ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! - ตอนที่ 21 มันต้องชดใช้
บทที่ 21 มันต้องชดใช้
จิ้นเฟิงเฉินพอได้ยินอย่างนั้น คิ้วยิ่งพันกันหนักเข้าไปอีก ก้าวมาข้างหน้าแล้วพยุงเจียงสื้อสื้อที่ตัวงออยู่ขึ้นมา
เขาแสดงออกด้วยความอบอุ่น ทำเอาจิ้นเฟิงเหราที่อยู่ข้างๆ แทบจะตาบอดเลย
เจียงสื้อสื้อก็อึ้งไปเหมือนกัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะทำแบบนี้
จิ้นเฟิงเฉินสีหน้ายังคงเดิม มือข้างหนึ่งแตะอยู่ที่แขนส่วนอีกข้างก็ตบเบาๆ ที่เอวเธอ แล้วพูดว่า “จะพูดอะไรยืนพูดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องก้มหัวครับ”
เมื่อถูกเขาสัมผัสร่างกายแบบนี้ เจียงสื้อสื้อถึงกับลืมการตอบสนองไปครู่หนึ่ง รู้แค่เพียงว่าตรงจุดที่ถูกสัมผัสนั้นมันคันๆ ชาๆ ต่อมาเธอก็ถูกส่งมานั่งอยู่ที่โซฟาดังเดิม
แต่จิ้นเฟิงเฉินนั้นทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งสิ้น มานั่งอยู่ข้างๆ เธอ แล้วถามว่า “ที่เมื่อกี้เธอพูดว่าทำไม่ได้ นั่นมันหมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
เจียงสื้อสื้อได้หายตื่นเต้นในทันที แล้วตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจว่า “ฉันได้ลาออกจาก……บริษัทX.C.แล้วค่ะ?”
“ลาออก?”
จิ้นเฟิงเฉินอึ้งไปเลย รู้สึกว่าคาดคิดไม่ถึง “ทำไมมันกะทันหันแบบนี้?”
ทั้งที่วันนี้ยังดีๆ อยู่แท้ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แต่ทำไมแค่ผ่านไปครึ่งวันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
เจียงสื้อสื้อสูดหายใจเข้าลึกๆ คิดว่าตัวเองไม่ควรโกหก จึงยิ้มด้วยความขมขื่นว่า “ความจริง……มันก็ไม่ได้เป็นการลาออก แต่ฉันถูกไล่ออกค่ะ”
แววตาของจิ้นเฟิงเฉินก็ได้เปลี่ยนไป แสดงออกเลยว่าไม่ค่อยชอบใจ
ไล่ออก?
ทำไมอยู่ๆ บริษัทนั้นถึงไล่เธอออกกันนะ?
เจียงสื้อสื้อนั้นเข้าใจผิดไปคิดว่า จิ้นเฟิงเฉินกำลังโกรธที่เธอผิดคำพูด จึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที “ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ที่ฉันทำลายความเชื่อมั่นของคุณกับเสี่ยวเป่าไป ดังนั้น จะตีจะด่ายังไงก็เชิญเลยค่ะ! ฉันจะไม่ต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น!”
“ฉันไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง!”
จิ้นเฟิงเฉินเหมือนถูกหยอกให้หัวเราะ ที่มุมปากได้ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็นได้ออกมาเล็กน้อย “คุณไม่ต้องขอโทษผม ก็ได้ ผมว่าคุณเองก็คงไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ดังนั้นก็ไม่ต้องใส่ใจไปครับ……แต่ว่าของขวัญชิ้นนี้ผมไม่สามารถส่งมอบแทนคุณได้ และผมหวังว่าครั้งหน้าที่คุณพบกับเสี่ยวเป่า คุณจะเป็นคนให้เขาเองกับมือครับ”
เจียงสื้อสื้ออึ้งไป ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ฉัน……ได้เหรอคะ? คุณไม่โกรธหรือโทษฉันเหรอคะ?”
