บทที่ 105 ขับไล่
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาที่นางได้อยู่กับเหลียงเฟย นางได้ซึมซับความแข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้ของเหลียงเฟย จนทำให้จิตใจของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ กล้าหาญยิ่งขึ้น
เหลียงเฟยเองก็ไม่คิดว่าจะถูกเซียวหนิงเสวี่ยแกล้งถึงสองครั้งติดต่อกัน เขาถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางนั้น ช่างสนิทสนมกลมเกลียว ไม่แบ่งแยกเจ้านายกับบ่าวไพร่
ชั่วครู่ใหญ่ ๆ เขาจึงเอ่ยปากชมไม่หยุดปากว่า “ชื่อนี้ช่างดีเหลือเกิน ตาข่ายดาบสวรรค์ ชื่อนี้ดี ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
เซียวหนิงเสวี่ยพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเขินอาย ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ
เหลียงเฟยไม่ได้พูดคุยกับนางต่อ เขาหันกลับไปพูดว่า “เซียวหนิงเสวี่ย พวกเราก็ไม่รู้ว่าติดอยู่ในถ้ำนี้มานานเท่าใดแล้ว รีบหาทางออกจากถ้ำกันเถอะ!”
“เข้าใจแล้ว” เซียวหนิงเสวี่ยขานรับ นางเดินเข้าไปจับมือเหลียงเฟยอีกครั้ง แสงสว่างอันริบหรี่จากกระบี่ของเหลียงเฟย ทำให้เห็นว่าเขามองนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางจึงเอ่ยด้วยความเขินอายว่า “เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ จับมือกันไว้ อย่าแยกจากกันเด็ดขาด!”
อย่าแยกจากกันเด็ดขาด!
คำพูดเช่นนี้ แม้ผู้ใดได้ยินย่อมรู้สึกขบคิดไปต่าง ๆ นานา
เหลียงเฟยครุ่นคิดอยู่นาน คราแรกมิอาจหาคำตอบใด จึงเลือกที่จะเงียบงัน สายตามองตรงไปเบื้องหน้า เอ่ยว่า “พวกเรารีบใช้วิชาฝีเท้าลมกรดเถิด หวังว่าคงพบทางออกโดยเร็ว”
ทว่ายังไม่ทันที่เซียวหนิงเสวี่ยเอ่ยตอบ หรือแม้แต่จะเอ่ยสิ่งใด ทั้งสองพลันเห็นทางออกเบื้องหน้าหายวับไป กลับมีทางแยกสามสี่สายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน!
เกิดอันใดขึ้น?
ช่างเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดยิ่งนัก!
เหลียงเฟยและเซียวหนิงเสวี่ย ต่างมองเห็นเหตุการณ์ประหลาดเบื้องหน้า จึงพลันเข้าใจเหตุผลที่พวกเขาพยายามหาทางออกก่อนหน้านี้ ทั้งที่จำได้ว่ามีทางแยกเพียงสามสาย แต่กลับยิ่งเดินยิ่งมากขึ้น ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
เซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ก้าวเท้าเข้าใกล้เหลียงเฟย เอ่ยถาม “ท่านพี่เฟย ข้าว่าถ้ำแห่งนี้ช่างแปลกประหลาดนัก พวกเรายังมีโอกาสออกไปหรือไม่?”
เหลียงเฟยมองทางแยกสามสายเบื้องหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เอ่ยว่า “น้องหนิงเสวี่ย ไม่ต้องกังวล พวกเราต้องหาทางออกได้ เชื่อข้าเถิด พวกเรามาถึงที่นี่ได้ ย่อมต้องออกไปได้เช่นกัน”
เซียวหนิงเสวี่ยนิ่งเงียบ
เหลียงเฟยสูดหายใจเข้าลึก พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ทางสายเดียวนั้นเปลี่ยนเป็นสามสายในชั่วพริบตา หวังว่าจะพบร่องรอยบางอย่าง
กระนั้นความเป็นจริงกลับทำให้รู้สึกสิ้นหวัง เมื่อเหลียงเฟยไม่มีเวลาแม้แต่จะครุ่นคิด
ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่าพลังร้ายที่ก่อตัวขึ้นจากควันสีเขียวหลังจากผีร้ายเหล่านั้นถูกทำลาย บัดนี้กลับหลอมรวมกันอีกครั้ง ก่อเกิดเป็นแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน
ต่อมา แสงสีเขียวเหล่านั้นได้แยกออกเป็นสองจุด กลายเป็นดวงตาสองข้าง ก่อนจะปรากฏเป็นหัวคนอีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนร่างจนกลายเป็นผีร้ายในที่สุด
รูปลักษณ์ของผีร้ายที่ฟื้นคืนชีพมานั้น แทบไม่ต่างจากเดิมเลย ส่วนจำนวนก็น่าจะใกล้เคียงกัน ไม่ผิดเพี้ยน
“พวกมันฟื้นคืนชีพแล้วรึ?” เซียวหนิงเสวี่ยอุทานด้วยความตกใจ “หรือว่าผีร้ายพวกนี้จะไม่มีวันตายไปจริง ๆ ? ท่านพี่เฟย ต่อไปพวกเราควรทำเช่นไรดี? ถ้าต้องสู้ต่อไปแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเราก็คงต้องตายเพราะความเหนื่อยเป็นแน่”
เหลียงเฟยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวหนิงเสวี่ย ก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา หันหน้าไปทางอื่น ตั้งใจจะต่อว่าเซียวหนิงเสวี่ยสักหน่อย
ทว่าพอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวังและคาดหวัง ท่ามกลางแสงสีเขียวที่ส่องสว่างจ้า เหลียงเฟยก็อดใจเย็นลงไม่ได้
