บทที่ 7 พรสวรรค์ที่น่าตื่นตะลึง
เย่ฮวาหรงแม้จะถูกเหลียงเฟยโจมตีไปอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ากำลังจะพ่ายแพ้แต่อย่างใด
แท้ที่จริงแล้ว แม้ว่าเหลียงเฟยจะแข็งแกร่งในการป้องกัน แต่หลังจากถูกพละกำลังอันมหาศาลของเย่ฮวาหรงโจมตีมาหลายรอบ ก็เริ่มไม่อาจรับแรงปะทะได้อีกต่อไป
ในขณะที่เย่ฮวาหรงนั้นถูกโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็รู้สึกอับอายและโกรธแค้นยิ่งนัก เขาฟื้นฟูลมปราณอย่างรวดเร็ว คิดจะเริ่มโจมตีอีกครั้ง
ลุงฮั่วเห็นเหลียงเฟยเริ่มอ่อนกำลังลง จึงคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็หยุดชะงักไปเมื่อเย่เทียนฉงส่ายหน้าปฏิเสธ
ลุงฮั่วสับสนงุนงง ไม่เข้าใจว่าท่านผู้นำตระกูลเย่คิดประการใดอยู่
‘หรือว่าเหลียงเฟยนั้นยังไม่ควรค่าแก่การเป็นลูกเขย?’
‘หรือท่านผู้นำตระกูลจะให้คุณชายโจมตีเหลียงเฟยจนสิ้นลมหายใจ? หรือท่านเองก็รู้สึกอับอายที่คุณชายถูกนายน้อยเหลียงเฟยจู่โจมถึงตัวได้?’
แต่แท้จริงแล้ว ลุงฮั่วไม่รู้เลยว่าเย่เทียนฉงต้องการทดสอบว่าเหลียงเฟยจะสามารถสร้างความประหลาดใจอีกครั้งได้หรือไม่ นั่นคือการบรรลุขั้นสูงสุดของการฝึกฝนกายหยาบจนร่างกายเป็นเหล็กกล้าไม่แตกสลาย ตามที่กล่าวกันมา
เย่ฮวาหรงสังเกตเห็นท่านพ่อและลุงฮั่วแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครห้ามปราม เขาจึงหัวเราะขึ้นมาในใจ และพุ่งเข้าโจมตีเหลียงเฟยอย่างไม่ลังเล
สถานการณ์ของเหลียงเฟยในขณะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
โชคดีที่เย่ฮวาหรงได้ใช้พลังไปมากในการโจมตีด้วยศาสตร์วิชาอันยิ่งใหญ่และถูกเหลียงเฟยตอบโต้ด้วยหมัดอย่างหนักหน่วง จึงไม่อาจระดมพลังได้อีก เขาสามารถโจมตีเหลียงเฟยได้เพียงวรยุทธ์ต่อสู้ธรรมดา ๆ เท่านั้น
เหลียงเฟยจึงยังคงต้องรับมือด้วยการต่อสู้ทางกายภาพ กระนั้นแล้วภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นยินดี
ในเกาะหมื่นอสูรที่เขาอาศัยอยู่นานถึง 12 ปี เขาไม่เคยเห็นผู้ใดใช้วรยุทธ์การต่อสู้เลย เพราะงั้นแล้วจึงไม่อาจก้าวสู่ขั้นการฝึกฝนกระบวนท่าต่าง ๆ ทะลวงสู่ขอบเขตผสานกายาได้ ติดอยู่แค่ขอบเขตขัดเกลากระดูกขั้นสูงเท่านั้น
ความตื่นเต้นนี้เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงเติมพลังให้กับตัวเขาแต่ด้วยความสุขุมที่มีมากล้น เขาจึงรีบสงบสติอารมณ์ ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว และผสานศาสตร์ฝีเท้าลมกรดเพื่อเร่งความเร็วสำหรับหลบหลีกอยู่เรื่อย ๆ
วรยุทธ์การต่อสู้ธรรมดา ๆ ไม่ได้มีความน่าเกรงกลัวน้อยไปกว่าการต่อสู้รอบก่อนหน้าเลย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ความเร็วในการหลบหลีกของเหลียงเฟยเริ่มจะช้าลงแล้วด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเร็วพอจะหลบหลีกการโจมตีได้อยู่ดี
เหลียงเฟยยิ้มด้วยความมั่นใจมากขึ้น ในระหว่างที่กำลังหลบหลีกกระบวนท่าของเย่ฮวาหรง เขาก็สังเกตและเรียนรู้กระบวนท่าของอีกฝ่ายไปด้วย!
เพราะเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะเอาแต่หลบหลีกและรอจนกระทั่งเย่ฮวาหรงปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาจนหมด!
เย่เทียนฉงเห็นเหลียงเฟยแค่หลบหลีกอยู่เรื่อย ๆ ไม่เห็นจะแสดงร่างกายแข็งแกร่งอันเลื่องลือ จึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว ตั้งใจจะเรียกลุงฮั่วให้หยุดการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะได้สั่งการใด ๆ เขาก็ได้ยินเสียงบุตรชายของตนตะโกนใส่คู่ต่อสู้ “เหลียงเฟย ถ้าเจ้าคิดว่าตนเองมีดีอะไรซ่อนอยู่ก็จงเผยมันออกมา! เอาแต่หนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้มันไม่ช่วยอะไรเจ้าหรอกนะ!”
เหลียงเฟยได้ยินดังนั้นก็พึมพำด้วยความหงุดหงิด แล้วก็ไม่หลบอีกต่อไป เขาถอยไปไกลหลายก้าว แล้วกลับรุกโจมตีเย่ฮวาหรงในทันที!
เย่เทียนฉงเผยสีหน้าประหลาดใจ เพราะท่าที่เหลียงเฟยใช้โจมตีคือหมัดพันสนร้อยกระเรียนของตระกูลเย่!
“ท่านผู้นำตระกูล ข้าไม่เข้าใจว่าเหลียงเฟยรู้หมัดพันสนร้อยกระเรียนได้อย่างไร” ลุงฮั่วถามด้วยความสงสัย
แม้จะยากต่อการตอบ แต่ด้วยสายตาของเย่เทียนฉง เขาก็พอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง “ถ้ามองไม่ผิด เหลียงเฟยเพิ่งจะลอบเรียนรู้มันเมื่อครู่นี้เอง อย่าลืมว่ารากฐานดีหรือไม่ดี กำหนดผลสำเร็จของการบ่มเพาะ และเขาเป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรรดาผู้ที่ฝึกฝนศาสตร์วิชาการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์!”
ลุงฮั่วประหลาดใจจนงงงวยไปชั่วขณะ “นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ของรากฐานที่แน่นหนาอย่างนั้นหรือ? กระบวนท่าเหล่านี้แม้จะไม่ซับซ้อนมากนัก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะเรียนรู้ได้สมบูรณ์ บางคนที่มีปัญญาสูงมากยังต้องใช้เวลาเดือนกว่า แต่เหลียงเฟยดูเพียงครั้งเดียวก็เรียนรู้ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังใช้มันได้คล่องแคล่วราวกับน้ำไหล ไร้ซึ่งข้อบกพร่องใด ๆ!”
“อืม เมื่อก่อนพวกเราคิดน้อยกันเกินไป ไม่งั้นวันนี้คงไม่ย่ำอยู่กับที่ตั้งหลายปีเช่นนี้”
“นั่นสินะครับ ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังครุ่นคิด เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้น!
ทั้ง ๆ ที่เหลียงเฟยต้องเผชิญกับท่าโจมตีที่ยิ่งใหญ่กว่าของเย่ฮวาหรง ในระหว่างการต่อสู้อยู่ตลอด แต่ตัวเขากลับปรับปรุงกระบวนท่าของตนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็สร้างสรรค์และประยุกต์กระบวนท่าพันสนร้อยกระเรียนให้กลายเป็นศาสตร์วิชาที่สมบูรณ์แบบได้
“นะ นะ นี่มัน…” เมื่อเย่เทียนฉงเห็นเหลียงเฟยปรับปรุงหมัดพันสนร้อยกระเรียนได้ในเวลาอันสั้น ทำสิ่งที่คนอื่นต้องใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะสำเร็จ ก็อ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก!
