ปราณมารที่ล่องลอยยิ่งมาก พวกมันไม่เข้มข้นเลย แต่กลับห้อมล้อมคนทั้งสองเอาไว้อย่างหนาแน่น
โม่เทียนเกอยิ่งเดินยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด “ปราณมารนี้……”
“ทำไมหรือ” ฉินซีถามเรื่อยเปื่อย เงยหน้าสำรวจรอบด้าน
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ขบคิดเนิ่นนานจึงได้กล่าวว่า “ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าปราณมารนี้คุ้นเคยมาก”
“คุ้นเคย?” เมื่อได้ยินวาจานี้ ฉินซีจับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างพรั่นพรึงว่า “ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม!”
“มิผิด” ปราณมารนี้ถึงจะอ่อน กลิ่นอายมารกลับเป็นเช่นเดียวกับปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“พวกเจ้าถึงกับรู้จักปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มด้วย?” ในกระบี่ฝูเซิง เสียงอันประหลาดใจของฝูเหยาจื่อดังขึ้น
“อืม” โม่เทียนเกอเอ่ย “ซือฟุจำได้ไหมว่า ข้าเคยพบกับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งซึ่งสุดท้ายกลายมาเป็นผู้ฝึกมาร? ปราณมารที่ถูกนางดูดกลืนก็คือปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม”
“……ที่แท้เป็นเช่นนี้”
“ซือฟุ ที่แท้ลมปราณพิสดารในที่นี้ที่ท่านพูดก็คือปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มหรือ สรุปว่านี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ”
ฝูเหยาจื่อเงียบงันไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม เช่นนั้นบอกกับพวกเจ้าโดยละเอียดก็ไม่เสียหาย มิผิด ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มที่เรียกกันนี้ก็คือจุดที่พิสดารที่สุดในรอยแยกมิติแห่งนี้”
……………….
ผู้ฝึกตนหกคน ขั้นกลางสามคน ขั้นต้นสองคน อีกคนคือหยัง?? เราไม่ได้แปลผิดนะคะ
ตอนที่ 457 – ศาลเจ้าอีกแห่ง
MANGA DISCUSSION