ประธานโฮโคบารุก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับไมโครโฟน[ ยินดีต้อนรับทุกคนสู่โรงเรียนมัธยมปลายซึวะบุกิค่ะ ]น้ำเสียงที่ทรงพลังทำให้บรรยากาศในโรงยิมเปลี่ยนไปในทันทีนักเรียนมัธยมต้นทุกคนที่กำลังส่งเสียงคุยกันอยู่เงียบลงทันที ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืดหลังตรงเช่นกันหลังจากมองไปที่ผู้เยี่ยมชมที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านล่างเวที ประธานโฮโคบารุก็เริ่มพูดด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น[ ฉันคิดว่านักเรียนหลายคนได้ตัดสินใจเลือกโรงเรียนซึวะบุกิแล้ว และยังมีอีกหลายคนที่ยังลังเลอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าทุกคนจะลืมเรื่องเหล่านั้นไปก่อน แล้วกลับไปพร้อมกับความรู้สึกหลังจากการเยี่ยมชมวันนี้ และถ้ายังมีนักเรียนที่ตัดสินใจเลือกโรงเรียนซึวะบุกิ—ในฐานะส่วนหนึ่งของครอบครัว เราจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ]หลังจากคำพูดของเธอ ประธานโฮโคบารุก็ปิดไมโครโฟนและโค้งตัวเคารพทุกคนอย่างสุภาพท่าทีสง่างามของเธอน่าดึงดูดมาก ผมจ้องมองเธออย่างงุนงง จากนั้นเสียงใสๆ ของเทียร่าซังก็ดังก้องไปทั่วโรงยิม[ เอาล่ะ ผู้นำทัวร์ทุกคน กรุณาต้อนรับผู้มาเยือนด้วยค่ะ! ]รู้สึกว่าผมต้องไปแล้วเมื่อมองแวบแรก นักเรียนที่อยู่แถวหน้าของทุกแถวถือกระดาษที่เขียนชื่อโรงเรียนมัธยมต้นของพวกเขาผมรับผิดชอบชั้นเรียน 3-5 จากโรงเรียนมัธยมต้นโมโมโซโนะ นั่นหมายความว่าคาจูก็ควรจะอยู่ที่นั่นด้วย…ผมหาชุดนักเรียนที่เป็นกระโปรงหนึ่งตัวที่อยู่ในกลุ่มนักเรียน จากนั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งดูสูงกว่าที่ผมจำได้ก็ปรากฏขึ้น[ คุณคือพี่ชายของนุคุจังใช่มั้ย? นานแล้วนะคะที่ไม่ได้เจอกัน ]เป็นเด็กผู้หญิงตัวสูงในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนโมโมโซโนะ ผมคิดว่าผมเคยเจอเธอหลายครั้งตอนอยู่บ้าน[ อ่า คือว่า เธอ- ][ ฉัน กอนโด ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ][ อ่า ใช่ๆ ยินดีที่ได้รู้จัก ]ผมตอบไปด้วยความประหม่า ข้างๆ เธอมีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ยืนอยู่ เขาคือทาจิบานะคุง[ ผม ทาจิบานะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ-]สีหน้าของทาจิบานะคุงแข็งค้างไปกลางคัน…อา[ เอ๋, …วาตานาเบะคุง? ][ อ่า ! นั่นมัน- ]แย่แล้ว ผมคิดคำแก้ตัวไม่ออกเลยเราสองคนยืนนิ่งไปชั่วขณะ ในระหว่างนั้น คาจูก็เข้ามาเกาะแขนผมแน่น[ โอเคๆ มันคือแผนแกล้งเล่นน่ะ! สำเร็จใช่มั้ย ? ใช่มั้ยคะ ท่านพี่? ][ เอ๋? อะไรน่ะ- โอ๊ย!? ]คาจูหยิกหลังผมทาจิบานะคุงไม่ได้แสดงอาการใดๆ คาจูเริ่มพูดกับเขาอย่างรวดเร็ว
