บทที่ 123 ใจตรงกัน ปลายเข็มกับเส้นด้ายก็ร้อยถึงกัน
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ต่างยึดมั่นในความเชื่อที่ว่าจะต้องสำเร็จ พวกนางมิหวั่นเกรงความล้มเหลวจนกระทั่งได้ลองฝึกปรือวิชาร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดยามเมื่อจิตใจของทั้งสองเชื่อมถึงกัน ดั่งสุภาษิตกล่าวว่า ‘ใจตรงกัน ปลายเข็มกับเส้นด้ายก็ร้อยถึงกัน’ พลังอันเกรียงไกรก็พลันบังเกิด
พลังอัศจรรย์แผ่ขยายออกไปดุจไร้ขอบเขต ต้านทานม่านพลังสีเลือดของเหล่าอสุรกาย ม้วนตัวเข้าปะทะอย่างบ้าคลั่ง
ลูกแก้วสีขาวขนาดมหึมาที่เกิดจากพลังของทั้งสองรวมกัน พุ่งเข้าโจมตีม่านพลังสีเลือดราวกับระเบิด ทำเอาม่านพลังสีเลือดสลายหายไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา
แต่น่าเสียดายที่อสูรตนนี้มีพลังแข็งแกร่งเกินคาด แม้ม่านพลังสีเลือดถูกทำลายไปกว่าครึ่ง แต่ด้วยพลังโจมตีต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง พวกมันกลับฟื้นคืนพลังได้อย่างรวดเร็ว
โชคดีที่วิชา’ดารากระจายฟ้า’นั้นแสนพิสดาร พลังของมันมิได้มีเพียงลูกแก้วเท่านั้น เมื่อลูกแก้วก็ระเบิดออก ก็กัดกร่อนม่านพลังสีเลือดอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดก็สามารถทำลายม่านพลังสีเลือดที่เกิดจากพลังร่วมกันของสามอสุรกายลงได้!
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ผ่านพ้นวิกฤตมาได้อย่างหวุดหวิด!
ทว่าเหล่าอสูรทั้งสามกลับร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น ไร้ช่องโหว่ พลังของพวกมันน่าสะพรึงกลัว แม้พลังที่รุนแรงขนาดนี้ยังทำลายม่านพลังสีเลือดของพวกมันได้เพียงครั้งเดียว ยังมิอาจกำจัดพวกมันให้สิ้นซากหรือแม้แต่จะหยุดยั้งการโจมตีของพวกมันได้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโจมตีร่วมกันของเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย นั้นก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน!
เมื่อยามเหล่าปีศาจทั้งสามพบพานกับพลังอัศจรรย์ พวกมันต่างชะงักงัน ท่ามกลางความเงียบงันนั้น บ่งบอกชัดว่าล้วนตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเห็น
มิทันไร ปีศาจตนกลางพลันได้สติกล่าวขึ้นว่า “ด้วยวรยุทธ์ระดับต่ำเช่นพวกเจ้า กลับผสานพลังสร้างกระบวนท่าร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก พวกข้าเฝ้าดูมนุษย์มานับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยพบเห็นเช่นนี้เป็นคราแรก!”
สิ้นคำ เหล่าปีศาจอีกสองตนที่ยืนขนาบข้างพลันหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงกระนั้น ก็ไร้ประโยชน์ พลังที่ว่าร้ายกาจ เห็นทีจะใช้สำเร็จได้ยากยิ่งนัก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นฝ่ามือพวกข้า จงรับชะตากรรมซะเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวก้องกังวานไปทั่ว เหล่าปีศาจทั้งสามกลับมาเคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายฟ้า พวกมันล้อมวง เหลียงเฟยและ เซียวหนิงเสวี่ยไว้ภายในกรงขังสามมิติอีกครา
แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้เหล่าปีศาจทั้งสามต้องประหลาดใจยิ่งนัก เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย แม้มิอาจรวบรวมพลังอันร้ายกาจเช่นคราแรกได้ในทันที
แต่พวกเขากลับบรรลุขั้นที่สูงขึ้น!
ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องภายในห้วงมิติลับแล ประกอบกับการต่อสู้ที่ผ่านมาล้วนช่วยขัดเกลาวิทยายุทธ์ให้แก่กล้าแกร่งยิ่งขึ้น
พลังภายในของทั้งสองค่อยๆ ทะลุขีดจำกัดโดยไม่รู้ตัว!
เซียวหนิงเสวี่ย สร้างปาฏิหาริย์อีกครา ก้าวกระโดดจากขั้นจ้าวยุทธ์ขั้นกลางสู่ปราชญ์ยุทธ์ ขั้นต้น!
กนับแต่นี้ไปเซียวหนิงเสวี่ยได้ก้าวสู่ความเป็น ปราชญ์ยุทธ์แล้ว!
หากกล่าวว่าสิ่งที่เซียวหนิงเสวี่ยสร้างนั้นคือปาฏิหาริย์แล้ว สิ่งที่เหลียงเฟยบรรจงแต่งแต้มขึ้นมานั้น ก็คงต้องกล่าวว่าเป็นตำนาน บทเพลงแห่งสวรรค์และพิภพที่แสนเศร้าสะเทือนดวงวิญญาณ
ทะยานขึ้นห้าขั้น!
เป็นการทะยานขึ้นห้าขั้นต่อเนื่องหลังจากบรรลุถึงขั้นยอดยุทธ์!
ลมปราณของเหลียงเฟย จากที่เคยเป็นยอดยุทธ์ขั้นต้น บัดนี้กลับทะยานข้ามผ่านขีดจำกัด จนก้าวสู่ขั้นสูงแห่งราชันยุทธ์!
เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์!
บางทีสิ่งเดียวที่พอจะเทียบเคียงได้ก็คงมีเพียงปาฏิหาริย์ของเซียวหนิงเสวี่ย ที่สามารถทะยานขึ้นสามขั้นต่อเนื่องหลังจากบรรลุถึงขั้นราชันยุทธ์ขั้นกลาง นอกจากนั้นแล้วล้วนไม่อาจเทียบเคียง
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ผู้หนึ่งทะยานขึ้นห้าขั้น อีกผู้หนึ่งทะยานขึ้นสามขั้น รวมแล้วเป็นประกายแสงอันบริสุทธิ์ทรงพลังถึงเจ็ดสายที่เปล่งประกายออกมา เพื่อปกป้องร่างกายของพวกเขาจากพลังอำนาจของม่านพลังสีเลือดของจอมมาร
สิ่งที่น่ายินดีสำหรับจอมมารทั้งสามตนก็คือ แม้ประกายแสงที่เกิดจากการทะยานขั้นจะมีพลังมหาศาล แต่กลับไม่มีอานุภาพทำลายล้างใดๆ
มิเช่นนั้น พวกมันคงต้องพบจุดจบอย่างแน่นอน!
แต่ในความเป็นจริงแล้ว จุดจบของจอมมารทั้งสามก็ใกล้เข้ามาทุกที!
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย เมื่อยามบำเพ็ญเพียรจนก้าวสู่ขั้นสูงแล้ว จึงร่วมกันร่ายวิชาอัศจรรย์ ‘ปรารถนาเปลี่ยนฟ้า’ อันได้รับถ่ายทอดมาจากปรมาจารย์ลึกลับ ยามเมื่อร่ายถึงขั้นที่สี่ ดาราจักรวาร ก็พลันบังเกิดลูกแก้วแสงพลัง พุ่งทะยานด้วยเร็วรี่ แลยิ่งใหญ่กว่าคราก่อน
แม้แต่ผู้โง่งมก็สามารถแลเห็นได้ว่า บัดนี้พลังของทั้งสองนั้น ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าเดิมมากนัก!
