ตอนที่ 450 แอบเข้าไปอย่างเปิดเผย
……….
รู้จัก ‘หอพัก’ จริงๆ ด้วย…จินนาไม่ปิดบังความอยากรู้อยากเห็นเจือกังวลของตน
“สิ่งมีชีวิตประหลาดแบบใด? มันพูดว่าอะไร?”
อิมเรหันไปมองวาเลนไทน์ก่อนจะกล่าว
“ในสถานการณ์ปกติ เราจะมองไม่เห็นมันด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยร่องรอยบางอย่างเพื่อระบุการมีอยู่ของมัน แล้วค่อยตรวจสอบว่ามันวนเวียนอยู่รอบตัวคุณหรือไม่”
วาเลนไทน์อธิบายอย่างกระตือรือร้น
“ตามความเข้าใจของผม มันอยู่ระหว่างโลกวิญญาณกับโลกความจริง ทั้งสัมผัสไม่ได้และยากที่จะตรวจพบด้วย ‘เนตรวิญญาณ’ ถือเป็นสถานะที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง”
“ผมคิดว่าไม่ใช่แค่นั้น ตามบันทึกจากเอกสาร บางอย่างในตัวมันมีลักษณะเป็นนามธรรมหรือแนวคิด สรุปคือ เว้นแต่มันจะยินยอม หรือเป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อน คุณจึงจะมองเห็นหรือ ‘ตระหนักถึง’ รูปร่างของมันได้” อิมเรแก้ไขคำอธิบายของวาเลนไทน์
นี่มัน…คล้ายกับศพของบูวาร์ที่ถูกปนเปื้อน แต่ศพของบูวาร์ยังไม่ถึงระดับนั้น ขอแค่สภาพแวดล้อมมืดพอ ก็ยังมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า อา…ตามที่ชาร์ลบอก นอกเหนือจากผู้วิเศษส่วนน้อยในบางเส้นทางและต้องมีลำดับสูง คงยากที่จะมีใครสัมผัสมันได้โดยตรง หรือจัดการกับมัน…จินนาเชื่อมโยงความคิด และยิ่งเชื่อมั่นว่า ‘หอพัก’ ที่พวกวาเลนไทน์เข้าใจ คือหอพักเดียวกับที่ตนเข้าใจ เว้นเสียแต่ว่า ‘หอพัก’ ดังกล่าวจะมีมากกว่าหนึ่งแห่ง
อิมเรผู้ชอบติดเทปกาวสีเนื้อตรงสันจมูก เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ
“หากสิ่งมีชีวิตประหลาดนั่นไม่ลงมือโจมตีเพื่อนร่วมงานของเรา เกรงว่าคงไม่มีวันหามันพบ”
“ทางเราได้รับข้อมูลจากมันมาบ้าง หนึ่งในนั้นกล่าวถึง ‘หอพัก’”
“มันพูดว่าอะไรบ้าง?” จินนาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
บางที นี่อาจเป็นทิศทางในการสืบสวนในอนาคต!
วาเลนไทน์ขมวดคิ้วชนกัน
“มันแค่บอกว่า ตัวเองมาจาก ‘หอพัก’ ซึ่งเป็นบ้านของพวกมันในโลกนี้”
“ยังมีข้อมูลอื่นอีกไหม? ไม่งั้นฉันก็จนปัญญาจะช่วยพวกคุณรวบรวมข้อมูล ไม่รู้ด้วยว่าต้องระวังใครบ้าง” จินนามิได้ใช้พลัง ‘กระตุ้น’ แต่คำพูดคำจาคล้ายการกระตุ้น
อิมเรลังเลใจสักครู่
“สิ่งอื่นๆ ที่มันพูด ไม่เหมาะจะเล่าให้คุณฟัง”
“อา…มันเรียกตัวเองว่า ‘ภูต’”
ภูต…ภูตที่สัมผัสไม่ได้…เป็นชื่อของสักลำดับบนเส้นทางพรที่สอดคล้องกันหรือ? จินนาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เงียบไปสักพัก วาเลนไทน์กล่าว
“เพื่อนร่วมงานของเรา พบสิ่งมีชีวิตประหลาดนั่นในสตูดิโอวาดภาพของจิตรกรคนหนึ่ง”
“ซึ่งจิตรกรคนนั้นเคยเข้ารับการบำบัดจิต เขามักอ้างว่าทุกคืนตนจะท่องเที่ยวในร่างวิญญาณ เข้าสู่มิติแปลกประหลาดที่ไม่ใช่ความจริงหรือโลกวิญญาณ ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตไร้รูปร่าง วิญญาณพิสดาร และวิญญาณมารที่พยายามใช้มิติดังกล่าวบุกรุกโลกความจริง เพื่อปกป้องความสงบสุขของย่านใกล้เคียง”
“ด้วยคำพูดเหล่านี้ เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชอยู่พักหนึ่ง ต้องกินยาต่อเนื่อง แต่จากการสืบสวนของเพื่อนร่วมงานเรา สิ่งที่เขาพูดมีเค้าลางว่าอาจเป็นความจริง”
“ฟังดูเหมือนถูกเทพมารปนเปื้อน…แต่ทำไมเขาถึงเตร็ดเตร่ในร่างวิญญาณแล้วคอยปกป้องละแวกนั้นล่ะ?” จินนามิได้เอ่ยถึงคำว่าผู้รับพร
อิมเรหัวเราะแห้งๆ อย่างไร้อารมณ์
“อำนาจของเทพมารไม่จำเป็นต้องชั่วร้ายเสมอไป เพียงแต่พระองค์มักจะนำพาหายนะมาให้ หรือทำให้ผู้รับพรเกิดอาการจิตหลอน บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป คุณยอมรับได้ไหมหากตัวคุณไม่ใช่ตัวคุณอีกต่อไป?”
