เล่ม4 บทที่1-6 วันถัดมา หลังเลิกเรียน ผมกับยานามิก็เดินไปที่ห้องชมรมชิกิยะซังขอให้เรามารวมตัวเพื่อประชุมวางแผนหลังจากที่ยานามิรู้คร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้ เธอก็เคี้ยวลูกเต๋าสีแดงด้วยความหงุดหงิด
[ เผลอไปแป๊บเดียว นุคุมิซึคุงก็มาทำให้ฉันแบบนี้ อย่าบอกนะว่านายสนใจบาโซริซังน่ะ? ][ เปล่าเลย ไม่ใช่แบบนั้น อีกอย่าง เพราะเธอยัดเยียดเรื่องทั้งหมดมาให้ผมต่างหาก ][ แต่เครปมันต่างออกไปนะ มันไปอยู่ในกระเพาะอื่นนะ ฉันก็อยากได้เหมือนกัน ]
ปล่อยผมไปเถอะแล้วทำไมโคมาริถึงไปบอกเรื่องของที่ผมซื้อให้ยานามิรู้กัน ?ถึงแม้จะมีคำถามมากมาย ผมก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตสิ่งที่ยานามิกำลังกิน
[ เอ่อ ยานามิซัง กำลังกินอะไรอยู่เหรอ? ยางลบ ? ][ ขนาดฉันยังไม่กินยางลบเลย มันไม่อร่อยหรอก ]
ยานามิดูเหมือนจะมีประสบการณ์ในรสชาติของยางลบ
[ มันคือเยลลี่น่ะ หลังจากได้ลองกินที่บ้านคุณยาย ฉันก็ติดใจมาก กินกับชาร้อนแล้ว มันเข้ากันดีสุดๆเลย ]
ยานามิหยิบถุงออกมา มันเขียนว่า “เยลลี่รวมรส”การเติมน้ำตาลลงในเยลลี่นั้นเป็นของหวานที่มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคมิคาวะ จริง ๆแล้วมันทำให้ติดได้ง่ายทีเดียว
[ แต่ยานามิซัง ไม่ได้บอกว่าจะลดน้ำหนักตอนปลายกับต้นปีหรอกเหรอ? ][ ใช่ ฉันบอกไว้นะ ถึงได้กินอันนี้ไง ]
…เธอพูดอะไรแปลก ๆ อีกแล้วพอเห็นสายตาผม ยานามิก็โบกนิ้ว
[ นุคุมิซึคุง เราเรียนเรื่องนี้ในวิชาชีวะแล้วใช่มั้ย ? อวัยวะของเราจะหลั่งบางอย่างออกมาเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มันควรทำให้รู้สึกดีใช่มั้ยล่ะ? ]
ถึงจะเคยเรียนก็เถอะ แต่เนื้อหาดูแปลก ๆ ชอบกลยานามิรวบผมขึ้นอย่างมีความสุข
[ เพราะฉะนั้น ฉันเลยสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง การกินของว่างตอนเดินจะช่วยเผาผลาญน้ำตาลที่ถูกดูดซึมออกไป และช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐานของฉัน -พูดอีกอย่างคือ ฉันจะผอมง่ายขึ้น ][ แน่ใจเหรอ? ฟังครูบ้างหรือเปล่า? ][ แน่นอน เชื่อในตำราเรียนสิ นุคุมิซึคุง ]
งั้นก็ต้องยอมแล้ว ให้เครื่องชั่งน้ำหนักสัปดาห์หน้าเป็นตัวตัดสินล่ะกันเรามาถึงห้องชมรมและเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็เห็นชิกิยะซังและ…โคมาริที่แข็งค้างอยู่บนตักของเธอเกิดอะไรขึ้น…?หน้าโคมาริซีดขาว ริมฝีปากของเธอกำลังสั่น
[ รุ่นพี่ ขอโทษที่ให้รอ มาถึงกันเร็วดีนะครับ ][ อ่า..ฉันกำลังเล่นกับโคมาริจัง… ][ เหรอ งั้นก็ดีแล้วที่โคมาริดูสนุกกับรุ่นพี่ดีนะ ][ ป-ไปตายซะ ]
รู้สึกโล่งใจที่เธอยังมีพลังอยู่ ผมนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามและเริ่มการประชุมทันที
[ จริง ๆ แล้ว เมื่อวานนี้ผมเจอกับบาโซริซัง ]