ดังคาดทั้งสามอสูรเมื่อตระหนักได้ถึงพลังที่เพิ่มพูนขึ้นก็ตื่นตะลึง รีบเร่งผนึกพลัง ปล่อยม่านพลังสีเลือดออกปกคลุม แต่กระนั้นม่านพลังนี้ก็มิอาจต้านทานดารากระจายฟ้า อันเกิดจากพลังของเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ที่ยังมิอาจหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ พลังทั้งสองหาได้เหนือกว่ากันไม่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต่างฝ่ายต่างทำได้เพียงแค่ต่อกรอย่างยากลำบาก
ในยามนั้น ดูเหมือนว่าพลังของทั้งสองฝ่ายจะเท่าเทียม ไม่กินกัน แลดูราวกับว่าทั้งสองฝ่ายต่างติดอยู่ในวงล้อมแห่งการเผชิญหน้า ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายล้างอีกฝ่ายได้โดยง่าย
ทว่าความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่!
ตราบใดที่เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยยังคงปลดปล่อยดารากระจายฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดที่พลังของทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครา เมื่อนั้นพลังแห่งดารากระจายฟ้าที่สมบูรณ์จะสามารถทำลายล้างเหล่าอสูรทั้งสามได้อย่างสิ้นซาก
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ได้ฝึกฝนร่วมกันมาหลายครั้งหลายครา และในที่สุดก็สามารถบรรลุความสำเร็จในการหลอมรวมพลังได้อีกครั้งในวาระสุดท้าย บัดนี้ทั้งสองจึงเข้าใจถึงเคล็ดลับเป็นอย่างดี ผลปรากฏว่าเพียงแค่การโจมตีครั้งที่สี่ พลังของทั้งสองก็หลอมรวมกัน ก่อเกิดเป็นดารากระจายฟ้าอันทรงพลัง พุ่งเข้าปะทะเหล่าอสูรทั้งสาม
เหล่าอสูรสีเลือดทั้งสาม คงถึงเวลาต้องสิ้นชีพไปแล้วกระมัง?
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยมองดูพลังอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากการหลอมรวมของดารากระจายฟ้า ซึ่งสามารถกัดกร่อนพลังของเหล่าอสูรได้โดยไม่ต้องสงสัย ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งสองอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความยินดี
เซียวหนิงเสวี่ยเหลียวมองเหลียงเฟยด้วยสายตาปลื้มปิติ
ณ ห้วงขณะนั้น นางกลับเชื่อมั่นในถ้อยคำของเหลียงเฟยอีกครา เพียงอุตส่าห์ต่อสู้ อุตส่าห์ลงมือ ทำอย่างมุ่งมั่นจนถึงที่สุด ย่อมบรรลุความสำเร็จได้
ก่อนหน้านี้ที่เซียวหนิงเสวี่ยมองผีร้ายทั้งสามตน บ่มเพาะพลังจนสูงส่ง เพียงรู้สึกว่าตนเองไม่อาจรอดชีวิต คิดไปต่าง ๆ นาๆ มิคาดฝันว่าพวกนางจะเอาชนะได้ในท้ายที่สุด
ทว่ากลางความปลื้มปิติ เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยกลับไม่รู้สึกว่าการต่อสู้นี้จะงดงามแต่อย่างใด
พลังฝีมือของปีศาจทั้งสามนั้นสูงส่งยิ่งนัก เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกมันยังอาศัยสติปัญญาอันเฉียบแหลม ค้นพบช่องโหว่เพียงน้อยนิด แล้วหลบหนีไปได้
อาจไม่ต้องวิตกกังวลมากนัก เพราะปีศาจทั้งสามล้วนได้รับบาดเจ็บ หนำซ้ำท่าทางเช่นนั้น คงไม่อาจหาญกล้ามาสร้างความวุ่นวาย หรือขัดขวางเส้นทางของพวกเขาอีก
เซียวหนิงเสวี่ยครุ่นคิดถึงปีศาจร้ายทั้งสามตน ที่เมื่อครู่ยังโอ้อวดอำนาจบารมี ลำพองตนไร้ขอบเขต บัดนี้กลับหนีเอาตัวรอดอย่างน่าเวทนา กระทบกับผนังถ้ำอันแข็งแกร่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางจึงอดหัวเราะออกมาด้วยความยินดีมิได้