จินนาตั้งใจจะใช้ความเงียบเป็นคำตอบตามความเคยชิน แต่พอนึกได้ว่าตรงหน้าคือ ‘ผู้ชำระ’ สองคน จึงส่ายหน้าเบาๆ แทน
น้ำเสียงของวาเลนไทน์ยังคงกระตือรือร้นเช่นเดิม
“ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง ก็หวังว่าคุณจะช่วยสังเกตจิตรกร นักเขียน หรือคนที่มีงานอดิเรกเกี่ยวกับการวาดรูป อ่านเรื่อง เล่าเรื่อง หากพบใครมีพฤติกรรมหรือคำพูดผิดปกติ รีบรายงานให้พวกเราทราบทันที”
“ใช่ ผลงานของจิตรกรบางคนยังอาจมีพลังเหนือธรรมชาติแฝงอยู่ นี่ก็เป็นอีกเบาะแสหนึ่ง” อิมเรเสริม
“ได้ค่ะ” จินนาพยักหน้าหนักแน่น
ลูเมี่ยนซึ่งรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งพบว่า แม้ตนกับพวกพ้องจะมีข้อมูลของเส้นทางที่เกี่ยวกับ ‘หอพัก’ อยู่บ้าง แต่การสืบสวนก็ไม่ได้คืบหน้าเท่าที่ควร ยังคงไม่ทราบว่า ‘หอพัก’ ตั้งอยู่ที่ใด หรือสาวกเทพมารที่มุ่งหน้าไปกบดาน กำลังวางแผนร้ายใดอยู่
เด็กหนุ่มจึงต้องหันเหความสนใจไปหาภรรยาหม้ายของนายพลฟิลิป กับองค์กรการกุศลที่ชื่อ ‘นักล่าฝัน’
ยามดึก เขต 3 หรือที่รู้จักในนาม ‘เขตบริหาร’ ถนนลีโว บ้านเลขที่ 9
ลักษณะเป็นอาคารสามชั้นสีขาวครีม ถูกล้อมรอบด้วยสวน สนามหญ้า โรงม้า น้ำพุ และรูปปั้นเรียงราย
“เดิมทีผมคิดจะหาโอกาสขอให้คุณช่วย ใช้หนังหมาปลุกเสกแฝงตัวเข้าไปสืบค้นที่นี่สักหน่อย” อ็องโตนี·รีด เจ้าของทรงผมสั้นเกรียน เหลือบมองลูเมี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“สถานการณ์ตอนนี้คือ พวกผู้วิเศษทางการไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้แล้ว”
เขาพูดไปพลาง เดินข้ามถนนไปพลาง มุ่งหน้าสู่ตึกสีขาวครีมที่ผนังด้านนอกตกแต่งด้วยรูปปั้นหลายจุด
ทั้งสองอ้อมไปด้านข้างสวน มองดูสองคนรับใช้ชายเดินผ่านหน้าไป แล้วอ้อมไปทางหน้าบ้าน
ลูเมี่ยนกระโดดพรวดเดียว มือกดผนังเหล็กทาสีขาวที่เป็นรั้ว ร่างกายเหยียดยืดคล่องแคล่ว ในที่สุดก็กระโดดข้ามไปอย่างไร้เสียง
อ็องโตนี·รีดเป็นทหารผ่านศึกที่เคยรบจริง อีกทั้งยังคงรักษาวินัยการออกกำลังกายอยู่เสมอ ถึงแม้ลำดับ 9 ถึง 7 ของเส้นทาง ‘ผู้ชม’ จะไม่ช่วยยกระดับการต่อสู้มากนัก อย่างมากก็พัฒนาสมรรถภาพร่างกายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปีนข้ามรั้วเข้าไปในสวน
ลูเมี่ยนไม่พยายามหลบซ่อนเลย เพียงถือหมวกทรงสูงในมือหนึ่ง อีกมือล้วงกระเป๋า เดินออกจากสวนเข้าใกล้ตัวคฤหาสน์
เด็กหนุ่มหยุดเป็นระยะ คอยหลบสายตาที่มองออกจากหน้าต่างอย่างพอดิบพอดี รวมถึงหลบพวกสาวใช้ที่รีบร้อนเดินกลับเข้าห้อง
ในไม่ช้า ทั้งสองมาถึงประตูด้านข้าง
สุนัขตัวใหญ่คล้ายหมาป่าที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ หลับปุ๋ยไปแล้ว
อ็องโตนี·รีดเดาได้ว่า คงเป็นฝีมือของสองนางมารที่ปัจจุบันกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่ง เพียงแต่ไม่ค่อยเข้าใจว่า ในเมื่อทำแบบนี้ได้ เหตุใดตนกับชาร์ลถึงยังต้องลับๆ ล่อๆ?