จิ้นเฟิงเฉิน
พูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างอ่อนโยน “แน่นอนว่าไม่โกรธ และผมก็คิดว่าเสี่ยวเป่าต้องดีใจมากแน่ๆ ที่ได้รับของขวัญชิ้นนี้”
พอเจียงสื้อสื้อได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มจนแก้มปริ ดวงตาเป็นประกาย เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ มันดูน่ารักจนยากที่จะละสายตาจากมันได้
จิ้นเฟิงเฉินที่จ้องมองอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา
ผ่านไปสักพัก เจียงสื้อสื้อก็ได้บอกลากลับไป
พอเธอจากไปปุ๊บ รอยยิ้มบนใบหน้าของประธานจิ้นก็ได้หายไปในทันที แทนที่ด้วยใบหน้าที่เย็นชาและมืดมน
เมื่อจิ้นเฟิงเหราเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของพี่ชาย ทำเอาเขาตกใจจนต้องกลืนน้ำลายเลย ปากที่เพิ่งจะพูดจาไพเราะเมื่อกี้ ตอนนี้มันกลับไม่น่าดูแล้ว “พี่ครับ มีอะไรค่อยๆ พูดก็ได้ อยู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยน มันทำให้ผมกลัวนะ!”
จิ้นเฟิงเฉินถลึงตาไป แล้วสั่งเขาไปว่า “ไปสืบดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“สืบเรื่องอะไรครับ?” คุณชายรองจิ้นนั้นคิดตามไม่ทัน นิ่งไปสามวิถึงคิดขึ้นมาได้ “อ๋อๆๆ ไปสืบดูว่าทำไมพี่สะใภ้ถึงโดนไล่ออกใช่ไหมครับ? หรือว่ามันมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่?”
จิ้นเฟิงเฉินพูดด้วยสายตาที่เฉยชาว่า “สืบดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
จิ้นเฟิงเหราไม่กล้าชักช้า รีบเก็บพฤติกรรมที่เอ้อระเหยเหมือนกับทุกทีเอาไว้ แล้วตอบรับคำสั่งไป “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
……
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง จิ้นเฟิงเหราก็ได้ตรวจสอบเรื่องที่เจียงสื้อสื้อถูกไล่ออกอย่างละเอียด แล้วจึงรีบกลับไปรายงานให้พี่ชายทราบ
จิ้นเฟิงเฉินฟังจบ เขาก็สีหน้าเคร่งเครียด แววตาโกรธแค้น
แต่จิ้นเฟิงเหราไม่ได้หวาดกลัว ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “พี่สะใภ้น่าสงสารจัง ที่ถูกคนใจบาปสองคนนั้นกลั่นแกล้ง พี่ห้ามปล่อยพวกมันไปเด็ดขาดเลยนะ!”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่หรี่ตาด้วยความอันตราย สายตาจ้องไปยังหน้าจอคอมที่มีคำว่าหลานซือเฉินปรากฏอยู่!
เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยตรวจสอบข้อมูลของเจียงสื้อสื้อมาก่อน จึงทำให้รู้ว่าหลานซือเฉินนั้นเป็นคนยังไง
คนๆ นี้ เป็นเหมือนอดีตของเจียงสื้อสื้อ และยังเป็นตัวแทนหัวใจของเธอ จุดอ่อนที่ไม่มีใครรู้
เมื่อก่อน จิ้นเฟิงเฉินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะขยะแขยงใครได้มากขนาดนี้
ถึงแม้ว่า……คนคนนี้ จะไร้ค่าขนาดไหนในสายตาเขาก็ตาม
จิ้นเฟิงเฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ กดความดำมืดในใจของตัวเองลงไป สายตามองขึ้นไปข้างบน แล้วเขาก็กลับมาเป็นคนที่ดูสงบและเฉลียวฉลาดดังเดิมอีกครั้ง
