บทที่ 122 รวมใจเป็นหนึ่ง
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยใช้ผลึกแก้วไขปริศนาเขาวงกต หวังหนีออกจากปากถ้ำอย่างยากลำบาก
ทว่าในตอนท้ายกลับหลงเข้าสู่ทางตัน พบกับอสุรกายโลหิตสามตน บ่มเพาะพลังลมปราณสูงส่ง สถานกการณ์ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต!
เซียวหนิงเสวี่ยมองออกว่าอสุรกายบ่มเพาะพลังลมปราณถึงขั้นใด นางดึงชายเสื้อเหลียงเฟย แล้วเอ่ยปากให้เขารีบหนีไป อย่าได้ต่อต้านอย่างเปล่าประโยชน์
ทว่าเหลียงเฟยยังมิทันตอบสนอง อสุรกายโลหิตตนซ้ายก็เอ่ยเย้ยหยัน “เช่นนั้นรึ พวกเจ้าคิดจะหนีไปงั้นรึ ถ้ำวิญญาณมังกรแห่งนี้คือเส้นทางสู่แดนนรก มีเพียงคนตายเท่านั้นที่เข้ามาได้”
อสุรกายตนกลางกล่าวเสริม “หากปล่อยให้พวกเจ้าซึ่งบ่มเพาะพลังได้เพียงน้อยนิดเช่นนี้หนีไปได้ พวกข้าทั้งสามคงมิวายถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่”
อสุรกายตนขวาหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ หากอยากตายอย่างสงบ เชื่อฟังเสีย อย่าได้ขัดขืน มิเช่นนั้น พวกข้าจะทรมานพวกเจ้าให้ตายทั้งเป็น!”
เซียวหนิงเสวี่ยได้ยินดังนั้น นางจึงมองอสุรกายเหล่านี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
อสุรกายทั้งสามตนนี้ล้วนบรรลุปราณขั้น ปราชญ์ยุทธ์ จึงถูกเรียกว่าราชาอสูร หากบ่มเพาะถึงขั้น เซียนยุทธ์คงได้เป็นเซียนอสูรเป็นแน่!
เหลียงเฟยได้ยินคำหัวเราะเย้ยหยันของอสุรกายตนขวา เขาก็แค่นหัวเราะอย่างดูแคลน “หึหึ พวกเจ้าทั้งสามนี่ช่างน่าขำเสียจริง กลัวพวกข้า จึงบอกให้พวกข้าอย่าต่อสู้มิใช่รึ”
เมื่อผีร้ายสีเลือดทั้งสามได้ยินดังนั้น ก็พากันหัวเราะครืนครั่นออกมาพร้อมเพรียงกัน
ครู่ต่อมา พวกมันก็จ้องเขม็ง ดวงตาเป็นประกายเย็นยะเยือก จากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ในชั่วพริบตาก็หลอมรวมกัน กลายเป็นร่างเดียวอย่างน่าอัศจรรย์
เดิมทีเซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง คิดว่าผีร้ายสีเลือดทั้งสามนี้ คล้ายกับลุงหัวและนายกองทั้งสองที่ผสมร่างเป็นสามหัวหกแขน คิดในใจว่า หากพวกมันเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงยุ่งยากไม่น้อย
แต่ผีบรรพชนทั้งสามก็มิได้เป็นเช่นนั้น
ทว่าในตอนท้าย เมื่อเห็นพวกมันมีสามหัวหกแขนเช่นกัน แถมยังรวมร่างกลายเป็นผีร้ายขนาดยักษ์ ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
คิดในใจว่า ผีร้ายยักษ์เหล่านั้นเมื่อรวมร่างเข้าด้วยกันแล้ว รูปร่างก็ใหญ่โตขึ้น พลังก็แข็งแกร่งขึ้น ผีบรรพชนทั้งสามนี้ คงไม่ใช่ว่าจะรวมร่างกลายเป็นเซียนผี หรือกระทั่งบรรพชนผีหรอกนะ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น จะต่อกรอย่างไร?