ได้เห็นบุคคลที่มีพรสวรรค์สูงส่งเช่นนี้ แม้ตายก็ไม่มีอะไรเสียดายแล้ว
เย่เทียนฉงเรียกสติของตนกลับมา เขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะก้าวเข้ามาขวางการประลองเอาไว้ “หยุดเสีย หรงเอ๋อ! ใครให้เจ้าทำเช่นนี้กับแขกผู้มาเยือนกัน”
เขามองออกว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อเหลียงเฟยขโมยเอาศาสตร์วิชามากขึ้น แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขต่อ ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะชนะเย่ฮวาหรงที่ขณะนั้นไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะใช้ศาสตร์วิชาใด ๆ อีกแล้ว
พลังลึกลับบางอย่างในตัวเหลียงเฟยที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ในดินแดนเสินอู่นี้มันน่ากลัวเกินไป และเขากังวลว่าลูกชายของตนจะพ่ายแพ้ยับเยินมากกว่า
เหลียงเฟยเหลียวไปมอง เห็นชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับลุงฮั่วแต่ดูแข็งแรงกว่า ผิวพรรณสดใส มีอากัปกิริยาเด็ดเดี่ยว สวมเสื้อคลุมสีดำกำลังเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ!” เย่ฮวาหรงเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้น รีบยับยั้งความหยิ่งผยองและไอสังหารรอบกาย สำนึกตนอย่างสุภาพ
“เจ้าไร้มารยาท” เย่เทียนฉงตำหนิลูกชายด้วยสายตาดุดัน
ขณะเดียวกัน เหลียงเฟยก็รีบกล่าวทักทายเย่เทียนฉง “คารวะท่านเย่เทียนฉง ข้าคือเหลียงเฟย บุตรชายของเหลียงโหย่วกุ้ย” แม้จะกล่าวออกไปอย่างสุภาพแต่ในใจรู้สึกไม่พอใจนัก
ที่จริงเหลียงเฟยเห็นลุงฮั่วและชายวัยกลางคนนั้นยืนดูอยู่แล้ว
แต่ไม่คิดว่าชายคนนั้นจะเป็นเย่เทียนฉง
น่ารังเกียจนัก พวกเขาทั้งครอบครัวมีนิสัยเหมือนกัน ตอนนี้เห็นเย่ฮวาหรงกำลังจะพ่ายแพ้ จึงออกมาขัดขวางเพราะกลัวจะเสียหน้าตระกูลเย่ ถ้าข่าวแพร่ออกไปว่าราชันยุทธ์ขั้นกลางคนหนึ่งของตระกูลเย่พ่ายแพ้ผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตขัดเกลากระดูกขั้นสูงอย่างเขา จะต้องอับอายขายขี้หน้า จึงเข้ามาขวางไว้
ชายวัยกลางคนพูดกับเหลียงเฟยอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะยิ้มให้กับเขา “อื้ม… ข้ารู้จักพ่อเจ้าดี เจ้าเรียกข้าว่าลุงก็แล้วกัน เรียกเย่เทียนฉงมันฟังดูแปลกนัก” พลางสำรวจตัวเหลียงเฟยจากหัวจรดเท้า ราวกับกำลังพิจารณาลูกเขยคนใหม่
“ครับ ท่านลุง” เหลียงเฟยตอบรับ
“พ่อเจ้าสบายดีนะ” เย่เทียนฉงชี้ไปที่เก้าอี้ไม้แล้วโบกมือให้ทุกคนนั่งลงเพื่อพูดคุย
“เขาสบายดีครับ” เหลียงเฟยตอบด้วยความเคารพ แต่ในใจกลับคิดว่าไม่คาดหวังจะสู่ขอนางผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว ควรจะถอนตัวจากการหมั้นหมายนี้ไปเสีย สตรีจากตระกูลเย่แม้จะงามนักหนา แต่ก็ไม่อาจรับเป็นคู่ครองได้
แม้จะรู้สึกเสียดาย ก็ต้องใช้วิธีปล่อยให้หนีไปก่อน แล้วค่อยดึงกลับมา จึงจะมีที่ยืนในตระกูลเย่ที่ยิ่งใหญ่นั้นได้ในภายหลัง
ท่านผู้นำตระกูลเย่นึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ดีแล้ว สมัยก่อนหากไม่มีบิดาของเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ก็คงจะไม่มีเย่เทียนฉงในตอนนี้แน่!”