เขามองไปที่จิ้นเฟิงเหราแล้วพูดว่า “ในสองปีมานี้บริษัทในเครือของหลานซื่อกรุ๊ปนั้นมีแผนที่จะขยายธุรกิจของตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน การได้ร่วมมือกับบริษัทในเครือของจิ้นกรุ๊ปนั้นเป็นตัวเลือกแรกของพวกเขาเลย”
จิ้นเฟิงเหราเอามือลูบคาง เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า “พอพี่พูดแบบนี้ ผมก็นึกอะไรออก ก่อนหน้านี้มีคนฝากซ่งอี้มาบอกผมว่า คนที่ควบคุมดูแลบริษัทในเครือของกรุ๊ปนั้นอยากจะมาทำธุรกิจร่วมกับผม ตอนนั้นผมยุ่งมากจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่มาวันนี้ คนแซ่หลานคนนี้ไม่เพียงไม่ล้มเลิก เขายังใช้บริษัทX.C.เป็นแท่นเหยียบเพื่อขึ้นมาติดต่อกับบริษัทในเครือของจิ้นกรุ๊ปจนได้”
จิ้นเฟิงเฉินขำอย่างเย็นชาทำเหมือนกับไม่พอใจ “เป้าหมายไม่เล็กเลยนะ”
จิ้นเฟิงเหราตอบโต้ด้วยการยิ้ม “ใช่ไหมล่ะ? ไอ้คนแซ่หลานคนนี้ ถือว่าโชคไม่ดีเอาเสียเลย ที่กล้ามาวุ่นวายอยู่บนหัวพี่………” พูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็เป็นประกาย เหมือนนึกอะไรสนุกๆ ออก แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่ๆ พี่ ในเมื่อช่วงนี้ผมก็ว่างจะตาย หรือว่า……เรื่องนี้ให้ผมช่วยพี่จัดการดีไหมครับ?”
พอจิ้นเฟิงเฉินเห็นว่าเขาแสดงอาการแบบนี้ออกมา ก็รู้ขึ้นมาในทันทีว่าเขาคงอยากทำอะไรสนุกๆ จึงได้พูดไปแบบนิ่งๆ ว่า “ไอ้ได้มันก็ได้ แต่ต้องให้ฉันพอใจด้วย”
จิ้นเฟิงเหราจึงรีบทุบอกรับปากไปด้วยความมั่นใจ “วางใจได้เลยครับ พี่รอดูได้เลย ผมจะทำใจคนแซ่หลานต้องเสียใจไปจนวันตายผมรับปาก”
กล้ามารังแกพี่สะใภ้ของเขาในอนาคต มันต้องชดใช้
……
หลังจากนั้นหลายวัน ,เจียงสื้อสื้อก็ได้เริ่มทำการส่งประวัติของตัวเองให้บริษัทต่างๆ ไปทั่ว
ประวัติของเธอนั้นไม่ได้แย่ ผลการเรียนค่อนข้างดี เคยเป็นรองประทานนักเรียน เคยได้รับรางวัลแข่งขันการเขียนพู่กันในระดับมณฑลมาแล้ว ถือว่าเป็นนักเรียนที่มีความสามารถรอบด้านคนหนึ่ง
ว่ากันตามตรง กับคนที่มีความสามารถระดับนี้ควรจะเป็นที่น่าจับตาสำหรับบริษัทใหญ่ๆ หลายที่เลย
แต่หลายวันผ่านไป ประวัติที่เธอส่งไปทั้งหมด กลับเหมือนกับการโยนหินเข้าไปในมหาสมุทรที่มันไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมาเลย
ทำเอาเธอรู้สึกสงสัยว่าหรือตัวเองจะไม่มีความสามารถมากพอ!
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือ เจียงนวลนวล ‘น้องสาวต่างพ่อ (ลูกพ่อเลี้ยง) ’ ของเธอ ได้แอบไปเก็บใบประวัติที่เธอส่งไปมาหมดแล้ว
ตอนนี้ ที่บ้านเจียง
เจียงนวลนวลนั่งอยู่ที่ลานหน้าบ้าน กำลังเอาใบประวัติของเจียงสื้อสื้อโยนลงไปในเตาไฟทีละแผ่นทีละแผ่น
กองไฟกำลังลุกโชน ไม่นานกระดาษทั้งหมดก็ถูกเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้า
เจียงนวลนวลแววตาดูมีความสุข มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา แล้วพูดว่า “เจียงสื้อสื้อ แกตบฉันสองที แกจะต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า! นี่……มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น!”