อย่าว่าแต่สู้เลย แม้แต่โอกาสหลบหนีก็คงไม่มีกระมัง?
บางทีสิ่งที่น่ายินดีก็คือ เรื่องราวยังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น การรวมร่างของผีบรรพชนทั้งสาม ดูเหมือนจะไม่เหมือนกับการหลอมรวมของผีร้ายยักษ์เหล่านั้น พลังยุทธ์ของพวกมันไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ยังคงเป็นปราชญ์ยุทธ์ เช่นเดิม
เซียวหนิงเสวี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับเห็นว่าเหลียงเฟยดูเหมือนจะไม่กังวลเลย บินขึ้นไปบนอากาศอย่างคล่องแคล่ว แล้วใช้ทักษะดารากระจายฟ้าออกมาอย่างชำนาญ
ในขณะนั้นเซียวหนิงเสวี่ยก็ได้ประจักษ์ถึงความร้ายกาจของวิชาดารากระจายฟ้า
นางมองเห็นกลุ่มแสงสีขาวนับสิบ พุ่งเข้าใส่เหล่าปีศาจทั้งสามที่รวมตัวกันอยู่
เหล่าปีศาจทั้งสามนั้นว่องไวยิ่งนัก ในชั่วพริบตาที่กลุ่มแสงกำลังพุ่งเข้าใส่ พวกมันก็พลันหายวับไปในอากาศ ปล่อยให้กลุ่มแสงนั้นโจมตีพลาดเป้าไป
ทว่ากลุ่มแสงเหล่านั้นกลับเหมือนมีวิญญาณ มันติดตามเหล่าปีศาจไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าพวกมันจะหนีไปที่ใด กลุ่มแสงก็ตามไปที่นั่น ความเร็วของพวกมันเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า กลุ่มแสงก็ปรับเปลี่ยนตามไปเช่นนั้น
เหลียงเฟยกล้าสาบานได้เลยว่า ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ญาณสัมผัสแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้ แม้จะใช้ญาณสัมผัสก็มิอาจควบคุมกลุ่มแสงที่ทรงพลังนับสิบกลุ่มได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นนี้
กล่าวคือนี่คือพลังที่แท้จริงของวิชาดารากระจายฟ้า
เหลียงเฟยไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ผู้เฒ่าลึกลับผู้นั้นบรรลุถึงขั้นนี้ได้อย่างไร และเบื้องหลังกระบวนท่าอันแปรปรวนของวิชา บูชาปีศาจนี้ ซุกซ่อนความลี้ลับเช่นนี้เอาไว้
รู้สึกได้เพียงว่า ทั้งหมดนี้ช่างล้ำลึกเกินหยั่งถึง!
บางทีอาจเป็นดังที่ผู้เฒ่าลึกลับผู้นั้นได้กล่าวไว้ จนกว่าวันที่เขามีพลังฝึกปรือแก่กล้า เขาจึงจะเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
ทว่าการเคลื่อนที่ของเหล่าลูกแก้ววิเศษนั้น ไม่อาจเทียบได้กับการควบคุมด้วยญาณสัมผัสของเหลียงเฟย ที่สามารถปล่อยพลังได้อย่างต่อเนื่อง ลูกแก้ววิเศษเพียงแค่ติดตามวิญญาณร้ายไปได้เจ็ดรอบ ก็พลันแตกกระจายออก กลายเป็นแสงสว่างสีขาวนับพัน พุ่งเข้าใส่ราวกับตาข่ายที่ถักทออย่างหนาแน่น
น่าเสียดายที่วิญญาณร้ายนั้นมีฝีมือ เมื่อเผชิญกับลูกแก้ววิเศษที่แตกกระจายออก จากนั้นแสงสีเลือดสามสายก็หมุนวนไม่หยุด เกิดเป็นแสงสีเลือดขนาดใหญ่ พุ่งออกมาต้านรับกับแสงสีขาวนับพันสายนั้น
วิญญาณร้ายสามตนผนึกกำลังกัน ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
แสงสีเลือดขนาดใหญ่นั้น ไม่เพียงแต่สามารถสลายแสงสีขาวทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย แต่ยังคงเหลือพลังพุ่งเข้าใส่เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ราวกับจะกลืนกินทั้งฟ้าและดิน