ชิกิยะซังพยักหน้า
[ ได้ยินจากเทียร่าจังแล้ว…หลังเลิกเรียนไปเดทกัน… ][ อ้อ งั้นก็ได้ยินแล้วเหรอ แต่มันไม่ใช่เดทหรอก ]
เวลาเมื่อคนพูดถึงผมลับหลังก็รู้สึกอายเหมือนกัน
[ เฮ้ นุคุมิซึคุง ทำไมถึงได้สนิทกับบาโซริซังขนาดนั้น? ]
ยานามิเอาเยลลี่สองชิ้นเข้าปากพร้อมแทงผมด้วยศอกของเธออืม…ควรบอกแค่ดีไหนนะ? ผมค่อย ๆ คิดคำพูดออกมาและตอบ
[ ก็เพราะคนๆนั้นอยากรู้ว่าจะไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาดีมั้ย เลยแนะนำเธอให้อายาโนะและอาซากุโมะซังรู้จัก ][ หืม หืม แล้วจากนั้นก็ไปกินเครปด้วยกัน ]
ยานามิมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ ยัยนี่ ไม่ต้องใส่ใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง ?
[ เทียบกับผมแล้ว เรื่องสำคัญตอนนี้คือการเอาโดจินชิกลับมาใช่มั้ย? จากมุมมองของผม แทนที่จะต่อต้านเธออย่างไร้เหตุผล ควรให้เธอเข้าใจว่าเราได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว- ][ หนุ่มน้อย.….นายกำลังเข้าใกล้เทียร่าจัง… ]
ชิกิยะซังไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดแล้วถามต่อ
[ บางทีเธออาจจะไม่เกลียดผมแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้สนิทกันเท่าไร ][ ดันไปอีกนิดสิ…เทียร่าจัง…จะง่ายจากนี้ไป… ]
ที่จริงผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก ที่ว่าเทียร่าซังดูเหมือนจะง่าย
[ งั้น ขอถามยืนยันบางอย่างก่อน ]
ผมกระแอมเพื่อเปลี่ยนบทสนทนากลับมาเรื่องหลัก
[ บาโซริซังมีท่าทีไม่เป็นมิตรกับรุ่นพี่ซึกิโนคิ ถึงจะยากที่จะยอมรับ แต่ก็เข้าใจว่าทำไมชมรมวรรณกรรมถึงได้รับความสนใจ ]
ชิกิยะซังจ้องผมราวกับว่าเธอลืมกระพริบตาผมทนต่อสายตาของเธอและพูดต่อไป
[ จริง ๆ ตอนแรกอยากจะเอาหนังสือกลับมาให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม แต่หลังจากที่ได้คุยกับเธอแล้ว ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป ][ นั่น…เพราะความรู้สึกผิด…รึเปล่า? ][ อาจจะใช่ เธอเป็นคนที่ถูกหลอกง่ายๆด้วยคำโกหกที่ไม่ได้ดีซักเท่าไหร่ เอ่อ…ตัวอย่างก็ เคยเห็นชิวาว่ามั้ย? ][ ห้ะ? นุคุมิซึคุง พูดอะไรน่ะ จู่ ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเฉยๆเลย ]
ยานามิแทรกขึ้นมา ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมพูดจะทำให้เธอสับสนพอสมควร
[ พอพูดถึงบาโซริซัง ลองนึกภาพดูว่าถ้าเธอแกล้งชิวาว่าอย่างบาโซริซัง ด้วยการแย่งของเล่นโปรดของเธอไป เธอจะไม่รู้สึกผิดบ้างเหรอ? ][ อึย นั่นมันแย่มากเลยนะ นุคุมิซึคุง บาปของนายต้องชดใช้ด้วยการตายหนึ่งหมื่นครั้งเลยนะ ][ ชะ ใช่…ต…ตายไปซะ…ด….ดีที่สุดแล้ว ]
อยากให้ผมตายกันแค่ไหนนะพวกเธอเนี่ยผมรวบรวมกำลังใจแล้วหันไปหาชิกิยะซัง
