บทที่ 41 สำนักไป่ตู๋
เหลียงเฟยก็ทำตามสัญญาจริง ๆ คำพูดของเขาเชื่อถือได้ คืนนั้นเขาไม่ได้ไปบุกฝ่าที่เทือกเขาโว่หลงอย่างโง่เขลาเพียงลำพัง และเพราะการต่อสู้ครั้งใหญ่เมื่อวานนี้ ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาล้วนเหน็ดเหนื่อย เขาจึงหลับยาวไปจนถึงสายของอีกวัน สุดท้ายก็เป็นเซียวหนิงเสวี่ยที่ปลุกให้เขาตื่น
แต่เนื่องจากเรื่องชายหญิงนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะกระทำการโดยปราศจากการยั้งคิดได้ เซียวหนิงเสวี่ยจึงไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปในห้องโดยไม่ระวัง เพื่อไม่ให้เผลอไปเห็นเหลียงเฟยเปลือยกายเข้า
ด้วยเหตุนี้นางจึงยืนเรียกอยู่ที่หน้าประตู
เหลียงเฟยตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย และอนุญาตให้นางเข้ามา ไม่นานนางก็ยกอ่างน้ำใสเดินเข้ามา
น้ำนั้นใสสะอาด มีผ้าขนหนูสีขาวสะอาดวางอยู่ในนั้น
“ล้างหน้าล้างตาเถอะ ได้เวลากินข้าวแล้ว!” เซียวหนิงเสวี่ยพูดขณะวางอ่างน้ำลงบนขาตั้ง
เหลียงเฟยกล่าวขอบคุณ แล้วใช้ผ้าขนหนูล้างมือและใบหน้า อุณหภูมิของน้ำไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไป พอดีที่จะขจัดความง่วงนอนให้หายไป ทำให้เขารู้สึกสดชื่น รู้สึกสบายมาก
มองไปที่เซียวหนิงเสวี่ยข้าง ๆ เหลียงเฟยรู้สึกขึ้นมาทันใดว่านางช่างดีเลิศเหลือเกิน ไม่เพียงแต่รูปโฉมงดงามน่าหลงใหล แต่ยังทำอาหารเก่งอีกด้วย นางช่างเป็นสตรีที่ดีพร้อมเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนัก
ชายใดได้นางเป็นภรรยา ชีวิตนี้ก็มีแต่ความสุขแล้ว!
เซียวหนิงเสวี่ยเห็นสายตาร้อนผ่าวของเหลียงเฟย ก็อดรู้สึกเขินอายไม่ได้ นางหันหน้าหนีแล้วเดินไปที่เตียง จัดการเก็บที่นอน
เห็นเสื้อผ้าสกปรกที่เหลียงเฟยถอดทิ้งไว้ ยังไม่ได้ซัก นางจึงถามขึ้น “ท่านพี่เฟย ให้ข้าใช้ยันต์ทำความสะอาดเสื้อผ้า ช่วยซักเสื้อผ้าเหล่านี้ให้เจ้าดีหรือไม่?”
เหลียงเฟยส่ายหัวยิ้มน้อย ๆ ถอนหายใจในใจ องค์หญิงน้อย อย่าใจดีกับข้ามากนักเลย ไม่อย่างนั้นท่านพี่เฟยคนนี้จะตกหลุมรักเจ้าเอานะ
ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่เหลียงเฟยก็พูดขอบคุณออกไป
เซียวหนิงเสวี่ยตอบรับแล้วหยิบยันต์วิเศษออกมา ท่องคาถาใส่เสื้อผ้าของเหลียงเฟยสักพัก เสื้อผ้าก็เปล่งประกายสีขาวอ่อน ๆ พอแสงจางหายไป คราบสกปรกต่าง ๆ ก็หายไปหมดและยังให้ความรู้สึกเหมือนใหม่อีกด้วย
เหลียงเฟยเห็นดังนั้น ก็อิจฉาริษยาขึ้นมาบ้าง!
ยันต์ทำความสะอาดเสื้อผ้าเป็นของสมนาคุณสำหรับศิษย์สำนักเซียนหยูฮั่ว เขาเฝ้ารอวันที่จะได้ไม่ต้องเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรอีกต่อไปและได้เป็นศิษย์สำนักสักที
โชคดีที่จากคำพูดของปรมาจารย์เทียนฮั่ว วันนั้นคงไม่ไกลเกินรอแล้ว!
