บทที่ 16 ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อของโหลวอวี๋ตี้ปรากฏตัวขึ้นมา เหลียงเฟยก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมโหลวอวี๋ตี้ถึงได้น่ารังเกียจ เย่อหยิงและโหดเหี้ยม ไร้เมตตากับคนอื่น
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนี่เอง!
หลังจากชายผู้นี้ปรากฏตัว บนท้องฟ้าก็ปรากฏแสงเจิดจ้าแปดดวงก่อนจะพุ่งมารวมตัวกันอยู่บริเวณใกล้เคียงโหลวอวี้ตี๋ จากซ้ายไปขวาได้แก่ คนแคระ ชายอ้วน ชายหัวล้าน ชายหน้าดำ คนผอม ชายหน้าขาว หญิงคลุมผ้าคลุมหน้าสีเขียวและหญิงคลุมหน้าด้วยผ้าสีดำ ชุดของพวกเขาดูแปลกตาราวกับว่ากำลังจัดแสดงมหรสพ!
ในบรรดาทั้งแปดคนนี้ ผู้ที่มีพลังต่ำที่สุดคือ ชายร่างใหญ่หน้าดำ แต่จะบอกว่าต่ำที่สุด ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังอยู่ในระดับจ้าวยุทธ์อยู่ดี!
โชคดีที่คนเหล่านี้เพียงแค่มารวมตัวกัน ไม่ได้ปลดปล่อยกระบวนท่าที่รุนหรือกลิ่นอายพลังที่น่าเกรงขามเช่นเดียวกับพ่อของโหลวอวี๋ตี้ มิเช่นนั้นทั้งเซียวหนิงเสวี่ยและเหลียงเฟยคงจะจบสิ้นไปแล้ว
ชายร่างใหญ่หน้าดำตะโกนเป็นคนแรก “เจ้าบอกว่าอยากจะฆ่าหลานของข้างั้นหรือ? กล้าดีนี่ไอ้หนู!”
โหลวอวี้ตี๋ยิ้มกว้างชี้ไปที่เหลียงเฟยด้วยความยินดี “ท่านอาสาม นั่นไง เจ้านั่น!”
ชายหัวโล้นเหลือบมอง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเหยียดหยาม “โอ๊ะ ฮ่า ๆ ที่แท้ก็แค่ไอ้เด็กไม่รู้จักสัมมาคารวะ มีตาหามีแววไม่เองงั้นหรือ?”
ชายอ้วนหัวเราะ
คนที่เหลืออีกห้าคนนิ่งเฉย ความเงียบนิ่งนี้ทำให้พวกเขาดูน่ากลัวและน่าสยดสยองยิ่งกว่าชายทั้งสามคนเสียอีก!
ดุจสุนัขดุร้ายผู้ไม่เห่า
เหล่าปรมาจารย์แห่งตระกูลโหลวปรากฏตัวแล้ว พวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งจนยากที่จะหาผู้ใดเปรียบ ดั่งทหารกล้าแห่งองค์จักรพรรดิที่พร้อมประจันหน้าจากศัตรูทั่วสารทิศ!
เซียวหนิงเสวี่ยยิ่งหวาดกลัว กายสั่นเทาไม่หยุดนิ่ง
เหลียงเฟยเองก็เริ่มหวั่นไหว ดูจากสถานการณ์แล้ว วันนี้คงจะเป็นวันตายของเขาเป็นแน่แท้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หาได้เสียใจไม่! ใบหน้าที่จ้องมองไปเบื้องหน้ายังคงไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
เพราะเขาเข้าใจดี ว่ายามที่ศัตรูอยู่เบื้องหน้าแล้ว สิ่งต้องห้ามให้เกิดมากที่สุดคือการตั้งเตลิด!
เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือของตระกูลโหลว เพียงแค่ได้สัมผัสถึงตัวตนของพวกเขา เซียวหนิงเสวี่ยก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว
นางมองไปยังเหลียงเฟยข้างกาย จากนั้นก้าวออกไปข้างหน้าแล้วกล่าวกับคนของตระกูลโหลว “หากพวกท่านปล่อยตัวเขาไป ข้าจะยินยอมอยู่ที่นี่และเป็นนางสนมของโหลวอวี้ตี๋”
แม้นางจะกล่าวเช่นนั้น แต่นางตั้งใจไว้ว่าหากเหลียงเฟยจากไป นางก็จะฆ่าตัวตายทันที
ทว่าเหลียงเฟยกลับก้าวออกมาขวางหน้าเซียวหนิงเสวี่ยพลางกล่าวว่านาง “แม่นางเซียว เจ้าพูดอะไรเช่นนั้น? แม้ต้องตายข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นได้หรอก!”