เมื่อเห็นดังนั้น เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยต่างก็ตกตะลึง พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้จะมีพลังแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งคู่รีบชักกระบี่ออกมาเพื่อปัดป้องพลังของวิญญาณร้าย
แต่คลื่นลูกหนึ่งเพิ่งสงบ อีกลูกหนึ่งก็ตามมาติดๆ
วิญญาณร้ายสามตนนั้น ด้วยความได้เปรียบด้านพลัง หลังจากโจมตีสำเร็จ พวกมันไม่เปิดโอกาสให้เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ได้โต้กลับแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยกำลังจะถูกแสงสีเลือดโจมตีอีกครั้ง พวกมันก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง ปล่อยพลังโจมตีที่รุนแรงไม่ต่างจากเดิมออกมา
พร้อมกันนั้น ก็มีเสียงหัวเราะเยาะของวิญญาณร้ายสีเลือดตนหนึ่งดังขึ้น “ฮ่าๆๆ เจ้าสองคนผู้ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง กล้าดียังไงมาสู้กับท่านปู่ เห็นหรือไม่ นี่แหละความร้ายกาจของท่านปู่! ดูซิ พวกข้าเพียงใช้พลังสามส่วน ก็สามารถกำจัดเจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
บางทีคำพูดนี้อาจทำลายความมั่นใจ เซียวหนิงเสวี่ยในครั้งนี้จึงแตกต่างจากทุกครั้ง นางมิได้คิดหลบหนี แต่หันไปพูดกับเหลียงเฟยว่า “พี่เฟย พวกเรามาปล่อยท่าไม้ตาย ‘ดารากระจายเต็มฟ้า’ พร้อมกัน สู้กับพวกมันให้ตายไปข้าง!”
เหลียงเฟยผู้นั้นยิ้มรับคำเชิญ ก่อนจะประสานพลังกับเซียวหนิงเสวี่ย ร่วมกันร่ายรำกลางอากาศ เมื่อท่าร่ายสิ้นสุดลง บรรดาก้อนแสงสีขาวนับร้อยก็พุ่งเข้าปะทะกับแสงสีเลือด
ทว่าในชั่วขณะนั้นเอง กลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น!
ก้อนแสงสีขาวนับร้อยที่แตกกระจายออกไป กลับเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต
ก้อนแสงเหล่านั้นเคลื่อนไหวไม่หยุด พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นก้อนแสงขนาดใหญ่หลายสิบก้อน
ก้อนแสงสีขาวจึงได้ปะทะเข้ากับแสงสีเลือดอันรุนแรงที่จ้าวพลังภูตทั้งสามปลดปล่อยออกมา
ถ้ำทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือน เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าถล่ม ดังกึกก้องไปทั่ว บรรยากาศรอบด้านปั่นป่วนราวกับพายุคลั่ง
แสงสีเลือดถูกก้อนแสงสีขาวสลายไปจนหมดสิ้น ก่อนจะแตกกระจายออกเป็นแสงสีขาวนับไม่ถ้วน โถมเข้าใส่จ้าวพลังภูตทั้งสาม
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คาดไม่ถึง พลังของพวกข้าจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้!”
จ้าวพลังภูตทั้งสามเองก็เผชิญหน้ากับพลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกมันถึงกับชะงักไปด้วยความตกตะลึง แต่ไม่นานก็หัวเราะลั่น พลางเคลื่อนไหวร่างกาย เตรียมปลดปล่อยท่าร่ายใหม่ “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าก็มีฝีมืออยู่บ้าง เอาล่ะ คราวนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสพลังที่แท้จริง!”