[ ท่านพี่อยากเข้าใจทาจิบานะคุงมากขึ้น เลย ใช้โอกาสวันเปิดโรงเรียนมัธยมปลายซึวะบุกิ มาหาน่ะ! เฮ้อ ท่านพี่ หนูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าทาจิบานะคุงเป็นคนจริงจังน่ะ? ]ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดูเหมือนเธอจะช่วยปกปิดให้ผม โอเค จะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน[ น-นั่นสิ ขอโทษนะ ทาจิบานะคุง ผมเสียมารยาทไปหน่อย ]ทาจิบานะคุงก้มหัวลงและเข้ามาใกล้เรามากขึ้น เขาดูเหมือนจะยังคงสับสนอยู่[ ไม่เป็นไร ผมเป็นคนที่ขอเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอง วันนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ ]…ทาจิบานะคุงเป็นคนดีจริงๆ ผมเองก็เป็นคนดี ถึงแม้จะเคยแอบตามเขาก็ตามกอนโดซังมองเราด้วยความงุนงง เธอจึงตบไหล่คาจู[ เกิดอะไรขึ้น? พี่ชายของเธอรู้จักซาโตชิด้วยเหรอ? ][ อืม- ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลัง ตอนนี้เราไม่มีเวลาแล้ว! ไปกันเถอะ! ][ อ๊ะ เดี๋ยวก่อน นุคุจัง ]คาจูและกอนโดซังจับมือกันและก้าวออกไปหลังจากแลกเปลี่ยนสายตากัน ผมกับทาจิบานะคุงก็ตามสองคนนั้นออกจากโรงยิม[ ขอโทษนะครับ ที่จู่ๆ ผมก็มาทำให้คุณลำบาก ]ทาจิบานะคุงพูดอย่างกังวล ผมรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว[ ไม่ๆๆ ไม่จริงเลย เอ่อ อยากไปดูที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย ? ]ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสดใสที่สุด ทาจิบานะคุงมีท่าทีเขินอายและหยิบคู่มือผู้เยี่ยมชมออกมา[ เอ่อ ผมอยากเข้าร่วมงานเปิดชั้นเรียนของห้อง 1-C น่ะครับ ]นั่นคือห้องของผมนี่? ถึงอามานัตสึเซนเซจะชอบบ่น แต่เธอก็ยังทำงานตามที่ต้องทำคู่มือบอกว่า “กรุณาสังเกตชั้นเรียนของเราในสภาพปกติ”ถึงผมจะไม่อยากแสดงครูที่ขี้เกียจให้คนอื่นเห็น แต่เธอก็จริงจังในชั้นเรียน เพราะงั้นน่าจะพอให้โชว์ได้…ผมพูดกับทั้งสามคนในขณะที่เดินอยู่ในทางเดินที่เชื่อมต่ออาคารสองหลัง[ เราจะเข้าชั้นเรียนทีหลัง ยังมีเวลาอยู่ อยากไปที่ไหนก่อนมั้ย ? ]คาจูจับมือกับกอนโดซังแล้วหันมามองผม[ ท่านพี่ พาพวกเราไปที่ ที่ท่านพี่ไปประจำหน่อยสิ! ][ ที่ที่พี่ไปประจำ? ไปตรงนั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ? ]คาจูยื่นปากออกมาท่าทางเหมือนจะงอน[ ก็เพราะคาจูอยากรู้ว่าในชีวิตประจำวันท่านพี่เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่เข้ามัธยมปลายมาท่านพี่ไม่เคยเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้คาจูฟังเลย ]ก็เพราะไม่มีอะไรจะเล่าไงนอกจากห้องเรียนกับบันไดหนีไฟแล้ว ที่ที่ผมไปอยู่ประจำก็คือ…[ งั้นเดี๋ยวจะพาพวกเธอไปดูก๊อกน้ำในโรงเรี- ][ ท่านพี่ มีที่อื่นอีกมั้ยคะ? ]คาจูขัดขึ้นมา[ เอ๋ แต่ก๊อกน้ำหน้าห้องศิลปะเปลี่ยนรูปทรงแล้วนะ ][ มี. ที่อื่น. อีกมั้ยคะ. ท่านพี่. ]เอ่อ… รู้สึกว่าคาจูดูน่ากลัวไปหน่อย แต่จะมีที่ไหนได้อีก?