[ สุดท้ายมันก็เป็นความผิดของรุ่นพี่ซึกิโนคิใช่มีั้ย? เพราะงั้น การเอาหนังสือคืนจากบาโซริซังด้วยการหลอกเธอคงจะไม่ถูกต้อง ][ ถ้านาย…คิดว่าอย่างนั้นได้ผล… ]
ทันใดนั้น ชิกิยะซังก็กอดโคมาริจากด้านหลัง โคมาริส่งเสียงครางเบา ๆ[ แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิรุ่นพี่ซึกิโนคิหรอก ผมรู้ว่าที่เธอเขียนขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ เรื่องผิดถูกนั่นควรปล่อยให้ตัวละครที่เกี่ยวข้องเป็นคนตัดสิน ]ผมค่อย ๆ ประกอบความคิดที่กระจัดกระจายของตัวเอง แล้วมองไปยังดวงตาสีขาวของชิกิยะซัง
[ ประธานยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย? เธอจะคิดยังไงถ้ารู้เรื่องนี้? ][ ถ้าเป็นเธอล่ะก็…น่าจะหัวเราะแล้วข้ามไปเลยมั้ง… ]
ชิกิยะซังเล่นกับผมของโคมาริขณะพูดจริง ๆ แล้ว ประธานกับรุ่นพี่ซึกิโนคิน่าจะสนิทกันดี เธอน่าจะรู้ดีถึงความหลงใหลใน BL ที่เกินขอบเขตของรุ่นพี่ซึกิโนคิแล้ว ในอีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์นี้ไม่ได้มีเหยื่อจริง ๆ เลย
[ งั้นนาย…จะเป็นสะพานเชื่อม…ปรับความสัมพันธ์ของพวกเขา ][ ถึงอย่างนั้น ก็รู้สึกเหมือนกำลังโกหกเธอคนนั้นอยู่ดี ]
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ในสายตาผม เทียร่าซังเป็นแฟนคลับของประธานเด็กสาวแบบนี้จะยอมส่งหนังสือเกี่ยวกับประธานไปที่การประชุมครูจริงๆหรอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโดจิน BL แบบสลับเพศด้วย?ครั้งนี้ ชิกิยะซังเริ่มลูบใบหูของโคมาริผมมองดูโคมาริที่สั่นอยู่ขณะสรุปความคิดของตัวเอง แล้วมีคนมาเคาะประตูใครเคาะประตูน่ะ?
[ เข้ามาได้เลย ประตูไม่ได้ล็อก ]
ประตูค่อย ๆ เปิดออก ราวกับว่าคนข้างนอกกำลังรอให้ผมตอบ
[ ขอโทษนะ ยูเมโกะซังมาที่นี่หรือเปล่า? ]
คนที่เข้ามาในห้องชมรมคือ- เหรัญญิกของสภานักเรียน ซากุไร ฮิโรโตะ เขาดูโล่งใจเมื่อเห็นชิกิยะซัง
[ หนุ่มน้อยซากุไร…มีอะไรรึ? ][ เธอไม่ได้เช็กโทรศัพท์ใช่มั้ย? ชมรมกระจายเสียงบอกว่าอยากคุยกับเธอ ][ ชมรมกระจายเสียงเหรอ…? ]
ชิกิยะซังเอียงหัวด้วยความสงสัย ขณะที่ซากุไรถอนหายใจ
[ ฮิบะเน่กับยูเมโกะซังรับผิดชอบจัดงานจบการศึกษานี่นะ ฮิบะเน่ไปที่หอประชุมแล้ว เธอช่วยไปเจอเธอหน่อยได้มั้ย? ][ แต่ว่าฉัน… ]
ชิกิยะซังดูเหมือนไม่เต็มใจ เธอยืนอยู่ที่เดิม ผมยิ้มให้เธอด้วยความมั่นใจ
[ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกครับ ไปเถอะ งานสภานักเรียนสำคัญกว่า ][ อ่า…ขอโทษนะ… ]
ชิกิยะซังเตรียมจะลุกขึ้นยืน เธอกระซิบที่ข้างหูของโคมาริ
[ ไปด้วยกันมั้ย…? ][ เฟวะ!? มะ…ไม่ไปหรอก ! ][ อืม…งั้น…ฉันจะไปก่อนนะ… ]
หลังจากวางโคมาริลงแล้ว ชิกิยะซังก็เดินออกจากห้องอย่างโซเซเอ๊ะ? ซากุไรคุงจะไม่ไปกับเธอเหรอ? ทำไมเขาถึงยังอยู่ที่นี่?