ดูเหมือนลูเมี่ยนจะอ่านความคิดของ ‘นักจิตบำบัด’ ผู้นี้ออก จึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
อีกอย่าง ‘สมาคมเสียวซ่าน’ ก็ถูกนิกายนางมารกวาดล้างไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงสมาชิกหลักสองคนกับไมป์·ไมเออร์ที่กำลังซ่อนตัวในเขตตลาด ลูเมี่ยนกับฟรังก้าจึงไม่มีช่องทางหา ‘สินค้า’ เพิ่มเติม แต่แน่นอน นิกายนางมารคงกอบโกยพวกยาต่างๆ ไปได้มาก หลังจากฟรังก้าผ่านบททดสอบ เธอคงมีโอกาสฉกฉวยจากพวกนางมารไม่มากก็น้อย
ลูเมี่ยนก้าวข้ามสุนัขตัวใหญ่ที่นอนหมดสติ หยิบลวดออกมาหนึ่งเส้น ไขเปิดประตูด้านข้างอย่างคล่องแคล่ว
ตอนนี้ไฟในบ้านดับเกือบทุกดวง ทางเดินมืดสนิท
ลูเมี่ยนสอดมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างถือหมวกทรงสูง เดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่ชั้นบน แสดงตัวอย่างเปิดเผยประหนึ่งกลับบ้านตัวเอง
ครั้งก่อนเขาซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง สั่งการให้เพื่อนร่วมทีมวางกับดัก แต่หนนี้ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อดึงดูดปัญหาที่อาจซุกซ่อนอยู่? ลงมือต่างกัน วิธีสวมบทบาทเป็น ‘นักวางแผน’ ก็ต่างกัน? อ็องโตนี·รีดทำความเข้าใจขณะเดินตามหลังเยื้องๆ กับลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนมาถึงหน้าห้องนอนใหญ่ชั้นสาม โดยระหว่างทางมีอ้อมไปบ้าง เพื่อปีนขึ้นมาจากระเบียงชั้นสอง หลบเลี่ยงบอดี้การ์ดตรงบันได
จดจ้องประตูห้องสีแดงเข้ม เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“หลังจากนายพลฟิลิปเสียชีวิต ภรรยาม่ายของเขาก็ไม่ได้รับการคุ้มครองจากผู้วิเศษแล้วหรือ?”