[ งั้นห้องชมรมวรรณกรรม-พวกเธอคงไม่สนใจหรอก ใช่มั้ย? ]ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พูดได้ หลังจากนั้น ดวงตาของคาจูก็เปล่งประกายขึ้น[ หนูจะไปค่ะ! จริงๆ แล้วหนูเตรียมต้นฉบับมาเพื่อส่งให้ชมรมวรรณกรรมด้วย! ]เตรียมต้นฉบับมาส่ง…? เราไม่มีตัวเลือกนั้นนะ[ เอ่อ ทำไมถึงเอามาล่ะ? ][ คาจูคิดมานานแล้วว่าจะดีแค่ไหนถ้าได้ตีพิมพ์ต้นฉบับของหนูในเล่มเดียวกันกับท่านพี่ การได้เห็นชื่อพี่น้องในสารบัญมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเล่มตีพิมพ์ร่วมกัน มันจะรู้สึกดีมากๆ เลย! ][ พี่ไม่รู้สึกแบบนั้นนะ แต่เรากำลังทำวารสารของชมรมอยู่พอดี ลองใส่เข้าไปก็ได้ ][ จริงเหรอ!? เฮ้ กอนจัง ทาจิบานะคุง พวกเธอจะมาด้วยมั้ย? ]กอนโดซังยิ้มและยักไหล่[ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก แล้วนายล่ะ ซาโตชิ? ][ ยังมีเวลาก่อนชั้นเรียนจะเปิดอยู่ ผมจะไปก็ได้ เอ่อ แล้วผมก็สนใจชมรมวรรณกรรมอยู่นิดหน่อยด้วย ]อา หมอนี่คงไม่ได้สนใจจริงๆ ใช่มั้ย? พวกเราบางคนยังแยกไม่ออกเลยระหว่างชมรมทำสวนกับชมรมวรรณกรรมเลย ขอโทษที่ทำให้พวกเธอต้องกังวล…ตอนนี้เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าผมซะอีก เขามีความเอาใจใส่ อ่อนโยน และหล่อกว่า—แต่ผมสูงกว่าและอายุมากกว่าเขา นอกจากนี้กรุ๊ปเลือดผมคือกรุ๊ป A ผมมีข้อได้เปรียบในการบริจาคเลือดมากกว่า…ใช่แล้ว, ถือว่าเสมอกันทาจิบานะคุงไม่รู้ว่าผมเริ่มการแข่งขันกับเขาแล้ว เขาแค่ส่งยิ้มอันอบอุ่นให้ผม[ ผมได้ยินมาว่านุคุมิซึซังเป็นประธานชมรมวรรณกรรมตั้งแต่ปีแรกเลย สุดยอดมากเลยครับ ][ หา? อ่า ก็แค่ต้องมีคนรับตำแหน่งน่ะ เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ ]ทาจิบานะคุงเป็นคนดีจริงๆ ผมเกาแก้มเพื่อกลบเกลื่อนความเขินผมเริ่มจะเชื่อใจเขาแล้ว นั่นทำให้ผมผ่อนคลายใบหน้าและเดินเข้าตึกไป—แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างคาจูกับเขาหรอกนะ✧ผมเอื้อมมือไปที่ประตูห้องชมรมที่มุมตึกฝั่งตะวันตก แต่ก็หยุดไว้ก่อนที่จะจับลูกบิดใช่สิ โคมาริกับโคนุกิเซ็นเซน่าจะอยู่ข้างใน…[ มีอะไรหรือเปล่าคะ ท่านพี่? ]คาจูมองมือของผมอย่างสงสัย[ คาจู พี่มีคำถามจะถามนะ พวกเธออีกสองคนอยู่ชั้นเดียวกับคาจูใช่มั้ย? อายุ 14 หรือเปล่า? ]ข้างในนี้คือครูที่แย่ที่สุดในโรงเรียนซึวะบุกิถ้าวัดจากระดับการสอนหลังจากเห็นการพยักหน้าเห็นด้วยจากพวกเธอ ผมก็เอื้อมมือไปที่ลูกบิด หวังว่าเซ็นเซจะ…[ ผมนุคุมิซึ พาผู้เยี่ยมชมมาครับ ]แกร๊ก… ผมค่อยๆ เปิดประตู โคนุกิเซ็นเซหันหลังให้ผมและกำลังนั่งยองๆ อยู่ส่วนโคมาริก็ขดตัวอยู่ที่มุมห้องใช้เก้าอี้บังตัว