[ นี่ นายไม่คิดจะไปกับเธอเหรอ? ][ ผมอยากจะคุยกับทุกคนในชมรมวรรณกรรมหน่อย มีเวลาคุยกันม้ัย ?
เป็นข้อเสนอที่ไม่คาดคิด ยานามิลุกขึ้นแล้วลากเก้าอี้มานั่ง
[ ไม่มีปัญหา เชิญนั่งเลย ]
งั้นมีธุระอะไรกับพวกเรากัน ?ผมสังเกตสถานการณ์ แล้วเห็นยานามิหยิบถุงขนมรสเกลือสาหร่ายออกมา
[ ซากุไรคุง อยากกินขนมมั้ย? ][ ขอบคุณนะ แต่ผมไม่ค่อยกินขนม ][ อ้อ เข้าใจแล้ว ]
ยานามิพยักหน้า เปิดถุงขนมราวกับจะจัดปาร์ตี้เอง แต่เหมือนเธอจะเปิดกินเองแทน
[ …ยานามิซัง แน่ใจนะ ? โปรแกรมลดน้ำหนักของเธอล่ะ ? ][ ดูสิ มีคนอยู่ในห้องนี้ตั้งสี่คน นั่นหมายถึงแคลอรี่จะถูกกระจายไปสี่ส่วน ถ้ามองอีกมุม มันก็เหมือนกับการลดน้ำหนักนั่นแหละ ]
ทฤษฎีของเธอถูกมั้ยเนี่ย? ทำไมรู้สึกว่ามันผิดยังไงก็ไม่รู้
[ เอาล่ะ อยากคุยเรื่องอะไรกับพวกเราหรอ? ]
เมื่อผมถามไป รอยยิ้มเขินอายก็ปรากฏบนใบหน้าของซากุไรคุง
[ ยูเมโกะซังมาที่นี่บ่อยมากใช่มั้ย ? ฮิบะเน่…ประธานเป็นห่วงเธอมาก ]
ยานามิเคี้ยวขนมโดยที่มีความอยากรู้อยากเห็นชัดเจน
[ ซากุไรคุง นายเรียกประธานว่า ‘ฮิบะเน่’ ใช่มั้ย? พวกนายมีความสัมพันธ์อะไรกันเหรอ? ][ ประธานกับผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผมเรียกเธอแบบนั้นมาตลอด ]
ซากุไรคุงยิ้ม ดวงตาของเขายิ้มเล็กน้อย
[ ยูเมโกะซังสร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า? ][ อืม…จะบอกว่าสร้างปัญหาก็ไม่ใช่ พวกเราเป็นฝ่ายขอให้เธอมาช่วยก่อน การบอกว่าเธอสร้างปัญหามันดูจะเย็นชาไปหน่อย… ]
คำพูดของผมดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไร ซากุไรคุงถอนหายใจเฮือกใหญ่
[ …นั่นแหละที่พวกเราเป็นห่วง เธอเป็นพวกที่ไม่มีขอบเขตชัดเจน ][ รุ่นพี่ชิกิยะมีประวัติเยอะแบบนั้นเลยเหรอ? ]
ซากุไรคุงส่ายหัว
[ อย่าเข้าใจผิดนะ เธอทำงานในสภานักเรียนได้ดีมากเลย ฮิบะเน่กับบาโซริจังเองก็เหมือนกัน แต่การติดตามงานหลังจากนั้นสิแย่ที่สุด- อา…แต่ทุกคนคงไม่ได้ตั้งใจแหละนะ ]
ซากุไรคุงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่างานในสภาจะลำบากน่าดู
[ เอาล่ะ หวังว่าจะหมดห่วงเรื่องชิกิยะซังได้แล้ว พอเทียบกันนั้น…. บาโซริซังเป็นยังไงบ้าง? ][ …เกิดอะไรขึ้นกับบาโซริจังด้วยเหรอ? ][ อ๋อ เปล่าหรอก- ]
ยานามิเลียนิ้วที่เปื้อนผงสาหร่ายแล้วแทรกขึ้นมา
[ มันเพราะเรื่องนั้นไง พวกเขาเพิ่งมาตรวจของพวกเราเมื่อไม่กี่วันก่อนใช่มั้ย? รุ่นพี่ในชมรมวรรณกรรมไม่ค่อยพอใจเลยเพราะโดจินชิที่เธอทำเองถูกบาโซริซังยึดไป ]
และยานามิก็กินขนมหมดแล้ว ทั้งที่เธอบอกจะแบ่งกับพวกเราสี่คนไม่ใช่เหรอ?หลังจากที่ยานามิพูดเสร็จ ซากุไรคุงก็ดูงง ๆ