“พวกบอดี้การ์ดที่เธอจ้างเอง ทำได้แค่ขู่ไล่พวกหัวขโมยกับโจรกระจอกเท่านั้นแหละ”
“มีผู้วิเศษอยู่ แต่ผู้วิเศษที่รับงานบอดี้การ์ดไม่เพียงค่าตัวแพง แต่ยังเอาแต่ใจ ไม่ชอบอยู่เวรกลางคืน” อ็องโตนี·รีดเล่าข้อมูลที่สังเกตมาได้ “หลังจากนี้เราต้องลดเสียงลงหน่อย”
“เวลาแบบนี้แหละที่จะเห็นข้อดีของ ‘ผู้ไร้หลับ’” ลูเมี่ยนตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ พลางใช้ลวดเส้นเดิมไขประตูห้องนอนใหญ่
‘ผู้ไร้หลับ’ คือลำดับ 9 ของเส้นทางรัตติกาล โด่งดังเรื่องการนอนน้อยแต่มีพลังงานเหลือเฟือ
อ็องโตนี·รีดตามลูเมี่ยนเข้าไปในห้อง ปิดประตูไม้ลงด้วยมืออีกข้าง
จากนั้น ลูเมี่ยนสวมหมวกทรงสูงสีดำ แล้วเปิดไฟตะเกียงติดผนังทันที
ท่ามกลางแสงสีเหลืองอมส้ม ทั้งสองเห็นสตรีผู้หนึ่งนอนห่มผ้าไหมอยู่บนเตียง
อีกฝ่ายงัวเงียลืมตาตื่น อายุราวสี่สิบกว่า ผมดำเป็นลอน ใบหน้ามีร่องรอยของวัยวุฒิ แต่สภาพผิวยังดูดีมาก
ในดวงตาสีอำพันของเธอ แรกเริ่มสะท้อนแสงสีเหลือง ต่อมาเห็นภาพใบหน้าของลูเมี่ยนที่ถูกแปลงโฉมด้วย ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ กับหมวกทรงสูงสีดำ
ขณะเธอเตรียมจะอ้าปากเปล่งเสียง ก็ถูกปากกระบอกปืนเย็นเฉียบจ่อใส่ริมฝีปากสีแดง
“ไม่ต้องเกร็ง พวกเราแค่อยากได้เงินเล็กๆ น้อยๆ พร้อมถามอะไรสักสองสามเรื่อง ถ้าคุณยอมให้ความร่วมมือ ผมรับประกันความปลอดภัย” ลูเมี่ยนกล่าวยิ้มๆ
ในสถานการณ์ที่ถูกบุกรุกบ้านยามวิกาล ซ้ำยังถูกปืนจ่อ แอนนิส ภรรยาหม้ายของนายพลฟิลิป ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย รีบพยักหน้าระรัว แสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ
“มองตาของผม ผมไม่อยากให้คำตอบหลังจากนี้ของคุณ ถูกพิสูจน์ว่าเป็นคำโกหก” อ็องโตนี·รีดจุดบุหรี่มวนหนึ่ง แล้วใส่ปากอมไว้
แอนนิสมองไปยังทหารผ่านศึกผู้นี้โดยสัญชาตญาณ พยายามส่งสายตาแสดงความจริงใจ
ทันใดนั้นเธอก็พบว่า ดวงตาของโจรคนดังกล่าวมีสีน้ำตาลลึกล้ำ ใสกระจ่างผิดวิสัย ประหนึ่งเธอสามารถมองผ่านดวงตาคู่นี้เข้าไป เห็นถึงส่วนลึกในจิตใจ อีกทั้ง ปลายบุหรี่ที่อีกฝ่ายอมอยู่ก็กำลังคุกรุ่น เปลวไฟลุกไหม้เงียบงัน ส่ายซ้ายทีขวาที
จุดสีแดงส่ายไปส่ายมา…
ผ่านไปไม่นาน ท่ามกลางกลิ่นบุหรี่ลอยคลุ้ง อ็องโตนี·รีด ผู้ใช้ท่าทาง คำพูด และสื่อกลางทำให้แอนนิสเข้าสู่ภาวะกึ่งถูกสะกดจิต เริ่มสื่อสารโดยตรงกับกายปัญญาของหญิงหม้ายผู้นี้
“ทำไมคุณถึงบริจาคทรัพย์สินจำนวนมากให้กับองค์กรการกุศล ‘นักล่าฝัน’”
กายปัญญาของแอนนิสตอบกลับอย่างไม่ปิดบัง
“มันเป็นข้อกำหนดในพินัยกรรมของฟิลิป ถ้าฉันไม่บริจาคทรัพย์สินสองในสามให้กับองค์กรการกุศลนั้น ฉันกับลูกๆ จะไม่มีสิทธิ์รับมรดกแม้แต่หนึ่งในสามที่เหลือ”
องค์กร ‘นักล่าฝัน’ มีปัญหาจริงๆ …รวมถึงนายพลฟิลิปด้วย…ลูเมี่ยนเชื่อว่านายพลฟิลิปไม่ใช่คนใจบุญสุนทานขนาดนั้น
พิจารณาจากการที่แอนนิสยังคงใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยเข้าใจปัญหาที่นายพลฟิลิปอาจมี อ็องโตนี·รีดจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ฟิลิปยังคงศรัทธาใน ‘สุริยันเจิดจรัส’ อย่างเคร่งครัดอยู่หรือไม่”
‘นักจิตบำบัด’ ผู้นี้มองว่า ในฐานะสามีภรรยาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน นายพลอาจปิดบังปัญหาอื่นๆ จากแอนนิสได้ แต่การเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดชีวิตประจำวันนั้น ไม่มีทางปิดบังกันได้แน่
แอนนิสตอบด้วยดวงตาว่างเปล่า
“เขาไม่ได้สวดมนต์อย่างจดจ่อมานานแล้ว ทุกครั้งที่สรรเสริญสุริยันก็ทำแบบขอไปที”
“เคยมีครั้งหนึ่ง ฉันบังเอิญได้ยินเขากระซิบในทางเดินว่า”
“ขอเทพธิดาทรงคุ้มครอง”
……………………………………………………..