เซ็นเซกำลังแกว่งเบ็ดตกแมวไปมาใส่เธอ[ ดีๆ ออกมาเถอะ น้อนโคมาริ~ ][ ฟู่! ]โคมาริขู่เสียงดังอย่างไม่พอใจอืม นี่ก็ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมเลยโบกมือให้สามคนที่ตามมา[ เอาล่ะ เข้ามาเถอะ เลือกที่นั่งได้ตามสบายเลย เดี๋ยวไปชงชาให้ ][ อ๊ะ มีแขกมาเหรอ ยินดีต้อนรับค่ะ ]…เอ๋ ทุกคนยืนอยู่ที่หน้าประตู ไม่มีใครเข้ามา คาจูถามอย่างกังวล[ เอ่อ โคมาริซังทำอะไรอยู่เหรอคะ? ]แน่นอน เธอดึงดูดความสนใจของทุกคน ผมมองไปข้างหน้า โคนุกิเซ็นเซพยักหน้าแล้วอธิบาย[ ฉันจะข้ามรายละเอียดไปแล้วกัน ฉันพยายามตีสนิทกับเธอในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา ก็เลยกลายเป็นแบบนี้ ]ผมรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียดที่ถูกข้ามไป แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ช่วยอะไรไม่ได้ โคนุกิเซ็นเซก็เป็นแบบนี้แหละผู้เยี่ยมชมทั้งสามคนนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยความสับสน ผมนำชาและช็อกโกแลตมาให้พวกเขา กอนโดซังมองไปรอบๆ อย่างสนใจแล้วถาม[ ชมรมวรรณกรรมปกติทำอะไรกันเหรอคะ? ][ หลักๆ ก็คือเขียนนิยาย เราทำหนังสือชมรมแล้วก็แลกเปลี่ยนความเห็นหลังจากอ่านหนังสือด้วยกัน ][ เพราะอย่างนั้นถึงมีหนังสือเยอะขนาดนี้สินะคะ ][ ถูกต้อง ]…นั่นคือการอธิบายทั้งหมดผมเริ่มสูญเสียความมั่นใจไปช้าๆ แต่ก็เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว[ เอ่อ เรามีโต๊ะแนะนำตัวเองอยู่ตรงนี้ พวกเธอลองเขียนแนะนำตัวเองดูมั้ย ? เราจะเย็บรวมเข้ากับร่างนิยายแล้วทำเป็นนิตยสารของชมรม ]ผมพูดประโยคที่เตรียมไว้อย่างรวดเร็วแล้วจัดโต๊ะแนะนำตัวเองให้กับทุกคนทาจิบานะคุงมองกระดาษแล้วเงยหน้าขึ้น[ ผมไม่ค่อยอ่านนิยายเท่าไหร่ เขียนเกี่ยวกับนิตยสารหรือมังงะได้มั้ยครับ? ][ ได้แน่นอน จะเขียนเกี่ยวกับหนัง, อนิเมะ, หรือเกมก็ได้ เขียนอะไรก็ได้ตามที่อยากเขียนเลย ]…ดีใจจังที่เห็นแบบนี้ ผมจะได้ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มตอนที่พวกเขากำลังเขียนแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แทนที่จะเขียน คาจูกลับมองไปรอบๆ[ มีอะไรหรือเปล่าคาจู? ไม่รู้จะเขียนอะไรเหรอ? ][ เอ่อ…ท่านพี่อ่านนิยายของหนูได้มั้ยคะ? ]มาคิดๆดู ผมเคยพูดอะไรแบบนั้นไปด้วยผมตอบตกลงไป แล้วคาจูก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายพร้อมหยิบกระดาษที่พับอยู่ออกมามันเป็นนิยายสั้น ที่มีเนื้อหาอยู่ประมาณ 2 หน้ากระดาษ A4[ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พี่ได้ยินว่าคาจูเขียนนิยาย เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? ] [ จู่ๆ ก็มีไอเดียขึ้นมาตอนที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเมื่อคืน นี่เป็นครั้งแรกที่หนูเขียน รู้สึกอายมากเลยค่ะ ]จู่ๆ ก็มีไอเดียแล้วก็เขียนนิยายเรื่องแรกเสร็จภายในคืนเดียว…?