เหลียงเฟยเพิ่งเข้าใจในตอนนี้ว่าเหตุใดในอดีตเมื่อครอบครัวของตนประสบปัญหาอุปสรรค ก็มักจะมีผู้มีพระคุณมาช่วยเหลือเสมอ ปรากฏว่าเป็นเพราะได้ที่พึ่งพิงอย่างตระกูลเย่ที่มีอิทธิพลนี่เอง
บางทีท่านผู้เฒ่าพาเขามาที่นิกายหยูฮั่วได้ ก็ต้องขอบคุณตระกูลเย่เช่นกัน
ทั้ง ๆ ที่คิดเช่นนั้น แต่เขากลับรีบกล่าวขึ้น “ขอบคุณท่านลุงเป็นอย่างยิ่งที่ห่วงใยท่านพ่อของข้า”
เย่เทียนฉงมองดูเหลียงเฟย ด้วยสีหน้าเคารพนับถือ “เหลียงเฟย ตระกูลเย่นี้ ติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงกับตระกูลเหลียงของเจ้ายิ่งนัก ในสมัยก่อนนั้น ข้านำกองทัพจำนวนหนึ่งแสนนายไปรบกับแคว้นซีทู ถูกทำร้ายจนพ่ายแพ้ที่ด่านซีกวน ข้าต้องหนีตายคนเดียวมาพึ่งบ้านของท่านเหลียง ขณะนั้นโชคดีที่ตระกูลเหลียงของท่านได้ช่วยซ่อนข้าไว้อย่างสุดชีวิต จึงทำให้ข้ายังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้”
“เมื่อครั้งที่ข้าจากไป ข้าได้สาบานกับท่านพ่อของเจ้าไว้ว่า ไม่ว่าข้าจะรุ่งเรืองขึ้นมาเพียงใด หากมีธิดาก็จะต้องยกให้เป็นสะใภ้ของตระกูลเหลียง หากมีบุตรชายก็จะต้องให้ท่านใช้งานได้ตามสบาย”
เมื่อได้ยินคำปฏิญาณของเย่เทียนฉงในอดีต เย่ฮวาหรงก็หน้าซีดเผือดไปทันที
หากมีบุตรชายก็จะต้องให้ท่านใช้งานได้ตามสบาย?
“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ข้ายังคะนึงคิดอยู่เลยว่า กำหนดการหมั้นหมายก็ใกล้จะถึงแล้ว ตระกูลเหลียงน่าจะส่งคนมาแล้วสิ หรือว่าจะให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายไปหาก่อนกันแน่? แม้พวกข้าจะไม่สนใจเรื่องหน้าตาก็เถอะ แต่นี่ก็ขัดต่อธรรมเนียมประเพณีของชาวหวาเซี่ยอยู่นะ”
“วันนี้เจ้าก็อุตส่าห์มาถึงแล้ว น่าเสียดายที่หลิวซูไม่อยู่ มิเช่นนั้นคงได้พบกับเจ้า!”