ตอนที่ 451 โชคชะตากลั่นแกล้ง
……….
ขอเทพธิดาทรงคุ้มครอง…นี่คือการสรรเสริญเทพธิดารัตติกาล หรือเทพมารสักองค์กันแน่…ดูจากสภาพ คงจะเป็นเทพมารมากกว่า…ลูเมี่ยนฟังคำตอบของแอนนิสแล้วประเมินเบื้องต้นในใจ
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มถอนหายใจเงียบงัน
“ไม่แปลกใจเลยที่พวกสาวกเทพมารมักชอบชักจูงพ่อแม่ คู่สมรส และลูกๆ ให้ศรัทธาในสิ่งเดียวกัน ไม่งั้นต่อให้ระวังตัวแจ แต่รายละเอียดต่างๆ ก็ยากที่จะปิดบังคนในครอบครัว ซึ่งตัวติดกันทั้งกลางวันกลางคืน…”
อ็องโตนี·รีดถือบุหรี่ที่ค่อยๆ เผาไหม้ในมือ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม
“ฟิลิปตายยังไงกันแน่”
ข่าวกรองที่เขารวบรวมได้ล้วนบ่งชี้ว่า นายพลฟิลิปเสียชีวิตด้วยอาการป่วยกะทันหัน แต่นั่นก็แค่เปลือกนอก ความจริงเป็นเช่นไรนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นปริศนา
แอนนิสตอบด้วยน้ำเสียงล่องลอย
“เขาเจ็บหน้าอกตอนกลางดึก ยังไม่ทันได้ส่งตัวไปโรงพยาบาลก็สิ้นใจแล้ว”
อ็องโตนี·รีดถามต่ออย่างใจเย็น
“ศพของเขาอยู่ที่ไหน?”
“ผ่านพิธีชำระล้าง เผาเป็นเถ้ากระดูก แล้วส่งไปยังสุสานประจำตระกูลในเขตเอราโต” สิ่งที่แอนนิสพูดมา ล้วนเป็นข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะ
ลูเมี่ยนหันไปมองอ็องโตนี·รีด
“ถามเธอว่าตะกอนพลังอยู่ไหน”
เด็กหนุ่มค่อนข้างปักใจเชื่อว่าฟิลิปเป็นผู้วิเศษ อย่างไรเสีย เขาสามารถไต่เต้าในกองทัพจนได้เป็นถึงนายพล ซ้ำยังมีรากเหง้าจากตระกูลขุนนางดั้งเดิม มีโอกาสน้อยมากที่จะไม่ใช่ผู้วิเศษ
เมื่อ ‘นักจิตบำบัด’ ถามเสร็จ แอนนิสก็ตอบอย่างสับสน
“ตะกอนพลังคืออะไร?”
อ็องโตนี·รีดวิเคราะห์จิตใจและความรู้ของอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนวิธีถาม
“สิ่งที่แยกออกจากร่างกายของฟิลิปถูกนำไปไว้ที่ไหน? หรือมีของแปลกๆ อยู่บนตัวหรือรอบตัวเขาบ้างไหม แล้วมันหายไปไหน?”
แอนนิสระลึกความจำแล้วจึงเล่า
“ขณะรอให้คนใช้มาแบกเขาลงบันไดไปขึ้นรถม้า เขาฝืนกำชับกับฉันอย่างยากลำบาก ว่าหากเขาตายไป ไม่ต้องตกใจหากมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย ให้เก็บของที่โผล่ออกมาเอาไว้ให้ลูกๆ”
“หลังจากนั้น ระหว่างพิธีศพ ทุกอย่างวุ่นวายมาก ฉันก็เสียใจมากด้วย ของนั่นก็หายไป หาไม่เจออีกเลย…”
หาไม่เจอ…ลูเมี่ยนสงสัยมาสักพักแล้วว่า นายพลฟิลิปแกล้งตาย ตอนนี้ปักใจเชื่อกว่าเดิม
เด็กหนุ่มมองว่าตะกอนพลังของฟิลิปไม่ได้ถูกสกัดออกมาจริง สิ่งที่แอนนิสเห็นและเก็บไว้นั้น คือภาพลวงตาที่สร้างจากพลังหรือพิธีกรรมบางชนิด ในภายหลังจึงหายไปเองตามธรรมชาติ
อ็องโตนี·รีด ผู้เคยหารือเรื่องนี้กับลูเมี่ยนหลายครั้ง ก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน จึงถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยไม่ทำให้จิตใจกระทบกระเทือน
“ของนั่นหน้าตาเป็นยังไง”
กายปัญญาของแอนนิสเอ่ยปากตอบ
“มันคือกำปั้นของเขา ไร้ผิวหนัง ข้อต่อคล้ายโลหะสีดำ คมมาก ตัดพนักพิงเก้าอี้ขาดได้ง่ายๆ …”
ตะกอนพลังผสานเข้ากับอวัยวะ จนกลายเป็นวัตถุดิบหลักของโอสถ…ลูเมี่ยนค่อนข้างชำนาญในเรื่องนี้