“แหม ๆ พวกเจ้านี่ช่างไม่อายฟ้าดิน พลาดรักกันต่อหน้าต่อตาข้าเลยงั้นหรือ?” สตรีผู้ปิดหน้าด้วยผ้าสีเขียวหัวเราะลั่นออกมา
หลังจากหัวเราะแล้ว นางกลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าหนีพวกข้าไปไม่ได้หรอกสาวน้อย ส่วนหนุ่มคนนั้น ข้าจะฆ่ามัน เพื่อสั่งสอนแก่ผู้ที่คิดจะลูบคมตระกูลโหลว ว่าอย่าได้แม้แต่จะคิด!”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยก็ไม่วายสะดุ้ง ทั้งสองสบตากันด้วยสีหน้าขัดเขิน
จากนั้นเหลียงเฟยก็ก้าวออกไปอีกครั้งพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าคิดว่าฆ่าข้าได้ก็ลองดูสิ!”
เซียวหนิงเสวี่ยหมดคำจะพูด นางชักกระบี่สีชาดของตนออกมาพร้อมกล่าว “ช้าก่อน! เหลียงเฟยเป็นเพียงผู้ฝึกฝนวิชาระดับต้นเท่านั้น ตระกูลโหลวของพวกท่านมีกำลังมหาศาล มียอดฝีมือมากมาย พวกท่านหลายคนรุมทำร้ายเขาคนเดียว ไม่กลัวจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรือ?”
“ใครจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์กิจการของตระกูลโหลวข้า?” ชายหน้าดำหัวเราะตอบโต้ ดูท่าทางเขาคงเป็นคนจำพวกเดียวกับโหลวอวี้ตี๋
“ข้าเองแหละ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากท้องฟ้า เสียงนั้นก้องไปนภา มากด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มันทรงพลังยิ่งกว่าเสียงของเจ้าตระกูลโหลวเสียอีก
เป็นที่ชัดเจนว่า ผู้นี้มีฝีมือสูงกว่าเจ้าตระกูลโหลว บางทีอาจจะเป็นเซียนยุทธ์เลยก็ได้!
พร้อมกันกับเสียงที่เอ่ยกล่าว ร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก เย่เทียนฉง เจ้าตระกูลเย่ที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งดินแดนเสินอู่!
คนในตระกูลโหลวที่เห็นเช่นนั้นต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงตกใจใด ๆ ในสายตาของพวกเขา บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เหลียงเฟยกล้าท้าทายตระกูลโหลวเช่นนี้ก็เป็นได้
แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้น เหลียงเฟยได้คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น! ผนวกกับตอนที่พักอยู่ที่นอกจวนตระกูลเย่ เขาก็พบว่ามีคนจากตระกูลเย่ติดตามอยู่ห่าง ๆ โดยตลอด
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เขากล้ามาท้าทายตระกูลโหลว!
ความจริงแล้วเหลียงเฟยก็ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้นว่าตระกูลเย่จะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยหากเขามามีเรื่องกับตระกูลโหลวจริง ๆ ตัวเขาเพียงแค่อยากช่วยเซียวหนิงเสวี่ย ซึ่งถ้าหากท้ายสุดไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย เขาก็จะช่วยนางด้วยพลังที่ตนมีอยู่แล้ว
เมื่อนางเซียวหนิงเสวี่ยเห็นท่านแม่ทัพใหญ่เย่ปรากฏกาย นางก็หันหน้ามองเหลียงเฟย พร้อมกับยิ้มหวานออกมา แต่ลึก ๆ นางก็อยากจะต่อว่าเขาอยู่ไม่น้อย ถึงเรื่องที่ทำไมไม่ยอมบอกนางถึงเรื่องที่ตนมีคนสนับสนุน ปล่อยให้นางเป็นกังวลอยู่ได้ตั้งนาน!
ท่านเจ้าบ้านตระกูลโหลวเป็นคนแรกที่ฟื้นสติ เขาประนมมือและกล่าวทัก “ท่านแม่ทัพเย่ ท่านต้องบริหารกองทัพอันยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาจัดการเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้?”
“เหลียงเฟยเป็นมิตรของข้า แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ข้าก็ไม่อาจจะปล่อยผ่านได้” เย่เทียนฉงตอบอย่างฉะฉาน หวังว่าตระกูลโหลวจะให้เกียรติเขาให้สมกับที่เป็นแม่ทัพใหญ่
ทว่าชายร่างผอมกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว เขาก้าวออกมาแล้วพูดขึ้น “ท่านเย่เทียนฉง ลำพังท่านคนเดียวกับพวกข้าจำนวนมากมายขนาดนี้ ไม่นับว่าเป็นการประมาทไปหรือ?”
เจ้าตระกูลโหลวไม่ปล่อยให้เขาพูดต่อและสั่งให้เงียบไป
เย่เทียนฉงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา เขาไม่ได้สนใจผู้ชายผอมคนนั้นเลย เพียงแค่หันไปมองทางเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย โดยเฉพาะเซียวหนิงเสวี่ยที่เขาดูจะจับจ้องอยู่นานเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามสายตาที่มองไปยังสาวงามผู้นี้ของเย่เทียนฉงนั้นหาใช่ด้วยความหมายปองหรือเสน่หาไม่
เขากำลังสงสัยว่านางผู้นี้อาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เหลียงเฟยถอนหมั้นกับลูกสาวของตนหรือเปล่า? นางผู้นี้…ใช่คนรักของเหลียงเฟยใช่หรือไม่?