สิ้นคำกล่าว จ้าวพลังภูตทั้งสามก็หยุดการเคลื่อนไหว แสงสีเลือดขนาดมหึมาอีกระลอกหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยในทันที
แม้แรกเห็น พลังนี้ดูราวกับมิได้ต่างจากครั้งก่อนกระนั้นเลย
แท้จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่!
จู่ๆ แสงสีเลือดนั้นพลันสลายแสงสีขาว ทะลวงเข้าหาเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ครานั้นก็แยกออกเป็นสองสาย โอบล้อมพวกเขาจากทั้งแปดทิศ
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยมิอาจประมาทต่อปิศาจทั้งสามตนนี้ได้ ครั้นพวกมันปลดปล่อยพลังออกมาก็เตรียมพร้อมโจมตีตอบโต้ในทันที
จากการโจมตีครั้งก่อน พวกเขาทั้งสองสัมผัสถึงความได้เปรียบ ประจักษ์ถึงพลังอันแข็งแกร่ง ครานี้พวกเขาจึงร่วมใจกันใช้กระบวนท่าดารากระจายฟ้า รับมือพลังของปิศาจร้าย
ทว่ากลับไม่เป็นดังคาด ครานี้มิได้มีปรากฏการณ์ประหลาดเช่นก่อนหน้า พลังมิได้หลอมรวมกัน แต่กลับไหลบ่าไปคนละทิศ
กระนั้น แสงสีเลือดของปิศาจทั้งสามกลับแข็งแกร่งนัก แม้เผชิญพลังที่แตกกระจายของเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ก็มิได้มีสิ่งใดขวางกั้น สลายหายไปในพริบตา ก่อนพุ่งตรงเข้าหาเหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย
โชคดีที่เหลียงเฟยและนางสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทันท่วงที จึงรีบเหวี่ยงกระบี่ ปลดปล่อยพลังต้านทานเอาไว้ มิเช่นนั้นแม้ไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
เหตุใดครั้งก่อนพลังของพวกข้าจึงหลอมรวมกันได้ แต่ครานี้กลับมิได้?
หรือว่าที่นี่จะมีเคล็ดวิชาอะไรซ่อนอยู่?
เหลียงเฟยครุ่นคิดเช่นนั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาจับใจ จึงหันไปกล่าวว่า “พวกเรามาร่วมกันใช้ดารากระจายฟ้าอีกครั้ง พวกเราต้องทำให้กระบวนท่าอันแข็งแกร่งเมื่อครู่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วค่อย ๆ ทำความคุ้นเคย จนมันกลายเป็นพลังของพวกเราให้ได้!”
กล่าวจบ เขาก็สะบัดกระบี่สามเล่มในมือ พร้อมกับใช้พลังญาณบงการ สร้างขบวนทัพคุ้มภัยห้าธาตุขึ้นรอบกายตนเองและเซียวหนิงเสวี่ย
จากนั้นเหลียงเฟยกับเซียวหนิงเสวี่ยก็พยักหน้าให้กัน ก่อนจะร่วมกันใช้ดารากระจายฟ้าอีกครั้ง เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
ทว่าพวกเขาลองทำอยู่หลายครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จ โชคดีที่ยังมีพลังของขบวนทัพคุ้มภัยห้าธาตุช่วยป้องกันการโจมตีจากภูตผีปีศาจเอาไว้ได้
ความล้มเหลวคือมารดาแห่งความสำเร็จ!
แม้เหลียงเฟยจะล้มเหลวหลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ได้รวบรวมประสบการณ์ไปด้วย จนในท้ายที่สุดก็รู้สึกว่า บางทีพวกเขาอาจจะทำสำเร็จได้ หากเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าให้พร้อมเพรียงกัน
ทว่าดารากระจายฟ้านั้นมีท่วงท่าหลายร้อยท่า เพื่อรับมือกับศัตรู ในยามใช้กระบวนท่าด้วยความรวดเร็ว หากต้องการเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าให้พร้อมเพรียงกัน นอกจากความบังเอิญเมื่อครู่นี้แล้ว คงไม่มีทางเป็นไปได้
กระนั้นสำหรับเหลียงเฟยแล้ว บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้!