อ็องโตนี·รีดถามไปอีกสักพัก ยืนยันว่าแอนนิสรู้ไม่มาก แม้กระทั่งไม่แน่ใจว่านายพลฟิลิปเดิมอยู่เส้นทางไหน ลำดับเท่าไร
เมื่อเป็นแบบนั้น ลูเมี่ยนเดินวนไปรอบๆ ห้องนอนใหญ่ สายตาตรึงอยู่กับกรอบรูปใบหนึ่งบนโต๊ะ
ในกรอบรูปเป็นภาพถ่ายครอบครัวของฟิลิป โดยมิได้ใช้เทคนิคถ่ายภาพสีซึ่งเพิ่งถูกคิดค้นในช่วงไม่กี่ปีหลัง
ในรูปหมู่ นายพลฟิลิปสวมชุดทหารเต็มยศ ติดเหรียญตรามากมาย มิได้ตัวสูงจนโดดเด่น ดูจากสิ่งรอบข้าง คงราวๆ หนึ่งเมตรเจ็ดกว่า
ผมดกหนา ยาวหยักศกเล็กน้อย ดวงตาไม่ใหญ่ แต่คมวาวราวกับเหยี่ยวจ้องเหยื่อ หนวดเครารอบปากเล็มเรียบร้อย กระทั่งตรงปลายยังทาขี้ผึ้ง สันจมูกค่อนข้างมีเอกลักษณ์ เหมือนถูกทุบหักแล้วยังไม่หายดี ทำให้โก่งขึ้นตรงกลาง
ลูเมี่ยนพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จดจำหน้าตาและจุดเด่นของฟิลิปไว้ในใจ
หากชายคนนี้แกล้งตายจริง เพื่อหลีกหนีจากโชคชะตาเดิม ตามที่มาดามจัสติสกล่าวไว้ ศาสตร์นี้ควรเกี่ยวพันเพียง ‘การสูญเสียชะตาชีวิตเก่า’ และ ‘ได้รับชีวิตใหม่’ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก
กล่าวคือ ตอนนี้อีกฝ่ายคงเป็นคนแปลกหน้าที่มีรูปโฉมเหมือนนายพลฟิลิปทุกกระเบียดนิ้ว หากได้พบกันภายหลัง ลูเมี่ยนหวังว่าตนจะจำได้แม่นยำตั้งแต่แรกเห็น
“ไปกันเถอะ” อ็องโตนี·รีดจบการ ‘อ่านใจ’ พลางบอกลูเมี่ยนด้วยเสียงผิดหวังเล็กๆ
ลูเมี่ยนมิได้หดหู่ที่คว้าน้ำเหลว เพียงพยักหน้าเบาๆ
“ไปองค์กรการกุศลกันเถอะ”
องค์กรการกุศลที่ชื่อ ‘นักล่าฝัน’ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถ ผู้เหยียบย่างเข้าสู่กรุงทรีอาร์เพื่อไล่ตามความฝันแต่ประสบอุปสรรคชั่วคราว ด้วยเหตุนี้ พนักงานขององค์กรจึงเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ทางมูลนิธิได้จัดหาห้องพักให้พวกเขาได้อยู่ฟรี
ห้องพักดังกล่าวอยู่ในตึกที่องค์กร ‘นักล่าฝัน’ เช่าไว้ สองชั้นล่างเป็นสำนักงาน ส่วนสองชั้นบนเป็นหอพักพนักงาน
โอซา ผู้คอยบริหารจัดการองค์กรการกุศลนี้ก็พักอาศัยอยู่ที่นั่น เพื่อแสดงออกว่าตนช่วยเหลือเหล่านักล่าฝันอย่างจริงใจ มิได้ฉวยโอกาสหาเงินเข้ากระเป๋า
หลังออกจากถนนลีโว พวกลูเมี่ยนมุ่งหน้าไปยังเขต 2 หรือที่เรียกว่าเขตศิลปะ เขตการเงิน
เขต 2 อยู่ใกล้กับเขต 3 ซึ่งเป็นตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขา ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงบริเวณที่ไม่ไกลจากถนนนักบุญวาโร
องค์กรการกุศล ‘นักล่าฝัน’ ตั้งอยู่ในอาคารเลขที่ 11 บนถนนดังกล่าว
เพิ่งลงจากรถม้า ยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ถนนจุดหมาย ลูเมี่ยนกับอ็องโตนี·รีดก็เห็นแสงเพลิงสีแดงฉาน ลุกโชนขึ้นกลางความมืด
เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างร้อนแรง เปลี่ยนให้อาคารหลังหนึ่งกลายเป็นคบเพลิงยักษ์ยามราตรี
ดวงตาของลูเมี่ยนฉายแววเคร่งเครียด ลางร้ายผุดขึ้นในใจ
เด็กหนุ่มสบตากับอ็องโตนี·รีดครู่หนึ่ง แล้ววิ่งสู่ถนนนักบุญวาโรอย่างบ้าคลั่ง
ตึกๆ ตึกๆ ทั้งสองวิ่งผ่านตรอกที่มีเครื่องกีดขวาง ก่อนจะพบว่าตึกที่กลายเป็นนรกเพลิง คืออาคารเลขที่ 11 — สำนักงานและหอพักพนักงานขององค์กรการกุศล ‘นักล่าฝัน’!
