บทที่ 13 สัตว์ประหลาด
เหลียงเฟยภายใต้ลีลาท่วงท่าอันดุดัน การโจมตีของเขาสมบูรณ์แบบและรุนแรงยิ่งกว่ายอดยุทธ์ผู้นั้นที่ถือค้อนอันใหญ่โต แม้จะใช้เพียงมือเปล่า แต่ในไม่กี่กระบวนท่าเขาก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้แล้ว
ท้ายที่สุด เขาใช้สองมือเป็นกรงเล็บจิกที่ลำคอของชายผู้นั้น ทำให้อีกฝ่ายขยับเขยื้อนไม่ได้
ชายร่างใหญ่ที่ถือค้อนใหญ่ถึงกับร้องโอดครวญไม่ออก คาดไม่ถึงว่าตนเองในฐานะยอดยุทธ์จะสู้เด็กหนุ่มที่เป็นเพียงระดับการขัดเกลากระดูกขั้นสูงไม่ได้ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่แม้กระทั่งระดับผสานกายาด้วยซ้ำ!?
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คงน่าอับอายขายหน้านัก
น่าเจ็บใจจริงเชียว หากล่วงรู้ว่าเหลียงเฟยจงใจใช้เล่ห์กลลวงให้เขาไล่ต้อนล่ะก็ ตัวเขาก็น่าจะใช้กลอุบายเคล็ดวิชาอาวุธลับอันร้ายแรงเพื่อกำจัดเขาให้สิ้นซากเสียก่อน!
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกล่าวชมเหลียงเฟย ที่สามารถเรียนรู้วรยุทธ์ของตระกูลโหลวได้อย่างรวดเร็ว แล้วนำไปปรับปรุงพัฒนาให้กระบวนท่าของตนเองสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ชายร่างใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงยอมรับ “เหลียงเฟย ข้าแพ้แล้ว เจ้านี่มันเก่งกาจเสียจริง! หากชีวิตของข้าต้องจบลงภายใต้เงื้อมมือของอัจฉริยะเช่นเจ้า เห็นทีคงจะเป็นเกียรตินัก เช่นนั้นแล้วอย่าได้ลังเล จะฆ่าแกงหรือจัดการอย่างไรก็ตามแต่ที่เจ้าต้องการเลย”
เหลียงเฟยชะงักเล็กน้อย ขณะที่เขาเตรียมจะออกแรงบีบคออีกฝ่ายให้ตาย เสียงหัวเราะเยาะจากที่ไม่ไกลนักก็ดังขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ ไอ้ค้อนใหญ่ เจ้าช่างไร้ค่าสิ้นดี เป็นถึงยอดยุทธ์แท้ ๆ แต่กลับสู้ไม่ได้แม้แต่เด็กที่เป็นเพียงระดับขัดเกลากระดูกไม่ได้ น่าขันจริง ๆ!”
เมื่อเสียงเลือนหาย จากบรรดาชายฉกรรจ์ที่ล้อมอยู่รอบตัวเซียวหนิงเสวี่ย ก็ปรากฏแสงวูบสองลำ แล้วก็ตกลงตรงหน้าเหลียงเฟย พวกเขาเป็นชายร่างใหญ่สองคน
ชายผู้มาใหม่ทั้งสองนี้ กำยำ ผิวคล้ำ ให้ความรู้สึกว่าเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ขั้นสูง คนหนึ่งอยู่ในระดับกลาง อีกคนอยู่ในระดับสูง
ปรมาจารย์ยุทธ์ระดับกลางถือหอกยาว ปลายแหลมวาววับ คมกริบ!
ส่วนปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสูงถือตรวนโซ่เหล็ก แววตาเย็นชา ใบหน้าคล้ำหมอง ไม่เคร่งขรึมแต่ก็ดูน่าเกรงขาม และในบางมุมก็ดูน่ากลัวไม่น้อย
เหลียงเฟยเหลือบมองชายผู้ใช้ค้อนยักษ์ ก่อนจะคลายมือปล่อยชายผู้นั้นไปแล้วยิ้มน้อย ๆ “เจ้าค้อนยักษ์ พวกของเจ้ากำลังเยาะเย้ยเจ้าแน่ะ ถ้ายังไงข้าจะยื้อชีวิตเจ้าไว้อีกสักหน่อยแล้วให้เจ้าได้ชมมหรสพที่น่าตื่นเต้นดีไหม?”
ชายร่างใหญ่ตอบพยักหน้าและไม่แสดงแรงจูงใจที่จะสู้ต่อ เขาเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยและนั่งรอชมมหรสพที่เหลียงเฟยพูดถึง!