เว้นเสียแต่จะไม่ลงมือทำ เว้นเสียแต่จะไม่ยืนหยัดจนถึงที่สุด ขอเพียงแค่เจ้ามุ่งมั่นค้นคว้า ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน และทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ในท้ายที่สุดก็ย่อมจะประสบความสำเร็จ!
เหลียงเฟยเผชิญหน้าภยันตราย กลับมิหวั่นเกรง พร้อมเอ่ยขึ้ยว่าว่า “เซียวหนิงเสวี่ย พวกเราร่วมมือกันอีกครา ประสานกระบวนท่า หวังว่าจะสำเร็จดังคราก่อน!”
เซียวหนิงเสวี่ยเชื่อฟัง ร่วมมือกับเหลียงเฟย ปล่อยพลังดารากระจายฟ้าเพื่อรับมือกับสามปีศาจ
แม้ว่าพวกเขายังมิอาจเอาชนะได้ แต่ก็ยังคงเพียรพยายามอย่างไม่ลดละ
ฝ่ายตรงข้ามต่อสู้กันเป็นเวลานาน สามปีศาจเห็นพวกเขาใช้กระบวนท่าเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงหัวเราะเยาะอย่างน่ารำคาญ “พวกเจ้าปัญญาเพียงแค่นี้หรือ? เอาล่ะ พวกข้าจะไม่เสียเวลาแล้ว จงตายไปซะ!”
สิ้นคำ สามปีศาจก็ปรากฏตัวเคียงข้างเหลียงเฟย ทั้งสองในชั่วพริบตา ล้อมเป็นรูปสามเหลี่ยม ครอบคลุมพวกเขาไว้ภายใน
ทันใดนั้นสามปีศาจโลหิตก็เริ่มปล่อยพลังร่วมกัน ก่อกำแพงเลือดสีชาดรูปสามเหลี่ยมขนาดมหึมา ปรากฏขึ้นรอบกาย เหลียงเฟยทั้งสองหวังกักขังพวกเขาไว้ภายใน
พลังนี้ร้ายกาจยิ่งนัก เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดอันน่าอึดอัดราวกับจะขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้
“ครั้งสุดท้ายแล้ว เซียวหนิงเสวี่ยหากพวกเราทำไม่สำเร็จ ก็มีแต่ต้องถูกทำลายล่ะ!” เหลียงเฟย ยังคงดื้อรั้น ในยามคับขันเช่นนี้ กลับยังคิดลองอีกครา
เซียวหนิงเสวี่ย ตกตะลึงไปชั่วครู่ แต่ก็มิได้เอ่ยใด เพียงพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ร่วมมือกับ เหลียงเฟยปล่อยดารากระจายฟ้าอีกครั้ง
ทว่าในจังหวะสำคัญนี้เอง ลูกแก้วทั้งสองกลับหลอมรวมกันอีกครา!
สำเร็จ!
เซียวหนิงเสวี่ยหัวเราะออกมา
แต่เหลียงเฟยกลับเข้าใจแล้ว ที่แท้เคล็ดลับของพลังนี้คือพวกเขาต้องบรรลุถึงขั้น “ใจรวมกันเป็นหนึ่งเดียว” !
ก่อนหน้านี้ พวกเขาตั้งใจใฝ่หา จึงไม่อาจบรรลุได้
แต่บัดนี้ พวกเขาทำไปเพื่อเอาชีวิตรอด ปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ มีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน บังเกิดความสอดคล้องพร้อมเพรียงอย่างถึงที่สุด จึงก้าวข้ามผ่านความยากลำบากนี้ไปได้
MANGA DISCUSSION