[ ของที่ยึดไว้พวกนั้นถูกลงรายการและส่งให้ครูหมดแล้ว แต่โดจินชิไม่ได้อยู่ในรายการนั้นะ ]
มันไม่ได้อยู่ในรายการ? หมายความว่า-
[ ประธานหรือชิกิยะซังหยุดเธอไว้หรือเปล่า? ][ นักเรียนปีหนึ่งในสภารับผิดชอบการตรวจของกันเองมาตลอดสองปีที่ผ่านมา รุ่นพี่ไม่ได้ยุ่งกับเรื่องนี้ ]
นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่เห็นประธานกับชิกิยะซังที่นั่นซากุไรคุงพูดต่ออย่างสงบเสงี่ยม
[ การตรวจนั้นเป็นการฝึกให้ประสานงานกับคนนอกโดยไม่พึ่งรุ่นพี่ แถมพวกเขายังต้องสั่งการนักเรียนรุ่นพี่เมื่อเจอปัญหา ]
ซากุไรคุงถอนหายใจเหมือนจะปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
[ แล้วบาโซริจังก็ดูจะกระตือรือร้นเกินไป ลำบากในหลายๆแง่เลย ][ อ่า… ]
จากที่เขาพูด เทียร่าซังดูเหมือนจะจัดการเรื่องโดจินชิคนเดียวเธอกำลังพยายามป้องกันไม่ให้ประธานเข้ามายุ่ง หรือเธอแค่วางแผนที่จะไม่ให้ใครรู้แต่แรก?
[ ถ้าเธอสร้างปัญหาให้ ผมจะลองโน้มน้าวเธอเอง ]
ผมเกาหัวแล้วลุกขึ้นยืน
[ ไม่ต้อง ผมไปคุยกับบาโซริซังดีกว่า เธออยู่ที่ห้องสภานักเรียนใช่มั้ย? ][ ใช่ เธอถูกขอให้จัดการเอกสารอยู่ ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องคนเดียว ]
เทียร่าซังอยู่คนเดียวในห้องสภานักเรียนถึงแม้ว่าผมจะขาดแรงใจไปบ้าง ผมคงต้องไปคุยกับเธอให้ดี ๆ สักครั้ง…แต่ก็ไม่อยากไปเท่าไรเลย────✦✧✦────รายงานของชมรมวรรณกรรม – ฉบับฤดูหนาว<ทุกคนต้องรู้ว่าการหมั้นถูกยกเลิก!> บทที่ 6
โดย โคมาริ จิกะ ในเขตแดนของดัชรี่ ฤดูหนาวได้มาถึงแล้วหิมะครั้งแรกของปีทับซ้อนจนถึงข้อเท้าเราอากาศหนาวเย็นหนักคืบคลานเข้าไปในทางเดินของคฤหาสน์เงียบ ๆ ฉันเร่งก้าวเท้าโดยมีเอกสารตั้งอยู่บนอกฉันคือ ซิลเวีย ลูเซล อดีตลูกสาวของบารอนไม่นานมานี้ ฉันได้กลายเป็นจากผู้ที่พึ่งพาผู้อื่นเป็นผู้รับผิดชอบการเงินของดัชรี่ฉันเปิดประตูหนา ๆ ของห้องทำงานและพูดกับชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ
[ ฟิลิป ขอเวลาหน่อยได้ไหม? ][ มีอะไรเหรอ ซิลเวีย? ฉันได้ข้อมูลที่จำเป็นเมื่อวานแล้วนะ ]
ฟิลิป ชายหนุ่มหล่อเหลาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ เงยหน้าขึ้นและยิ้มเล็กน้อยคนที่ไม่เข้าใจเขาอาจคิดว่ารอยยิ้มของเขานั้นเย็นชาเพราะท่าทางที่สงบและเคร่งขรึมฉันพยายามระงับตัวเอง ก่อนจะวางกองเอกสารหนาบนโต๊ะของเขา
[ รายงานระบุว่าภาษีที่เก็บได้ต่ำกว่าที่คาดไว้เนื่องจากการลดค่าเช่าที่ดิน ฉันดำเนินการตามนโยบายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นแล้ว อย่างแรกเลย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถนนเป็นสิ่งสำคัญ- ]ฟิลิปยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างสับสน เขาหยุดฉันกลางคัน