ความสงสัยนี้ไม่อาจจะถามอย่างตรงไปตรงมาได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงเพียงแค่ถามในสิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่าออกไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
การปรากฏตัวของเย่เทียนฉงทำให้เหลียงเฟยค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็มั่นใจมากขึ้นเพราะเห็นได้ชัดว่าตระกูลเย่ก็มองเขาเป็นลูกเขยไปแล้วจริง ๆ
ผู้ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นโหลวอวี้ตี๋ที่ผงะไปหลังเห็นแม่ทัพเย่ปรากฏตัว เขาคิดอยู่ในใจว่ามันจะต้องเป็นเพราะเหลียงเฟยได้เป็นลูกเขยของตระกูลนี้ไปแล้วเป็นแน่แท้!
เหลียงเฟยยิ่งก้าวออกมาอย่างนิ่งสงบ ชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนตระกูลโหลว “ตระกูลโหลวชั่วช้าหน้าด้าน ทำให้ครอบครัวของแม่นางเซียวต้องประสบความพินาศ โหลวอวี้ตี๋คนชั่วนั้นหลงใหลนางเซียว เขาใช้บิดาและมารดาของนางมาเป็นเครื่องมือต่อรองโดยการวางยาพิษ บังคับให้นางแต่งงานกับตน! ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเข้ามายังตระกูลโหลวเพื่อช่วยหายาแก้พิษให้กับแม่นางเซียว!”
เมื่อเหลียงเฟยกล่าวจบ เซียวหนิงเสวี่ยก็พยักหน้ายืนยันว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงด้วย
เรื่องราวเป็นเช่นนี้นี่เอง!
โชคดีแล้ว โชคดีจริง ๆ ที่โชคชะตานำพาเขาได้มาเจอกับเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีเช่นนี้!
ก่อนหน้านี้เย่เทียนฉงได้สั่งให้คนในตระกูลเย่คอยแอบติดตามเหลียงเฟยเอาไว้ และได้รับรายงานเรื่องที่เหลียงเฟยเข้าปะทะกับพวกอันธพาลตระกูลโหลวในโรงเตี๊ยมเพื่อช่วยนักดนตรีสองพ่อลูกที่นั่น ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าเรื่องนี้เองก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
คิดแล้วก็หันกลับไปมองเจ้าตระกูลโหลว
ทว่าเจ้าตระกูลโหลวกลับไม่รอให้เย่เทียนฉงซักถาม เขาตะคอกใส่โหลวอวี้ตี๋ก่อน “ลูกอวี้ สิ่งที่เหลียงเฟยพูดนั้นจริงหรือ?”
โหลวอวี้ตี๋นิ่งเงียบ เขากำลังคิดหาข้ออ้างมาปฏิเสธ
ขณะนั้น สตรีผู้คลุมหน้าด้วยผ้าบางสีดำก็พูดขึ้นมากับเจ้าตระกูลโหลวเสียก่อน “ท่านพี่ แม้เย่เทียนฉงจะน่าเกรงขาม แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราหรอก ไม่จำเป็นต้องกลัวเขา!”
เจ้าตระกูลโหลวได้ยินดังนั้น จึงหันไปขบฟันพร้อมส่งเสียงดุ “ที่นี่มิใช่ที่ของเจ้าที่จะพูด!”
พลันเมื่อโดนตะคอกใส่ สตรีภายใต้ผ้าคลุมสีดำก็ต้องรีบถอยกลับไปด้วยความอับอาย เจ้าตระกูลโหลวโกรธเกรี้ยวสุด ๆ เขาตบหน้าโหลวอวี้ตี๋แรงหนึ่งที ทว่าสิ่งที่เขาพูดกลับทำให้คนนอกตระกูลทุกคนต้องตกตะลึง “เจ้าลูกโง่ ข้าสอนเจ้าอย่างไร? ข้าสอนให้ทำทุกอย่างให้เด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว! แค่สตรีนางเดียวก็ยังไม่สามารถจัดการได้ เห็นไหมว่ามันกลายเป็นเรื่องใหญ่หมดแล้ว!”
สมเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ!
ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้าตระกูลโหลวที่ดุดันขนาดนี้ เหตุใดจึงตั้งชื่อลูกชายว่า โหลวอวี้ตี๋ ที่ฟังดูอ่อนหวานนุ่มนวลเช่นนี้?
ผู้เล่นขลุ่ยมรกตต่อหน้าหอคอยกระเรียนบุษราคัมงั้นเหรอ? ข้าอยากจะถ่มน้ำลายใส่ชื่อเจ้าเสียจริง!
เซียวหนิงเสวี่ยได้ยินเจ้าตระกูลโหลวพูดดังนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ!
เย่เทียนฉงเบิกตากว้าง แต่ในพริบตาเขาก็รวบรวมสติกลับมาได้ ดวงตาพลันปานประกายแสงวาว พลางกล่าวด้วยท่าทีเย่อหยิ่งว่า “โหลวอิงป้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร…”
MANGA DISCUSSION