เปลวไฟส่งเสียงดังแตกปะทุไม่หยุด พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า ปิดล้อมตึกสี่ชั้นไว้ทุกด้านอย่างสมบูรณ์ ผนังไหม้เป็นสีดำ หน้าต่างแต่ละบานปราศจากคนร้องขอความช่วยเหลือหรือพยายามกระโดดหนี ภายในเงียบสงัดราวกับทุกคนสิ้นใจไปแล้ว
ผู้อยู่อาศัยบนถนนสายนี้ตื่นจากภวังค์นิทรา บ้างรีบหนีไป บ้างอยากช่วยนักดับเพลิง บ้างก็ยืนมุงดูเหตุการณ์จากไกลๆ
“พวกเรามาช้าไป…” อ็องโตนี·รีดมองตึกที่ถูกไฟไหม้ พลางพึมพำขณะถอนหายใจ
ลูเมี่ยนจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่หรอก”
“อาจเพียงเพราะว่าโชคชะตาไม่ต้องการให้พวกเราได้อะไรกลับไป ต่อให้มาเร็วกว่านี้ ก็คงเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันอยู่ดี”
การสืบสาวแผนชั่วที่สาวกเทพมารจำนวนมากร่วมกันสุมหัว ย่อมต้องพานพบอุปสรรคนานาชนิดโดยปริยาย ทั้งทางตรง ทั้งทางอ้อม ทั้งดูปกติ ทั้งประหลาดพิสดาร รวมถึงเรื่องไม่คาดฝันประหนึ่งโชคชะตาไม่เข้าข้าง
ลูเมี่ยนเว้นวรรคครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
“อย่างน้อยก็แสดงว่าพวกเรามาถูกทางแล้ว”
อ็องโตนี·รีดนิ่งเงียบไปสองสามวินาที
“นี่คือหลักฐานโดยอ้อมว่า นายพลฟิลิปมีส่วนพัวพันกับนิกายเทพมาร สิ่งที่ผมกับเพื่อนร่วมทัพต้องประสบ คงมีต้นตอจากเรื่องนี้…”
ยิ่งพูด เสียงเขายิ่งเบาลง
ลูเมี่ยนยืนอยู่ห่างจากตึกที่กำลังลุกไหม้ราวสิบกว่าเมตร ใบหน้าสะท้อนแสงเพลิง มองตรงไปข้างหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“คุณยังอยากสืบต่อไหม”
“เรื่องนี้ยิ่งนับวันยิ่งอันตราย น่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่พวกคุณถูกโจมตีในคืนเสียงปืนดังระงมหลายสิบเท่า”
“จนถึงวันนี้ คุณก็ยังหวาดกลัวภาพในคืนดังกล่าว หวาดกลัวเสียงปืนที่ดังส่งเดช แล้วคุณยังกล้า ยังมุ่งมั่นที่จะสืบหาความจริงต่อไปอีกหรือ?”