จากนั้นนางจึงยื่นมือไปคว้ามือของเหลียงเฟยพลางเอ่ยว่า “พี่เฟย ดีเหลือเกิน พวกเรารอดแล้ว พวกเราไปจากที่นี่กัน”
เหลียงเฟยมองปีศาจโลหิตทั้งสามตนที่หนีไป ชั่วครู่หนึ่งกลับชะงัก ดวงตาทั้งสองพลันเปล่งประกายเย็นเยียบ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “มิได้ ปีศาจโลหิตทั้งสามตนนี้ร้ายกาจนัก หากผู้อื่นพบเจอพวกมัน คงต้องตายอย่างน่าอนาถ ไม่อาจปล่อยไว้”
กล่าวจบ เขามองเซียวหนิงเสวี่ยเพียงแวบหนึ่ง มิได้เอ่ยชวนนางไปด้วย เพียงเหินร่างขึ้น ใช้วิชาฝีเท้าลมกรด ไล่ตามปีศาจโลหิตทั้งสามตนไปอย่างรวดเร็ว
เซียวหนิงเสวี่ยต้องการทัดทาน ทว่าชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายมิได้เอ่ยวาจาใด เพียงพุ่งร่างออกไป ไล่ตามเหลียงเฟยอย่างรวดเร็ว เพื่อร่วมกันสังหารปีศาจทั้งสามตนให้สิ้นซาก!
เมื่อผีร้ายทั้งสามรับรู้ได้ว่าเหลียงเฟยกับเซียวหนิงเสวี่ยไล่ตามมาก็รีบหันกลับมา ใช้พลังโจมตี ก่อนจะเร่งฝีเท้าหลบหนีไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
เหลียงเฟยกับเซียวหนิงเสวี่ย ร่วมมือกันรับมือการโจมตีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น ผีร้ายทั้งสามตนนี้ ดูเหมือนจะยังคงมีเรี่ยวแรง ไม่ได้ใกล้สิ้นใจแต่อย่างใด เพียงแต่รู้จักยอมแพ้เมื่อถึงคราวจำเป็น เมื่อตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของเหลียงเฟยและสหาย พวกมันจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง ไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง
พวกมันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เหลียงเฟยและ เซียวหนิงเสวี่ยก็เร่งตามอย่างสุดกำลัง แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ยังไม่อาจไล่ตามทัน
ผีร้ายทั้งสามคงรู้สึกหดหู่ใจ
เมื่อครู่พวกมันยังคงโอหังลำพอง คุยโวโอ้อวดว่าจะปลิดชีพเหลียงเฟยกับสหาย ดูแคลนความสามารถอันตื้นเขินของทั้งสอง
ไม่นึกเลยว่าพริบตาเดียว สถานการณ์กลับพลิกผัน ในท้ายที่สุด พวกมันกลับต้องกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า ต้องหลบหนีอย่างหวาดกลัว เกรงว่าจะหนีไม่รอด
ผีร้ายทั้งสาม เห็นว่าเหลียงเฟยและสหาย บุกตะลุยไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกที ยามนี้พวกมันไม่สนใจทิศทาง เสียหลัก วิ่งไปทางไหนก็ได้ ขอเพียงมีทางไป
ในที่สุด สิ่งที่ทำให้เหลียงเฟยรู้สึกโล่งใจก็คือ ผีร้ายทั้งสามเหนื่อยล้าจากการหลบหนี จนพลาดท่าวิ่งเข้าไปในแดนต้องห้าม!
ที่จริงแล้ว จะเรียกว่าแดนต้องห้ามก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
ณ เบื้องปลายของเส้นทางนี้ มีแสงสีแดงฉานไหลเวียนอยู่ ราวกับพื้นที่เบื้องหน้านั้นมิใช่ผนังถ้ำที่แข็งแกร่ง แต่กลับกลายเป็นหุบเหวเพลิงสีแดงฉาน ภายในเหว ลาวาสีแดงเพลิงกำลังไหลบ่าราวกับเกลียวคลื่นในท้องทะเลที่ถูกลมพายุโหมกระหน่ำ ผู้ที่พบเห็นต่างรู้สึกขนลุกขนพอง
แม้จะอยู่ห่างจากขอบเหวหลายจั้ง แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่กระจายออกมา ร้อนแรงจนแทบจะเผาผลาญทุกสิ่ง พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าลาวานี้จะมีอุณหภูมิสูงเพียงใด!