เขาพลันลอยตัวขึ้น ควงกระบี่ผีร้าย ปลดปล่อยทักษะกระบี่สวรรค์ออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนก้อง “น้องหนิงเสวี่ย ความกลัวไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องสู้ แม้มีเพียงความหวังอันริบหรี่ พวกเราก็ต้องสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
เซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกว่าสิ่งที่เหลียงเฟยพูดนั้นถูกต้อง แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใด เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด ทำให้เซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง นางกัดฟันแน่น ลอยตัวขึ้น ควงกระบี่สีแดง ต่อสู้กับผีร้ายเคียงข้างเหลียงเฟย
ในระหว่างการต่อสู้ สิ่งที่ทำให้เซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกดีใจก็คือ พลังและความเร็วของผีร้ายที่ฟื้นคืนชีพมานั้นอ่อนแอกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้ กระบวนท่ากระบี่ท่าสุริยันบรรลุขั้นสูงสุด เพียงทำลายวิญญาณร้ายได้สามสิบตน ทว่าบัดนี้ กลับสามารถสังหารได้ถึงหกเจ็ดสิบตนในชั่วพริบตา
เรื่องนี้ทำให้เซียวหนิงเสวี่ยและเหลียงเฟยมองเห็นความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง ความมั่นใจเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ ผลลัพธ์คือ พวกเขาสามารถทำลายวิญญาณร้ายเหล่านี้ให้กลายเป็นควันสีเขียวจาง ๆ นับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย
หลังจากได้รับชัยชนะอย่างงดงาม เหลียงเฟยครุ่นคิดถึงวิญญาณร้ายเหล่านี้ แม้ตายไปแล้วก็ยังสามารถกลับมารวมตัวกันใหม่ได้ ราวกับมีชีวิตอมตะ ทรงพลังยิ่งนัก เรื่องนี้ช่างสอดคล้องกับวิชาที่เหลียงเฟยรังสรรค์ขึ้น นามว่าศาสตร์บงการสวรรค์ เป้าหมายสูงสุดคือ การแบ่งแยกและรวมตัว ซึ่งเป็นหลักการเดียวกัน
แม้เหลียงเฟยจะยังไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่ที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ
ในเมื่อมีสิ่งที่เชื่อมโยงกัน เพียงแค่ใช้ศาสตร์บงการสวรรค์ ก็น่าจะสามารถทำลายวิญญาณร้ายเหล่านี้ได้!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เหลียงเฟยจึงปลดปล่อยพลังญาณบงการออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งพลังไปยังกลุ่มควันสีเขียวเหล่านั้น พยายามควบคุมวิญญาณร้าย พวกมันจะต้องชี้ทางออกให้กับข้า!
ทว่าเหลียงเฟยพยายามเท่าไหร่ก็ล้มเหลว แต่เขาก็มิได้ท้อแท้ ในวิชาญาณบงการที่เขาวางแผนไว้ ศาสตร์บงการสวรรค์จะต้องบรรลุถึงขั้นมหาเทวะญาณ จึงจะสามารถควบคุมวิญญาณได้อย่างง่ายดาย
เพียงแค่พลังฝีมือของ ญาณบงการ ต้องการควบคุมวิญญาณร้ายเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อเห็นควันสีเขียวไหลเวียนอีกครั้ง มีแนวโน้มที่จะรวมตัวกันเป็นวิญญาณร้าย เหลียงเฟย กัดฟันแน่น ใช้วิชาญาณบงการอีกครั้ง
ในเมื่อไม่สามารถทำลายพวกมันได้ ไม่อาจควบคุมพวกมันได้ งั้นก็ขับไล่พวกมันไปซะ!
ญาณบงการแผ่คลุมทั่ว บังคับผงธุลีล่องลอยให้เคลื่อนไหว ค่อย ๆ เร่งเร็วขึ้นจนกลายเป็นพายุ และทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก จนในที่สุดก็บังเกิดเป็นลมแรงระดับสามถึงสี่ได้
แม้สายลมนี้ไม่อาจทำลายสิ่งใดได้ แต่สำหรับการพัดพาหมอกควันสีเขียวจาง ๆ นี้ ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
สำเร็จแล้ว ในที่สุดก็สำเร็จจนได้!
เหลียงเฟย มองดูหมอกควันสีเขียวสลายตัวไปทีละน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความยินดี “สวรรค์ช่วยข้าไว้ ลมนี้มาได้ทันเวลาจริง ๆ !”
เซียวหนิงเสวี่ยกลับชะงักไปครู่หนึ่ง นางมองดูเหลียงเฟยอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยยิ้มออกมา นางคิดว่าเหลียงเฟยคงมีความเกี่ยวข้องอันดีกับตระกูลเย่ คงได้ร่ำเรียนศาสตร์สี่ลักษณ์จากพวกเขามาบ้าง
ทว่าเหลียงเฟยกลับกล่าวว่าลมนี้มิใช่ฝีมือของเขา หากแต่เป็นฝีมือของสวรรค์
เซียวหนิงเสวี่ยก็มิได้คิดมากไปกว่านั้น เพียงแค่มองดูเหล่าภูตผีสลายไป ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางหันไปมองเหลียงเฟยอีกครั้ง รู้สึกว่าที่เขากล่าวมาก็ถูกต้อง
มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปได้
สู้ตายยังดีกว่ารอความตายอย่างขลาดเขลา บางทีผลลัพธ์สุดท้ายอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่ายินดีก็เป็นได้
MANGA DISCUSSION