เหลียงเฟยตั้งสติ เช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนค่อยก็ไปกินอาหารเช้ากับเซียวหนิงเสวี่ย
อาหารมากมายถูกจัดสำรับเรียงไว้ รสชาติหวานกลมกล่อม อร่อยจนไม่อาจจะลืมเลือนได้
กินข้าวเสร็จ เหลียงเฟยก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่เวลานอนแล้ว พวกเราไปภูเขาโว่หลงกันเถอะ ตอนกลางคืนอันตราย พวกเราต้องพยายามหาแมลงประหลาดที่ผลิตเส้นด้ายทองคำสำหรับรักษาท่านพี่อู่เหยียนได้ให้เจอตั้งแต่ตอนกลางวันนี้!”
เซียวหนิงเสวี่ยมองไปที่เหลียงเฟย ดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อยที่เขาพูดแบบนั้น ในสายตานาง แม้เหลียงเฟยจะกล้าหาญแต่ก็ขาดความคิด ค่อนข้างดื้อรั้น
ที่แท้เขาก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นสินะ!
ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง เหลียงเฟยเป็นคนที่มีทั้งความหยาบและความละเอียดในเวลาเดียวกันต่างหาก!
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ทั้งสองหันหลัง ยังไม่ทันลุกขึ้น เซียวอู่เหยียน ก็ตะโกนมาจากข้างหลัง “เดี๋ยวก่อน ข้าก็จะไปด้วย!”
“ท่านพี่ แต่ว่าบาดแผลของท่าน…” เซียวหนิงเสวี่ยรีบถามกลับ
เหมือนจะพูดนัย ๆ ว่า ท่านพี่เข้าใจผิดหรือเปล่า? นี่มันโลกส่วนตัวของพวกข้าสองคน ท่านจะไปเป็นตะเกียงไฟทำไมกัน?
เซียวอู่เหยียนยังคงพูดอย่างจริงจัง “ปรมาจารย์เทียนฮั่วบอกว่า ตอนที่ข้ากินเส้นด้ายทองคำ ยิ่งสดใหม่เท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อการฟื้นฟูบาดแผลของข้ามากเท่านั้น ดังนั้นข้าไปด้วยจะดีกว่า!”
“ได้ ไม่ควรชักช้า เช่นนั้นพวกเรารีบไปเก็บของแล้วออกเดินทางกันเถอะ!” เหลียงเฟยคิดแล้วพูดเห็นด้วย จากนั้นก็รีบไปเก็บของที่ห้องก่อนเลย
ทั้งสามเก็บของเสร็จก็บอกลาผู้อาวุโสสกุลเซียวทั้งสอง ท่ามกลางเสียงกำชับที่ดูเหมือนจะพูดมากไปหน่อยของทั้งสองหนุ่มสาวค่อย ๆ ออกเดินทางไกลออกห่างจากจวนตระกูลเซียว
พวกเขาเดินผ่านเส้นทางหลายสาย มาถึงประตูเมือง แม้จะพบกับผู้ฝึกยุทธ์จากตระกูลโหลวไม่น้อย แต่พวกเขาก็หลบหลีกหรือจ้องมองด้วยสายตาโกรธเคือง ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง
เหลียงเฟยเห็นดังนั้นก็ยิ้มด้วยความดีใจ ในใจก็วางใจลง
ดูเหมือนครั้งนี้ที่ปรมาจารย์เทียนฮั่วได้ลงมือนั้นจะส่งผลดีจริง ๆ ตระกูลโหลวคงไม่กล้าก่อกวนตระกูลเซียวอีกแล้วกระมัง
เพียงแต่เซียวอู่เหยียนบาดเจ็บสาหัสเพิ่งจะฟื้น และมีกำลังภายในเพียงแค่ ระดับยอดยุทธ์ แม้จะสูงกว่าเหลียงเฟยอยู่บ้าง แต่พื้นฐานกลับด้อยกว่าเขามาก ไม่เหมาะจะใช้วิชาเหาะเหิน อีกทั้งภูเขาโว่หลงก็ไม่ไกลนัก ดังนั้นทั้งสามจึงเลือกเดินเท้าทางไปทางตะวันตกแทน
อากาศร้อนอบอ้าว ทั้งสามเดินทางมาได้หนึ่งชั่วยาม ร้อนจนทนไม่ไหว พอดีเห็นร้านน้ำชาอยู่ข้างหน้า จึงเดินเข้าไปในร้าน เลือกโต๊ะหนึ่งตัว สั่งชาสามถ้วย