เนื้อหายังไม่ได้ตรวจสอบนะ แต่ถึงยังไง ผมก็มีประสบการณ์การเขียนมาหลายเดือนแล้วผมพยายามระงับความกังวลแล้วพลิกกระดาษขึ้น…✧รายงานชมรมวรรณกรรม – ฉบับพิเศษ<เหมือนกับหนังญี่ปุ่นแย่ๆ> โดย นุคุมิซึ คาจู ห้องครัวอันเงียบสงัดถูกปกคลุมด้วยความเย็น สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ฉันนึกถึงหนังญี่ปุ่นที่เคยดูที่ไหนสักแห่ง แม้ว่าจะจำชื่อเรื่องไม่ได้ก็ตามฉันทำอาหารเช้าอยู่ที่นี่คนเดียวทุกวันตอน 6 โมงเช้าแกร๊ก . . . ฉันฉีกส่วนหัวของปลาตากแห้งออกแล้วเอาเครื่องในออกแกร๊ก . . . หลังจากทำซ้ำไป 10 ครั้ง ฉันใส่ปลาตากแห้งลงไปในหม้อที่มีน้ำเมื่อซุปเริ่มเดือด ฉันทำเพียงเมนูเดียว ฉันหั่นขิงดิบที่พี่ชายชอบเป็นแผ่นบางๆ แล้วผสมกับงาและใบผักสำหรับมื้ออาหารง่ายๆฉันกับพี่ชายอยู่ด้วยกันมา 10 ปีแล้ว นี่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากในสายตาฉันฉันทำกิจวัตรตามปกติในเช้าวันนี้— แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่กับพี่ชายก็ตามเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลา 6:30 น. ปกติแล้วพี่ชายของฉันจะนั่งที่โต๊ะและเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ในเวลานี้ฉันกังวลเล็กน้อย ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ฉันจึงแอบไปที่ทางเดินอย่างเงียบๆหลังจากเปิดประตูบานเลื่อนของห้องนอน ฉันเห็นพี่ชายยืนอยู่กลางห้องเขาเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว มีกระเป๋าเดินทางอยู่ข้างเท้าของเขา[ พี่คะ ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วค่ะ ]เขาพยักหน้า ฉันจึงกลับไปที่ห้องครัวและหมุนลูกบิดบนเตาแก๊สพี่ชายเข้ามาในห้องพร้อมกับหนังสือพิมพ์ เขาเปิดทีวีแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารเขาดูข่าวในทีวีพร้อมกับหนังสือพิมพ์ ราวกับว่าเขากำลังตรวจคำตอบเวลานี้ ฉันต้องทำซุปมิโสะ ส่วนผสมคือเต้าหู้หั่นบางๆ ส่วนน้ำซุปก็ใช้ฮัตโจมิโซะแดงจากนั้นตอน 7 โมงเช้า เราสองคนก็กินข้าวเช้าด้วยกัน นี่เป็นกิจวัตรที่เราไม่เคยละเลยมาเป็นเวลา 10 ปีแม้แต่ในวันปีใหม่ พวกเราสองคนยังคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ตลกดีโอ๊ะ ฉันคิดว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราทำลายคำสัญญานี้ นั่นเป็นเพียงวันเดียวเท่านั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันกับพี่ชายตื่นขึ้นมาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันฉันทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจที่ไม่อยากลุกจากเตียง