เพียงแค่มองดูก็รู้แล้วว่า หากโยนก้อนทองคำที่แข็งแกร่งที่สุดลงไปในนั้น มันจะต้องละลายกลายเป็นของเหลวในชั่วพริบตา นี่เป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าสำหรับคนหรือแม้แต่ผี พวกเขาอาจจะถูกเผาไหม้เป็นควันจาง ๆ ก่อนที่จะเข้าใกล้ลาวาด้วยซ้ำ
เหล่าอสูรทั้งสามตนมองไปที่หุบเหวลาวา จากนั้นก็มองไปที่เหลียงเฟยและหญิงสาว พวกเขาทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ในที่สุดพวกเขาก็ทนไม่ไหว คุกเข่าลงและอ้อนวอนว่า “ท่านผู้กล้าทั้งสอง ท่านพ่อ ท่านแม่ ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย พวกข้ามีบุพการีวัยแปดสิบและทารกน้อยที่ยังไม่หย่านม!”
เหลียงเฟยส่ายหัวพร้อมกับอมยิ้ม
เซียวหนิงเสวี่ยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเจ้ากลายเป็นผีไปแล้ว ยังพูดถึงเรื่องพ่อแม่ลูกเมียอะไรอีก”
เมื่อเหล่าอสูรทั้งสามได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ตัวว่าพวกเขาพูดผิดไป จึงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า “ท่านผู้กล้าทั้งสอง ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้า พวกข้าจะกลับตัวเป็นคนดี!”
เหลียงเฟยถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจกับการเล่นสนุกแล้ว เวลาเหลือน้อย พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาดูละครของเหล่าอสูรอีกต่อไป
เขานึกภาพออกว่า หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาทั้งสอง คงจะถูกทรมานอย่างสาหัส
กล่าวได้ว่า การมอบความตายอันรวดเร็วให้แก่สามผีสวรรค์เช่นนี้ นั่นก็เป็นความเมตตามากแล้ว!
เหลียงเฟยเหลือบมองเซียวหนิงเสวี่ย นางก็จ้องมองตนอยู่เช่นกัน เขายิ้มออกมา ก่อนจะเหาะขึ้นไปปลดปล่อยทักษะวิชาดารากระจายฟ้า
ทว่าในขณะที่ดารากระจายฟ้าของเขากำลังจะสำเร็จ บนฟากฟ้าก็ปรากฏดารากระจายฟ้าอีกหนึ่งสายร่วงหล่นลงมา!
เหตุการณ์ประหลาดได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง!
ดารากระจายฟ้าทั้งสองสายหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งที่เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยมิได้เตรียมใจ! ดารากระจายฟ้ากลายเป็นหนึ่งเดียว!
เห็นดังนั้นเหลียงเฟยยิ่งมั่นใจในความคิดของตนเอง การจะบรรลุผลเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัสที่ตรงกัน!
และในที่สุดเหลียงเฟยก็ค้นพบหนทางที่จะเพิ่มโอกาสสำเร็จ
เขาเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี “เซียวหนิงเสวี่ย ข้าค้นพบวิธีที่จะหลอมรวมเซียวหนิงเสวี่ยของเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว!”
หลังจากกล่าวจบเหลียงเฟย จ้องมองดวงตาของเซียวหนิงเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองพยักหน้าพร้อมเพรียง ก่อนจะปลดปล่อยดารากระจายฟ้าออกมาพร้อมกัน
ลูกไฟนับร้อยดวงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!
สำเร็จแล้ว!
เหลียงเฟยกับเซียวหนิงเสวี่ย ต่างยินดีจนอดตีมือฉลองกันไม่ได้!
MANGA DISCUSSION