บทที่ 102 ถ้ำวิญญาณมังกร
“เจ้าหมายความว่าภายในถ้ำแห่งนี้ มีอสูรที่น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรต้นไม้นั้นอีกหรือ?”
“อืม ใช่แล้ว!”
ยามทั้งสองไม่เอ่ยวาจาใดออกมาก็ดูเหมือนจะปกติ แต่เมื่อเอื้อนเอ่ย เสียงกลับก้องสะท้อนไปมาตามผนังถ้ำ ราวกับมีวิญญาณเร่ร่อนอยู่บริเวณใกล้เคียง บรรยากาศช่างน่าขนลุกและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เหลียงเฟยถอนหายใจพลางกล่าว “อย่าพูดเหลวไหลเลย พวกเราคงจะไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” เซียวหนิงเสวี่ยและเหลียงเฟยวิ่งหนีมาเป็นเวลานาน พวกเขานางเหนื่อยล้าและอยากพักผ่อน มิอาจต่อสู้ใด ๆ ได้อีก
เหลียงเฟยตอบรับคำอย่างเหนื่อยอ่อน ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ย “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราอย่าเพิ่งเข้าไปในถ้ำลึกกว่านี้เลย ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าข้างในจะลึกเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทางแยกมากมาย หากเดินไปไกลกว่านี้เกรงว่าจะหาทางกลับออกไปไม่เจอ”
เซียวหนิงเสวี่ยพยักหน้าเห็นด้วย พลางกล่าวว่า “ตกลง พวกเรารออยู่ที่นี่สักพัก รอให้ปีศาจต้นไม้นั่นไปก่อน พวกเราค่อยออกไป!”
ว่าแล้ว ทั้งสองก็อยู่รอ ณ ที่แห่งนั้น
ในตอนแรกทั้งสองต่างเงียบงัน ไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ออกมา
เซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านพี่เฟย เจ้ายังอยู่หรือไม่?”
“ข้ายังอยู่”
“ยื่นมือให้ข้า จับมือเจ้าไว้ ข้าจะได้อุ่นใจขึ้นบ้าง”
เหลียงเฟยตอบรับคำพลางยื่นมือออกไป ทว่าภายในถ้ำนั้นมืดสลัวเหลือเกิน มองอะไรไม่เห็น เขาจึงเผลอสัมผัสโดนทรวงอกอิ่มของนางเข้า
ผิวพรรณนุ่มเนียนดุจแพรไหม บอบบางน่าทะนุถนอม เต็มไปด้วยความเยาว์วัย…
สัมผัสนั้นทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน รีบชักมือกลับมาหมายจะควานหาที่อื่น ทว่ากลับไปสัมผัสโดนริมฝีปากนุ่มหยุ่นของนางเข้าอีกครา
กลิ่นกายหอมกรุ่น ริมฝีปากอ่อนนุ่ม ชุ่มชื่นราวกับน้ำผึ้ง…
เหลียงเฟยรีบชักมือกลับอีกครา แต่ถูกเซียวหนิงเสวี่ยคว้าเอาไว้แน่นราวกับก้อนหยกเนื้อนวลนุ่มละมุนอยู่ในมือ นางมิยอมปล่อยมือจากเขาเลย
ทว่าทั้งสองมิรู้เลยว่า ณ ปากถ้ำนั้น มีตนไม้ปีศาจยืนจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะร่วนออกมาพลางเอ่ยว่า “ฮ่าฮ่า เจ้าพวกนั้นวิ่งเข้าไปในถ้ำวิญญาณมังกร ตายแน่ ๆ !”