[ ครั้งที่แล้วเราพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วใช่ไหม? ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในสัญญา ][ ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันยังไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกการผูกขาดในเรื่องแร่ธาตุและเกลือกับพ่อค้า โปรดพิจารณาอีกครั้งเถอะ ][ ฉันรู้ว่าคุณกังวลมาก แต่สัญญานี้มีอายุแค่ 3 ปีเท่านั้น นอกจากนี้ ฉันยังได้คิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ]
ฉันหยิบเอกสารขึ้นมา เป็นร่างของสัญญา
[ อย่างที่คุณรู้ สถานที่นี้ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกตลอดมา ไม่ใช่เธอเองหรือที่เห็นด้วยที่จะใช้พลังของเธอเพื่อเปิดเส้นทางการค้าใหม่ๆเหรอ ? ][ นั่นก็ถูก แต่… ]
จริงๆ แล้ว เงื่อนไขของสัญญานั้นไม่ได้แย่เลย เจ้าของร้านจะได้รับผลประโยชน์จากเส้นทางการค้าใหม่ ๆ และเราก็จะมีเสบียงอาหารสำรองและรายได้ชั่วคราวข้อจำกัดเกี่ยวกับผลกระทบต่อชีวิตของชาวนาก็มีอยู่ ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้นมันดูสะดวกเกินไปฉันรู้สึกกังวล ฟิลิปยิ้มออกมา[ อย่ากังวลไป ถึงเอลิซาจะเป็นนักธุรกิจ เธอก็ไม่ใช่คนหลอกลวง ฉันเป็นเพื่อนเก่าของเธอ ]
…นั่นแหละที่ทำให้ฉันกังวลฉันคิดในใจสัญญานี้ถูกเสนอโดยนักธุรกิจหญิงจากนาซาร์ต เมืองค้าขายทางใต้ เอลิซา โวลตา เธอก็เป็นลูกสาวของบารอนเหมือนกันเธอเป็นน้องสาวคนสุดท้องของบารอน และเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฟิลิปฉันเคยเห็นเธอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เธอเป็นหญิงงามที่มีผมสีแดงสด ภาพที่เธอคุยกับฟิลิปเหมือนเป็นเพื่อนสนิทได้ทิ้งความประทับใจลึกซึ้ง
[ เอาล่ะ ช่วยดูรายงานจากเขตซูเวียหน่อยได้ไหม? ค่าผ่านทางที่ท่าลดลงมาก มีข่าวลือว่ามีเลวิอาธานปรากฏขึ้นบนเส้นทางการเดินเรือ- ]
ตรงกันข้ามกับเธอ สิ่งที่ฉันกับฟิลิปคุยกันมีแต่เรื่องงานตลอดถึงแม้ว่าฉันจะยินดีที่ได้มีประโยชน์กับเขา แต่ฉันก็เป็นแค่เพื่อนและพนักงานของเขาในที่สาธารณะได้ยินมาว่าเอลิซาค่อนข้างร่ำรวย ทรัพย์สมบัติของเคานต์โวลตาเทียบเคียงกับดยุก ฟิลิป เจ้าชายองค์แรก ถ้าเป็นเอลิซา ฉันเดาว่าเธอจะเป็นคู่หมั้นที่ดีสำหรับฟิลิป-…ไม่สิ ฉันควรหยุดคิดเรื่องนี้ได้แล้วเมื่อบทสนทนาเกี่ยวกับงานจบลง ฉันก็พูดขึ้นมา
[ ฟิลิป ฉันมีเรื่องอยากขอร้อง ][ มีอะไรเหรอ? บอกมาเลย ][ ฉันอยากจัดงานเลี้ยงในสุดสัปดาห์นี้ ฉันขอใช้ห้องรับรองได้มั้ย? ]