เมื่อได้ยินดังนั้นปรมาจารย์ยุทธ์สองคนก็ตะโกน “เด็กเหลือขอ โอหังนักหรือ คอยดูเดี๋ยวพวกข้าจะฆ่าเจ้าซะ!” แล้วทั้งสองก็ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความปรานี คมสรรพาวุธร่ายรำออกท่าทีฆ่าสังหาร
เพียงชั่วพริบตา แสงสีเขียวครามหลายดวงก็แผ่กระจายออกมาจากร่างของพวกเขาสองคน ก่อเกิดเป็นคลื่นอากาศซัดกระหน่ำเข้าใส่เหลียงเฟย
เห็นพลังอันมหาศาลเช่นนี้พุ่งเข้ามา เหลียงเฟยหาได้ชะล่าใจไม่ เขารีบใช้ทักษะการวิ่งอันพลิ้วไหวของตนหลบหลีกการโจมตีจากปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสอง
ในส่วนชายถือค้อนที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสบายใจ เขายิ้มมุ่มปากเมื่อเห็นปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสองใช้กระบวนท่าอันเกรียงไกรออกมาเป็นชุดแต่กลับไม่สามารถจัดการเหลียงเฟยได้ “เจ้าหนูเหลียงเฟย คงจะเรียนรู้กระบวนท่าของสองคนนี้ไปแล้วสินะ!”
ภายในใจของเขาก็ไม่ได้ชอบทั้งสองคนนี้นัก เพราะคนหนึ่งเพิ่งเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสูงส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเพียงปรมาจารย์ยุทธ์ระดับกลาง แต่กล้ามาเยาะเย้ยตนผู้เป็นยอดยุทธ์ ดูเหมือนทั้งสองจะยังไม่รู้ถึงความเก่งกล้าของเหลียงเฟยดีพอ
ฮึ ๆ หากมีโอกาสได้รอดกลับไป พวกเจ้าอย่าได้นินทาข้าเป็นอันขาด ข้าต้าฉุย ทำลงไปก็เพื่อสั่งสอนพวกเจ้า ว่ามิควรนำเอากระบวนท่าชั้นสูงของตระกูลโหลวมาใช้ต่อหน้าเหลียงเฟย เพราะเขาสามารถเรียนรู้มันได้!
ระหว่างนี้ปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสองไม่อาจจะเข้าใจในการกระทำของต้าฉุยได้เลย
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขามัวแต่รับมือกับเซียวหนิงเสวี่ยผู้มีพลังระดับราชันยุทธ์ การประมือนั้นตึงมือเสียจนไม่ได้เห็นฉากมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กับเหลียงเฟยแม้แต่นิด
หลังจากการโจมตีไปหนึ่งชุดกระบวนท่าแล้ว ทั้งสองก็รู้สึกสิ้นเปลืองลมปราณเป็นอย่างมาก กระบวนท่าที่ร่ำเรียนมาก็ไม่อาจใช้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงต้องใช้อาวุธคนละอย่าง หนึ่งคนใช้หอก อีกคนใช้โซ่ ตรงเข้าโจมตีเหลียงเฟย
ทว่าเหลียงเฟยกลับเข้าใจความหมายอันแฝงในการกระทำของต้าฉุย เขายิ้มออกมาพลางใช้กระบวนท่าฝีเท้าลมกรด หลบหลีกไปพลางก็แอบศึกษากระบวนท่าอันล้ำลึกและเป็นความลับยิ่งกว่าของตระกูลโหลวไปพลาง
ปรมาจารย์ยุทธ์สองคนเห็นเหลียงเฟยยังคงหลบหลีก ก็มีปฏิกิริยาคล้าย ๆ กับต้าฉุยในตอนแรก คิดว่าคงเป็นเพราะเฟลียงเฟยกลัวพวกตน จึงยิ่งดีใจและเผลอประมาทเข้าโจมตีเขาอย่างหนัก หวังเพียงจะจัดการกับเขาให้เร็วที่สุดแล้วจะได้รีบกลับไปเอาความดีความชอบจากผู้เป็นนาย
แต่แล้วในเวลาอันสั้น เหลียงเฟยก็หาไม้มาท่อนหนึ่งแล้วฟาดฟันกลับด้วยกระบวนท่าของตระกูลโหลว ท่วงท่าต่าง ๆ ที่เขาใช้ มันกลับสมบูรณ์กว่าต้นฉบับของเขาเสียอีก แถมในหลาย ๆ จุดก็มีการดัดแปลงปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นด้วย
ยิ่งได้เห็นเหตุการณ์ซ้ำอีกรอบ ต้าฉุยก็ยิ่งชื่นชมในพรสวรรค์ของเหลียงเฟยมากขึ้น
เก่งเกินไปแล้ว!