“ท่านพ่อ พี่หญิงของข้าได้ทะลวงขั้นจ้าวยุทธ์ไปสู่ขั้นปราชญ์ยุทธ์แล้ว จะไปแต่งกับเขาผู้นี้ได้อย่างไรกัน” เย่ฮวาหรงรู้สึกคับแค้นใจแทนพี่สาวจนต้องเอ่ยปากโต้แย้งขึ้นมา
เขาไม่ปรารถนาให้คนในครอบครัวของเขาเกี่ยวข้องกับหนุ่มยาจกคนนี้ ยิ่งเจ้าตัวถูกเหลียงเฟยทำให้ขายหน้าไปเมื่อครู่ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
“หุบปาก” ผู้เป็นบิดาตะคอก “เจ้าจะรู้อะไรกัน ตระกูลเราขึ้นชื่อเรื่องการรักษาสัตย์วาจา ดังนั้นพวกเราจะไม่ผิดคำมั่นใด ๆ ว่าแต่ข้าให้เจ้าออกสิทธิ์ออกเสียงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หัดมีมารยาทเสียบ้าง กลับออกไปซะ!”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ควรผลักพี่หญิงเข้าไปในกองเพลิงนะครับ ท่านดูเขาสิ เขามีอะไรที่คู่ควรกับพี่หญิงกัน ในหมู่ผู้ที่มาสู่ขอคนเหล่านั้นยังดีกว่าเขาอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า” เย่ฮวาหรงตะโกนด้วยความโกรธ ไม่แม้แต่จะหวาดเกรงท่านผู้นำตระกูลอย่างเย่เทียนฉงอีกต่อไป
เหลียงเฟยรู้สึกไม่เข้าใจกับคำพูดอีกฝ่ายนัก ‘หืม? ข้ากลายเป็นกองเพลิงไปแล้วหรือ? แต่มันไม่ใช่ว่าทางฝั่งตระกูลเจ้าเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับน้ำมันที่ราดลงบนไฟนี่? ไม่มีใครมีมารยาทเลย!’
“ข้ามีขอบเขตของข้า ลุงฮั่ว พาเขาออกไป” ท่านผู้นำตระกูลสั่ง
“ครับ นายท่าน” ลุงฮั่วตอบรับ แล้วเดินไปจูงเย่ฮวาหรงออกไป
แม้จะถูกลากออกไปไกล แต่เย่ฮวาหรงยังคงโวยวายเสียงดังอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ กลับยอมทำลายความสุขของพี่หญิงไป เจ้านั่นเป็นเพียงผู้ฝึกสัตว์อสูร ไม่คู่ควรกับพี่หญิงเลยแม้แต่น้อย!”
“ข้าคงตามใจเขามากเกินไปจริง ๆ เหลียงเฟยไม่ต้องสนใจหรอก” เย่เทียนฉงแสดงความเสียใจ
“ไม่เป็นไรครับ ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจะดีมาก” เหลียงเฟยพูด “ท่านลุง อันที่จริง ข้ามาที่นี่เพราะเรื่องอื่น”
“สิ่งใดที่นำทางเจ้ามายังจวนของข้าในครั้งนี้กัน?” ผู้นำตระกูลพูดพร้อมรอยยิ้ม ใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“เหตุที่ข้ามานั้น อาจจะแตกต่างไปจากที่ท่านคิดไว้บ้าง” เหลียงเฟยหยุดชั่วครู่ แล้วพูดออกไป
“แตกต่าง? แตกต่างอย่างไร? มีปัญหาอะไรรึ?” คิ้วของท่านผู้นำตระกูลขมวด
“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู่ขอ”
“อะไรนะ?” รอยยิ้มค่อย ๆ หายไปจากใบหน้าของเย่เทียนฉง
“ข้ามาเพื่อยกเลิกการหมั้นหมาย” เหลียงเฟยพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา หลังจากพูดจบ ใบหน้าของเขากลับดูสงบนิ่งและไม่แสดงเกรงกลัวใด ๆ เลย
เย่เทียนฉงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ในสมองของเหลียงเฟยก็ปรากฏภาพใหญ่โตของคำว่า “บารมี” และ “กำลังวังชา”
เพราะบารมีจึงก่อกำเนิดกำลังวังชา และเพราะกำลังวังชาจึงหล่อเลี้ยงบารมี
เย่เทียนฉงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่รับผิดชอบการปกปักทิศตะวันตกเพื่อประชาชนชาวจีน ทั้งยังรวมทวีปทั้งเก้าเข้าด้วยกัน ลูกสาวสุดที่รักของเขา เย่หลิวซูซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘ความหวังของตระกูลเย่’ และ ‘หญิงสาวที่สวยที่สุดในสำนักเซียนหยูฮั่ว’ เหลียงเฟยกลับต้องการยุติการหมั้นหมายของนางกับตนราวกับชายผู้หยิ่งผยอง
อย่างไรก็ดี เหลียงเฟยยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ มิได้หวาดหวั่นต่อสิ่งใด
MANGA DISCUSSION