ฟิลิปขมวดคิ้วอย่างสับสน
[ ห้องนั้นใช้ได้ แต่เราคงจัดงานเลี้ยงใหญ่ๆรวมถึงหานักดนตรีได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้ไม่ได้หรอก? นอกจากนี้ เราก็ไม่มีจดหมายเชิญอีกด้วย ]
ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านที่ดีสุดในอาณาจักร แต่ฟิลิปก็ไม่ใช่คนที่ฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะปีนี้ พวกเราเพิ่งรอดจากภาวะขาดแคลนอาหารเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนฉันยิ้มเพื่อบรรเทาความกังวลของเขา
[ ถึงแม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยง แต่แผนของฉันคือแค่ดื่มชา กินของว่าง และคุยกับเพื่อนๆ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากอะไร ][ ไม่ใช่แค่นั้น ปีนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ฉันไม่ชอบเพิ่มงานพิเศษในช่วงที่ยุ่งเหยิงแบบนี้ ]ในบ้านของฟิลิป คนใช้จะได้วันหยุดก่อนและหลังปีใหม่ ฉันรู้เรื่องนั้นดี นี่คือการเตือนความใส่ใจของเขาต่อคนใช้
[ อย่ากังวลไปเลย ฉันจะจ่ายค่าล่วงเวลาให้กับทุกคนเอง ก็แค่มีคนจำนวนมากอยากเข้าร่วมจนทำให้กระเป๋าของฉันรั่วเท่านั้นเอง ][ …ค่าล่วงเวลาเหรอ? เธอพูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ]
บางทีเขาอาจจะรู้ว่าฉันชนะการโต้เถียงนี้แล้ว ฟิลิปยิ้ม
[ ก็ได้ ๆ เธอชนะ ถ้าเป็นเพื่อนของเราก็ใช้ได้ สนุกไปเลยเถอะ ][ ฮึฮึ นายต้องร่วมมาด้วยแน่นอน ][ ฉันไม่เหมาะกับงานเลี้ยงชาหรอก? ][ ในประเทศของฉัน- ไม่สิ ตามวรรณกรรมที่ผ่านมา วันที่ 25 ของเดือนนี้เป็นวันที่สำคัญในการใช้เวลากับครอบครัวหรือคนสำคัญ ฉันหวังว่าฟิลิปจะร่วมด้วย ][ แต่… ]
ฉันมอบยิ้มอันอ่อนหวานให้- อย่างน้อยก็คิดว่าทำแบบนั้น แต่ความกังวลที่มองไม่เห็นก็ทำให้รอยยิ้มพร่ามัวเขาสังเกตเห็นหรือเปล่า? รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของฟิลิป เป็นแบบเดียวกับที่เราเจอกันครั้งแรก
[ ตกลง จัดเวลากันเถอะ ]
ตอนนี้ ฉันอยู่ในสวนที่ถูกหิมะปกคลุมเต็มไปหมด ฉันกำลังใช้พลั่วเพื่อขุดหิมะออกไป
[ เฮ้อ… ฉันคิดว่าพอแล้วล่ะ ]
ฉันเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและวางพลั่วลง หิมะบนทางเดินถูกขุดออกจนหมดวิธีที่ดีที่สุดในการกระจายความหม่นหมองในใจคือการเคลื่อนไหวร่างกาย…ผ่านมาไม่กี่เดือนตั้งแต่ฉันถูกไล่ออกจากบ้านเก่าและย้ายมาอยู่ที่นี่ฟิลิปกับฉันมีความสัมพันธ์ที่เป็น “มากกว่าเพื่อนแต่น้อยกว่าคนรัก”สักวันเขาจะรักษาคำมั่นสัญญาของฉันและกลายเป็นคู่หมั้นของฉัน มันก็แค่สัญญาปากเปล่าเท่านั้น