อ็องโตนี·รีดเงียบลงทันใด ชายวัยกลางคนผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมิได้เอ่ยวาจาอยู่นาน
ฉากตรงหน้าเขาคือตึกที่ถูกเปลวเพลิงสีแดงฉานกลืนกิน เหล่านักดับเพลิงในชุดเครื่องแบบสีแดงน้ำเงินสวมหน้ากาก และฝูงชนที่สับสนอลหม่าน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ‘นักจิตบำบัด’ ผู้มีไรผมถอยร่นไปไม่น้อย เจ้าของใบหน้าอวบอิ่ม ได้เอ่ยปากเสียงแผ่ว
“บางที ผมคงตายไปแล้วในการโจมตีครั้งนั้น ส่วนคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ เป็นเพียงวิญญาณมารที่ตามล่าความจริงและพยายามแก้แค้น”
“ผมถูกทำลายได้ แต่ผมทิ้งมันไปไม่ได้ นับตั้งแต่ที่คุณบอกผมเมื่อคราวก่อนว่ายังมีเบาะแส ยังมีความหวัง ผมก็คิดแบบนี้มาตลอด”
ลูเมี่ยนหัวเราะ เอียงศีรษะมองอ็องโตนี
“ยินดีต้อนรับสู่นรกแห่งการแก้แค้น”
…………
หลังกลับถึงเขตตลาด ลูเมี่ยนรีบเขียนจดหมายเล่ารายละเอียดการกระทำ รวมถึงผลลัพธ์สุดท้ายในค่ำคืนนี้ ให้มาดามเมจิกเชี่ยนทราบทันที
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตอนนี้ เรื่องราวมันเกินกว่าที่พวกตนไม่กี่คนจะรับมือไหวตามลำพัง ไม่ว่าจะได้เบาะแสอะไรมา ท้ายที่สุดก็จะพบว่ามันถูกตัดตอน ราวกับโชคชะตาลิขิตเอาไว้เช่นนั้น
สิ่งนี้ทำให้ลูเมี่ยนไม่กล้าสืบต่อ ด้วยเกรงว่าความเคลื่อนไหวของพวกตน อาจไปทำลายความหวังอันน้อยนิดของเบื้องบน
รอไม่นาน ผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ ก็นำกระดาษที่พับเรียบร้อยมาส่ง
“ทุกโชคชะตากำลังถักสาน ประกอบกันเป็นละครเรื่องหนึ่ง”
“หลังจากนี้ถ้ามีเบาะแสสำคัญ ให้รีบบอกฉันก่อน ส่วนที่ไม่ค่อยสำคัญนัก ไปสืบคนเดียวเถอะ เทอร์มีโพลอสถูกผนึกในตัวเธอ เป็นหินหนักที่สร้างระลอกในสายธารโชคชะตาได้ จะไม่ถูกกระทบกระเทือนง่ายๆ หรอก แต่คนอื่นไม่ได้เป็นแบบนั้น”
“อีกอย่าง พวกเราจะลองทำอย่างอื่นดูด้วย”
ลองทำอย่างอื่น…ลูเมี่ยนรู้สึกว่าชุมนุมทาโรต์คงแอบลงมืออย่างลับๆ แต่สุดท้ายก็พบทางตันเหมือนกับพวกตน
คำนึงจากพลังของชุมนุมทาโรต์ เด็กหนุ่มสงสัยว่าเรื่องนี้อาจถูกแทรกแซงโดยเทวทูตหรือแม้กระทั่งเทพมารโดยตรง
เผากระดาษในมือจนหมด ลูเมี่ยนนอนลงบนเตียง ปล่อยร่างกายให้ง่วงจนเคลิ้ม พลางครุ่นคิดว่ายังสืบสวนไปในทิศทางใดได้อีก
“เกี่ยวกับ ‘หอพัก’ กลุ่มที่มีโอกาสเกิดปัญหาสูงคือ จิตรกร นักเขียนนวนิยาย และพวกหนอนหนังสือ…”
ในชั่วพริบตาที่ความคิดแล่นผ่าน ลูเมี่ยนนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา
นั่นคือกาเบรียล นักเขียนบทละครที่เคยพักในโรงแรมระกาทอง
ชายคนนี้ย้ายไปอยู่ถนนนักบุญมิเชลในเขต 2 โดยเป็นละแวกที่เต็มไปด้วยจิตรกรกับนักเขียน เป็นแหล่งศิลปะที่เหมาะสำหรับการแลกเปลี่ยนไอเดียสร้างสรรค์
“ตอนนี้มิสเตอร์ K กับผู้วิเศษทางการเพิ่งเริ่มคัดกรองจิตรกรและนักเขียนค่อนข้างดังเท่านั้น พวกที่วาดภาพกับเขียนหนังสือเป็นงานอดิเรก แถมยังไม่ได้ใช้มันหาเลี้ยงชีพ ถือว่ามีเยอะเกินไป แทบไม่มีทางไล่สืบทีละคนจนครบในเวลาอันสั้น…คนหนุ่มสาวมากพรสวรรค์ที่ย่างกรายเข้าสู่กรุงทรีอาร์เพื่อล่าฝันจำนวนไม่น้อย ก็เป็นพวกทำงานด้านศิลปะ…แม้แต่เอกสารขององค์กรการกุศล ‘นักล่าฝัน’ ก็ยังถูกเผาทิ้งหมด…”
ลูเมี่ยนคิดไวทำไว วางแผนไปเยี่ยมกาเบรียลในช่วงเช้า ถามเขาว่าเคยเจอนักเขียนหรือจิตรกรที่ยังไม่ดังแต่ทำตัวแปลกๆ บ้างไหม หรือเคยได้ยินมุมมองประหลาดๆ จากคนกลุ่มนี้บ้างหรือไม่
……………………………………………………..
MANGA DISCUSSION