ทางด้านหญิงงามชุดขาวกับพวกพ้องที่ไล่ตามเหลียงเฟยมาพลางต่อสู้กับปีศาจไปด้วย เมื่อรู้ว่าทั้งสองเข้าไปในถ้ำวิญญาณมังกร ต่างก็ส่ายหน้าถอนใจด้วยความเสียดาย
แต่ที่น่าแปลกก็คือ แม้ปีศาจเหล่านี้จะเป็นผู้ปลิดชีพเหลียงเฟยกับสหาย หากหญิงงามชุดขาวกลับไม่คิดต่อสู้ต่อ นางสั่งให้ทุกคนรีบหนีออกไป แล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไปก่อนใคร
เหล่าบุรุษหน้ากากเห็นดังนั้น ก็รีบลอยตัวตามนางไป
แม้ปีศาจทั้งสามจะมีวรยุทธ์ไม่ด้อย แต่เมื่อต้องรับมือกับฝ่ายหญิงงามชุดขาวซึ่งมีจำนวนมากกว่าและฝีมือมิยิ่งหย่อน พวกมันจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไป ก็ได้แต่ดีใจมิคิดไล่ตาม
หญิงงามชุดขาวเหาะทะยานไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ออกจากหุบเขาโว่หลงมาถึงศาลากลางป่าแห่งหนึ่ง
ศาลานี้ตั้งอยู่ริมน้ำเชิงเขา บรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ งดงามราวกับภาพวาด เปรียบได้กับศาลาจิ้งชิงแห่งหุบเขาโอวเมย
ยิ่งในยามนี้ ดนตรีจากพิณที่ดังกังวานอยู่ภายในศาลา ยิ่งทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง สงบใจ
เมื่อมองตามเสียงพิณไป ก็พบหญิงงามในชุดผ้าไหมสีเขียวนั่งบรรเลงพิณอย่างตั้งใจ รูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดา ประกอบกับทัศนียภาพโดยรอบ ยิ่งทำให้ดูงดงามจับใจ
นางผู้บรรเลงพิณผู้งดงามเลิศล้ำ งามปานนางฟ้า งามจนปลาต้องหยุดว่าย นกต้องลืมบิน ดวงจันทร์ต้องหลบเร้น อับแสงแม้กระทั่งดอกไม้ ผู้นั้นมิใช่ใครอื่น นางคือบุตรสาวของท่านแม่ทัพเย่ เย่หลิวซู นั่นเอง
ครั้นเมื่อบทเพลงสุดท้ายบรรเลงจบลง นางผู้หนึ่งในชุดขาวก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหา “คุณหนู เรื่องคนในดวงใจของท่านแม่ทัพ เหลียงเฟย…”
เย่หลิวซูมิได้เอ่ยวาจาตอบโต้ ใบหน้างดงามยังคงเรียบเฉย เพียงแต่หันไปมองนางชุดขาวแวบหนึ่ง เป็นเชิงอนุญาตให้นางพูดต่อ
“จากที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้ ผู้นั้นคือ เซียวหนิงเสวี่ย เจ้าค่ะ” นางชุดขาวกล่าว
คำกล่าวนี้ ทำให้แววตาของเย่หลิวซูเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหันไปเผชิญหน้ากับนางชุดขาว พลางเอ่ยถาม “แล้วเจ้าจะจัดการอย่างไร?”
“ข้าจะสังหารเซียวหนิงเสวี่ยเสีย”
“บุ่มบ่ามนัก ด้วยสิริโฉมของข้า เย่หลิวซู หรือมิอาจเทียบเทียมนางเซียวหนิงเสวี่ย ถึงกับต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้”
“เอ่อ… คุณหนู”
“แล้วอย่างไรเล่า เซียวหนิงเสวี่ยถูกเจ้าสังหารแล้วหรือไม่?”
“มิได้เจ้าค่ะ พวกนางหนีไปแล้ว หนีเข้าไปในถ้ำวิญญาณมังกร!”
เย่หลิวซูได้ยินคำว่าถ้ำวิญญาณมังกร ก็ตกใจอุทานขึ้นมาว่า “ถ้ำวิญญาณมังกร? รุ่ยฟง เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นถ้ำวิญญาณมังกร?”
รุ่ยฟงตอบรับว่า “ไม่ผิดแน่นอน มันคือถ้ำวิญญาณมังกรบนเขาโว่หลงนั่นเอง! อนิจจา ถ้ำวิญญาณมังกรเป็นสถานที่อาถรรพ์ยิ่งนัก มีปีศาจร้ายมากมาย กำลังจะทะลวงผนึกออกมา เมื่อไม่นานมานี้ปีศาจบนเขาโว่หลงก่อกวน คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นแน่ ปีศาจต้องการรวมพลังกับวิญญาณร้ายเพื่อครองโลก! เหลียงเฟย พวกเขาคงตกเป็นอาหารของวิญญาณร้ายไปแล้วกระมัง!”
เย่หลิวซูนิ่งเงียบไม่พูดจา
รุ่ยฟงจึงเอ่ยปากชักชวนว่า “คุณหนู เหลียงเฟย ตอนนี้ยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำ ท่านไม่จำเป็นต้องเพื่อคนแบบนี้…”
ไม่ทันที่นางจะพูดจบ เย่หลิวซูก็ถอนหายใจแล้วพูดขัดขึ้นว่า “ไม่ต้องชักชวนข้า เจ้าส่งคนสองคนไปแถวถ้ำวิญญาณมังกร ดูซิว่ายังมีข่าวคราวของเหลียงเฟยหรือไม่!”