[ .ถ้าถูกยกเลิกการหมั้นอีกครั้งคงจะแย่จริง ๆ ]ความเหนื่อยล้าตามทัน ฉันยืดตัวอย่างผ่อนคลาย แล้วฉันก็สังเกตเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาจากด้านหลัง[ ซิลเวีย ทำทั้งหมดนี่คนเดียวเหรอ? ][ เอลิซาซัง! ]
เสียงหวานนั้นทำให้นึกถึงผ้ากำมะหยี่ ผมสีแดงสดของเธอถูกประดับด้วยเครื่องประดับสีทองอย่างเรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีความงามที่ล้นหลามของเธอรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของลูกสาวของท่านเคานต์
[ คุณไม่เคยผ่อนคลายตัวเองเลยสินะ? ทุกอย่างโอเคไหม? ][ อ่า เอลิซาดูมีพลังเหมือนกัน มาทำอะไรที่นี่เหรอ? ][ ฉันมาหาฟิลิป เขาจะทำให้ฉันหาเงินได้มากขึ้น ]เอลิซาทำตาวิ้งๆ อย่างเฉียบึม เธอโอบเอวฉันและเดินไปทางคฤหาสน์
[ พาฉันไปหาฟิลิปหน่อย เขาทำอะไรอยู่เหรอ? ][ พอมาคิดๆดู นึกถึงเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อน มีข่าวลือว่าฟิลิปมีลูกนอกกฎหมายที่กรานเบิร์ก ]
ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะหลังจากนึกถึงภาพที่ฟิลิปตื่นตระหนกพยายามอธิบาย
[ …แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? ][ ก็แค่ข่าวลือน่ะ เพราะฟิลิปยังเรียนอยู่ในโรงเรียนเวทมนตร์ตอนที่เด็กคนนั้นเกิด ไม่มีทางที่เขาจะอยู่ที่กรานเบิร์กได้ ]
ฉันหัวเราะแล้วหันไป มันเป็นเหตุผลบางอย่างที่ทำให้รอยยิ้มของเอลิซาหายไป
[ เฮ้ เอลิซา-ซัง? ][ …ใช่ ฟิลิปไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ ]
เธอพูดออกมาราวกับเป็นการยืนยันกับตัวเอง เอลิซาโอบแขนของเธอและยืนนิ่งอยู่กับที่
[ …ไม่หรอก เป็นอะไรไม่สำคัญแล้ว เอาล่ะ ฉันเอาเบิร์กสันเล็ก ๆ ที่เธอต้องการมาแล้วนะ ส่งไปที่ห้องของเธอได้ไหม? ][ อาระ มาแล้ว! ฉันอยากใช้ในงานเลี้ยงน้ำชาพรุ่งนี้ ]
เบิร์กสัน เป็นต้นไม้สนที่ฉันเห็นในสารบัญ มันดูเหมือนกับต้นซีดาร์ฉันถามว่าเธอว่าสุดท้ายแล้วจะหาให้ได้ไหม เธอไม่ดูเหมือนจะลืม
[ จะใช้ในงานเลี้ยงเหรอ? ][ ใช่ ฉันจะแต่งต้นไม้และเราจะมีของหวาน รวมถึงของขวัญสำหรับคนที่ดูแลเรามา ][ โอ้ เหมือนคริสต์มาสจริง ๆ นะ ]
เอลิซาพูดขึ้นอย่างใจเย็นก่อนจะเดินอีกครั้งฉันตอบอย่างสบายๆ แล้วหยุดเมื่อจะก้าวต่อไปเอ๊ะ? เอลิซาพูดคำว่าคริสต์มาสอย่างนั้นเหรอ?
[มีอะไรเหรอ ซิลเวีย? ][ ไม่ ไม่มีอะไร ]
…ฉันต้องจินตนาการไปเองแน่ๆ ฉันรีบตามเอลิซาไปไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาสหรือลูกนอกกฎหมาย ทั้งหมดนั่น- ต้องเป็นความเข้าใจผิดของฉันเองเอาล่ะ งานเลี้ยงคริสต์มาสอยู่ใกล้ๆ แล้ว ฉันควรเตรียมการให้พร้อม-
MANGA DISCUSSION