ร้านน้ำชาแห่งนี้ไม่เลวเลย มุงหลังคาด้วยหญ้า กันลมกันฝน อากาศถ่ายเทเย็นสบาย ที่ประตูมีม่านไม้ไผ่ แรงลมผ่านได้แต่ทรายเข้าไม่ได้ ถือเป็นที่พักผ่อนที่ดีทีเดียว
บ่าวรับใช้บริการดี น้ำชาก็ไม่เลว เซียวหนิงเสวี่ยจึงหยิบถุงน้ำออกมา ให้บ่าวรับใช้ช่วยเติมให้ เพื่อดับกระหายระหว่างทาง
จากนั้นทั้งสามก็นั่งคุยเล่นกันในร้านน้ำชา
ขณะคุยกันอย่างออกรส เซียวอู่เหยียนผู้มีประสบการณ์บนเส้นทางยุทธภพมากกว่า กลับสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
บ่าวรับใช้ที่เสิร์ฟชาอร่อย ๆ ออกไปแล้ว ก็ไม่เห็นกลับมาอีกเลย
ตามหลักแล้ว ด้วยตำแหน่งของร้านน้ำชาที่หายากในระยะทางสิบลี้ ด้วยสภาพอากาศอันร้อนระอุ และการจัดวางภายในร้าน ผู้คนที่ผ่านไปมา ส่วนใหญ่น่าจะแวะพักที่นี่ชั่วครู่ แต่พวกเขาอยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้ว กลับไม่เห็นลูกค้าคนอื่นเลย
“ไม่ดีแน่!” เซียวอู่เหยียนคิดจบก็อุทานออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
เสียงพูดเพิ่งจะขาดคำ ด้านหน้าร้านน้ำชาก็เกิดแสงระยิบระยับ ก่อนจะปรากฏเงาคนหกคน ล้วนเป็นผู้หญิง แต่งตัวเย้ายวนใจน่าดูทั้งนั้น
สตรีผู้เป็นหัวหน้ามีใบหน้าสวยหวาน รูปร่างเพรียวบาง ผิวขาวผ่อง มีรูปโฉมงดงามไม่น้อย นางสวมชุดผ้าแพรขาวโปร่งบาง ภายในเสื้อผ้าแพรสีฟ้ามีภาพของเทพธิดาฉางเอ๋อกำลังบินไปสู่ดวงจันทร์ปรากฏให้เห็นราง ๆ คล้ายดั่งความงามอันของสตรีที่โอบพิณและปิดบังใบหน้าไว้ด้วยผ้าบางเช่นนี้
หญิงสาวอีกห้าคนแต่งหน้าจัดจ้าน สวมเสื้อฝ้ายสีเขียวแดงสลับกัน ทุกคนขมวดคิ้วเย็นชา ดูไม่น่าเกรงขามเท่าผู้ชาย แต่กลับให้ความรู้สึกอึมครึมเป็นพิเศษ
เซียวอู่เหยียนมองหกสตรี อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อยว่า “สำนักไป่ตู๋? (สำนักร้อยเขี้ยวพิษ)”
“เฮอะเฮอะ ถือว่าเจ้ายังมีดวงตาอยู่บ้าง ใช่แล้ว พวกข้าคือคนของสำนักสำนักไป่ตู๋!” หญิงชุดขาวได้ยินเสียงของเซียวอู่เหยียนจึงหัวเราะเบา ๆ ตอบ
เหลียงเฟยได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน ถึงแม้เขาจะฝึกสัตว์อยู่ที่เกาะแห่งสัตว์อสูรมาหลายปี แต่เรื่องนอกเหนือจากสำนักเซียนหยูฮั่ว เขารู้น้อยมาก และรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความโหดร้ายในยุทธภพ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้อ่านคุมภีร์มามากพอสมควร อย่างน้อยก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับดินแดนเสินอู่และเก้าทวีปอยู่บ้าง
ตามที่เขารู้ สำนักสำนักไป่ตู๋นี้เดิมทีเป็นสำนักใหญ่ในโลกปีศาจ ก่อตั้งโดยจิ่งชิว ในยุครุ่งเรือง เคยครองโลกปีศาจมาช่วงหนึ่ง
แต่หลังจากจิ่งชิวตาย สำนักสำนักไป่ตู๋ก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ กลายเป็นสำนักเล็ก ๆ ไร้ความสำคัญ ทำแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะวิชาวางยาพิษที่ไม่มีใครเทียบได้
MANGA DISCUSSION