ภายในถ้ำมังกรวิญญาณมืดมิด มีเพียงแสงสลัวเลือนรางราวกับกลางวันเป็นกลางคืน แม้ผ่านไปเนิ่นนานจนดวงตาท่านคุ้นชินกับความมืดมิดนี้ สิ่งที่มองเห็นก็ยังคงเป็นเพียงเงาเลือนราง
ท่ามกลางความมืดมิด บางคราจะได้ยินเสียงหยดน้ำ เสียงแมลงบิน หรือเสียงประหลาด… ยิ่งทำให้ภายในถ้ำแห่งนี้ชวนขนลุกเกร้า
เหลียงเฟยหาได้หวาดกลัวไม่ แต่เซียวหนิงเสวี่ยนั้น อดรู้สึกหวั่นวิตกไม่ได้ ทำให้เหลียงเฟยที่อยู่เคียงข้าง กลายเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของนาง
เพียงได้สัมผัสมือเขา นางก็รู้สึกวางใจ
เนิ่นนาน… หรืออาจจะไม่นานนัก
อาจเพียงชั่วธูปดอกเดียว แต่ด้วยความมืดมิด ความเงียบสงัด และอาจจะเป็นเพราะความเบื่อหน่าย ทำให้หนึ่งวินาทีนั้นเนิ่นนานราวกับหนึ่งนาที หรืออาจจะมากกว่านั้น
ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดสร้างแรงกดดันอันหนักอึ้ง เซียวหนิงเสวี่ยไม่อาจทานทนต่อแรงกดดันมหาศาลนี้ได้อีกต่อไป นางจึงดึงร่างเหลียงเฟยเข้ามาสวมกอดแน่นพลางเอ่ยว่า “ท่านพี่เฟย ข้ากลัว”
เหลียงเฟยไม่อาจตอบรับคำ เพราะยามเมื่อเซียวหนิงเสวี่ยสวมกอดเขา อกอุ่นอันอ่อนนุ่มของนางได้แนบชิดกับแขนของเขา ความรู้สึกอันแสนวิเศษไหลเวียนไปทั่วร่าง ทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม หลงใหล จนแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ จึงรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
ทว่าเหลียงเฟยก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน
เซียวหนิงเสวี่ยกอดเขาไว้แน่นนัก พูดตามตรง เขาเองก็มิอยากให้ความรู้สึกดีเช่นนี้หายไป
ใจที่ตื่นเต้น ทำให้เหลียงเฟยรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้า นานเท่าใดหนอ กว่าใจจะเต้นช้าลง สงบลง เหลียงเฟยจึงกล้าพอที่จะยื่นแขนออกไป โอบกอดเซียวหนิงเสวี่ยไว้ในอ้อมแขน
ในที่สุด เหลียงเฟยก็ผ่อนคลาย ก่อนตบลงบนแขนนุ่มเนียนราวหยกของนางแผ่วเบา “น้องหนิงเสวี่ย ไม่ต้องกลัว พี่เฟยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”
เซียวหนิงเสวี่ยขานรับเบา ๆ นางรู้สึกอุ่นใจยิ่งขึ้น ความเหนื่อยล้าทำให้ความง่วงถาโถม เซียวหนิงเสวี่ยจึงหลับตาลง ซุกตัวในอ้อมแขนของเหลียงเฟยในเวลาไม่นาน
เหลียงเฟยเสกกระบี่มารออกมา ท่ามกลางแสงสีเขียวจาง ๆ มองดูเซียวหนิงเสวี่ยนอนหลับอย่างสงบในอ้อมแขน ราวกับลูกแมวน้อย หรือไม่ก็ลูกสุนัขตัวน้อย
ช่างน่ารักยิ่งนัก
เหลียงเฟยแย้มยิ้ม มองดูเซียวหนิงเสวี่ยพลางครุ่นคิด หรือนี่คือพรหมลิขิต?
ครั้งนี้ที่พวกเขาออกจากสำนักเซียนหยูฮั่วมายังเมืองหลวง เดิมทีเพื่อมางานแต่งงานของเย่หลิวซู ใครเลยจะรู้ว่า ผ่านเรื่องราวมากมาย สุดท้ายคนที่นอนอยู่ในอ้อมแขนข้า กลับกลายเป็นเซียวหนิงเสวี่ย
ภาพวาดอันงดงามจับใจภาพแรก ที่เขาพบเห็นที่หน้าประตูสำนัก
พรหมลิขิตช่างเล่นตลกเสียจริง!
MANGA DISCUSSION