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ เซียวหนิงเสวี่ยจะเคยได้ประจักษ์ถึงความสามารถในการเรียนรู้ที่สูงส่งของเหลียงเฟย แต่เมื่อเห็นว่าแม้แต่กระบวนท่าที่ระดับสูงกว่า เขาก็ยังสามารถจดจำได้แม่นยำเพียงแค่ดูเพียงครั้งเดียว ไหนจะยังการที่เขาสามารถดัดแปลงให้สมบูรณ์ขึ้นได้ในเวลาอันสั้น นางก็อดตื่นเต้นไม่ได้!
บัดนี้ เซียวหนิงเสวี่ยจึงได้ตระหนักแล้วในที่สุด!
แม้ว่าเหลียงเฟยจะมีวิทยายุทธ์เพียงแค่ระดับการขัดเกลากระดูกชั้นสูง แต่การอยู่บนเกาะแห่งหมื่นอสูรมานานกว่าสิบสองปี รวมกับที่ฝึกฝนพื้นฐานที่บ้านอีกสิบสองปี มันเปรียบเสมือนการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเขามาเกือบยี่สิบปีแล้ว!
รากฐานที่มั่นคง จะทำให้สำเร็จกระบวนท่าได้ดี!
หรือว่านี่คือข้อดีของการมีพื้นฐานที่มั่นคงนะ?
ยอดเยี่ยมมาก!
สองปรมาจารย์ยุทธ์ร่างใหญ่มีสีหน้าตกใจ ในที่สุดก็เข้าใจความหมายในการกระทำของต้าฉุยแล้ว เหลียงเฟยคนนี้คือตัวประหลาด! เขาสามารถเรียนกระบวนท่าชั้นสูงของตระกูลโหลวที่พวกเขาต้องใช้เวลาฝึกฝนหลายปีกว่าจะสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เมื่อเผชิญกับกระบวนท่าวิทยายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสองจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ ยิ่งพวกเขาไม่สามารถใช้ทักษะด้านจิตวิญญาณได้ด้วย มันยิ่งทำให้พวกเขาเสียเปรียบ ในเวลาไม่นานก็เริ่มพ่ายแพ้ทีละน้อยเช่นเดียวกับต้าฉุย
ทว่าเรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้
ขณะที่เหลียงเฟยกำลังจะปิดฉากปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสองในคราเดียว แสงสว่างก็พุ่งเข้ามาจากกลางอากาศจนเกือบจะโดนตัวเขา ช่างอันตรายเสียจริง!
ดูจากพลังที่ทรงพลังขนาดนี้แล้ว น่าจะเป็นปรมาจารย์ยุทธ์คนที่สามของกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์นี้
หากมีแค่ปรมาจารย์ยุทธ์สองคน เหลียงเฟยยังพอรับมือได้ แต่ตอนนี้มีเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว เกรงว่าอันตรายจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก!
“เหลียงเฟย ระวัง!” เซียวหนิงเสวี่ยอดเป็นห่วงไม่ได้ นางตะโกนเรียก พร้อมเร่งจังหวะโจมตี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดการโจมตีของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตรงหน้าที่ผสานการโจมตีโถมเข้าใส่นางได้เลย เช่นนั้นจึงทำให้นางร้อนใจเป็นที่สุด
ยิ่งร้อนใจ การต่อสู้ของนางก็ยิ่งตึงมือ
ทว่าอีกครั้งที่เหลียงเฟยไม่ได้กลัวอะไรเลย ตรงกันข้ามเขากลับใช้กระบวนท่าฝีเท้าลมกรดผสานกับกระบวนท่าของตระกูลโหลวโจมตีปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสามอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่วรยุทธ์ในวิถีเทพของเขานั้นยังอ่อนด้อยเกินไป สุดท้ายก็ยังไม่สามารถต่อกรกับปรมาจารย์ยุทธ์พร้อมกันทั้งสามได้ อีกทั้งปรมาจารย์ยุทธ์คนหนึ่งยังมีพลังเหลือเฟือพอที่จะใช้วิถีแห่งเทพได้ แสงจ้าและคลื่นลมแผ่กระจายออกมาทำให้เขาไม่มีทางรับมือได้เลย
ขณะที่สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เหลียงเฟย เขากำลังจะถูกกระแสแสงพุ่งเข้าใส่ การโจมตีครั้งนี้เป็นของปรมาจารย์ยุทธ์ผู้มาใหม่ที่ค้นพบจุดอ่อนแล้วใช้พลังเต็มที่ออกมา หากตกลงมาที่ร่างกายของเขา แม้จะไม่ถึงตาย ทว่าก็คงเหลือเพียงครึ่งชีวิตเท่านั้น
นี่เขาต้องเผยวิชาลับที่ตนสร้างขึ้นอย่าง ศาสตร์บงการสวรรค์ โดยเร็วเช่นนี้เชียวหรือ?
MANGA DISCUSSION