แล้วพี่ชายของฉันก็กลายเป็นเชฟส่วนตัวของฉันด้วยสีหน้าปกติของเขาฉันคิดว่าเขาคงไม่ค่อยชินเท่าไร แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำซุปมิโสะสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ เราจึงยังคงกินข้าวเช้ากันตอน 7 โมงเช้าเหมือนเดิม นับตั้งแต่วันนั้น ฉันไม่เคยหยุดทำหน้าที่นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวฉันจ้องมองเปลวไฟสีน้ำเงินบนเตาอย่างระมัดระวังและปรับลูกบิดหมุนเบาๆน้ำในหม้อต้องไม่เดือดหลังจากใส่ปลาตากแห้งลงไป น้ำซุปเข้มข้นต้องเตรียมอย่างระมัดระวังก่อนที่จะใส่เต้าหู้หั่นบางๆ ลงไป ฉันยังต้องใส่ใจกับการหมุนลูกบิดบนเตาเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้อาหารสุกเกินไปซุปมิโสะถ้วยนึงเสร็จหลังจากผ่านไป 30 นาทีพี่ชายชอบฟังเสียงจากฉันที่กำลังเตรียมอาหารเช้า— ฉันเตรียมจะปิดเตาเหมือนทุกครั้งหลังจากรู้สึกถึงความร้อนจากเต้าหู้ แต่ทว่ามือของฉันกลับหมุนปุ่มไปในทิศทางตรงกันข้าม— เปลวไฟสีน้ำเงินลุกไหม้ก้นหม้อ เต้าหู้ต้มกำลังหมุนไปมาอยู่ข้างในตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยให้พี่ชายทำอาหารเลย ตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นวัตถุดิบและหลอมละลายไปกับซุปมิโสะ- มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนฉันเงยหน้าขึ้นทันที พี่ชายของฉันเหมือนกำลังคิดหาคำตอบจากหนังสือพิมพ์ไม่รู้ทำไม รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลย ฉันรีบปิดเตาและใส่ผงชูรสตามปกตินาฬิกาชี้ไปที่เวลา 7 โมงเช้าฉันกับพี่ชายนั่งเผชิญหน้ากันและเริ่มทักทายยามเช้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังตามปกติที่ประตูทางเข้าและถือกระเป๋าเดินทางกระเป๋าเดินทางใบนั้นบรรจุเวลา 10 ปีที่พี่ชายใช้ไปที่นี่ อย่างอื่นๆ ถูกทิ้งไว้ที่บ้านหลังจากออกไปแล้ว…เขาอาจจะไม่กลับมาอีกเลยใช่มั้ย ?— บางทีการที่เราห่างกันสักพักอาจจะดีกว่าฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันกำลังบอกลาพี่ชายด้วยเหตุผลที่คลุมเครือแบบนี้ คำพูดเหล่านั้นได้ค้างคามานานจนถึงวันนี้พี่ชายของฉันทำลายความเงียบอันยาวนานของเขาด้วยการพูดเบาๆ ว่า “เธอจะอยู่คนเดียวได้ไหม?”เขาเป็นพี่ชายที่แย่จริงๆ เขามักจะตัดสินใจเองโดยไม่สนใจสิ่งที่ฉันพูดเลยนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถึงความโกรธ ฉันจ้องเขาด้วยความโมโห แต่กลับเห็นความกังวลในดวงตาของเขาหลังจากสูดหายใจลึกๆฉันก็วางฝ่ามือไว้ที่ส่วนเล็กๆใต้สะดือและลูบมันเบาๆ[ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ]พี่ชายของฉันช็อก ฉันตอบเขาด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา— เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปค่ะ พี่ชาย
MANGA DISCUSSION