'รักข้ามรุ่น' กับคุณลุงจอมขรึม - ตอนที่ 68 แค่เพียงสะกิดใจเธอเบาเบา
“คุณเยี่ยครับ?”
เมื่อสองนักข่าวไม่ได้คำตอบจากเยี่ยหลานซาน พวกเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก จึงถามขึ้นมาอีกว่า “จริงอย่างที่เล่าต่อ ๆ กันมารึเปล่า ว่าคุณเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้บทเซิงเกอมา?”
“…”
ยิ่งถามก็ยิ่งไร้สาระไปกันใหญ่!
เยี่ยหลานซานรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่อีกฝ่ายก็ยังคงคุกคามเธอต่อไป “แล้วเสบียงที่ทางหวงเจวี๋ยกรุ๊ปส่งเข้ามาที่กองเมื่อวานนี้ จากคำบอกเล่าของวงในกล่าวว่า ความจริงแล้วไม่ใช่ทางหวงเจวี๋ยกรุ๊ปที่เป็นผู้ส่งมา แต่เป็นชายที่เลี้ยงดูคุณ…”
แล้วอีกคนก็ถามขึ้นต่อ “คุณเยี่ยครับ คุณมีคำอธิบายอย่างอื่นอีกมั้ยครับ?”
“มีค่ะ!”
เยี่ยหลานซานจ้องมองชายทั้งสองคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะมีเจตนาร้ายต่อเธอ สีหน้าของเธอเย็นชาโดยอัตโนมัติ แล้วจากนั้นเธอก็ยกขาถีบนักข่าวชายที่ยืนอยู่ใกล้เธอไป 1 ที
ชายน่ารังเกียจ ดูถูกบุคลิกของเธอมันไม่เท่าไหร่หรอกนะ! แต่ยังจะกล้าพูดมั่วซั่วถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณลุงในทางที่ไม่ดีอีก?!
อยากขาหักหรือยังไง!
นักข่าวคนนั้นอึ้งจนพูดไม่ออก
ทำอาชีพนักข่าวมานมนาน เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่นักข่าวชายโดนเตะเข้าอย่างจังแบบนั้น!
น่าอับอายจริง ๆ !
นักข่าวชายคนนั้นชี้หน้าขู่เธอทันที “เยี่ยหลานซาน ในฐานะที่คุณเป็นศิลปินคนนึง แต่คุณกลับทำร้ายผู้สื่อข่าวในที่โจ้งแจ้งได้โดยไม่คิดขนาดนี้! คุณ…ทำเกินไปแล้ว!”
“เรื่องนี้มันต้องเป็นข่าว! ผมจะแฉคุณ!”
เขาได้คิดต้นฉบับไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว และเขาก็รู้แล้วว่าจะประเมินพฤติกรรมของเยี่ยหลานซานในทางที่ผิดลงไปได้ยังไงบ้าง
“ผู้ชายที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย แล้วมากล่าวหาผู้หญิงคนหนึ่งว่าได้เอาตัวเข้าแลกเพื่อประโยชน์ส่วนตัวนั้นใช้ไม่ได้จริง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณที่ชอบใช้เรื่องของคนอื่นไปทำประโยชน์ให้กับตัวเองอีกด้วยนั้น ฉันว่าที่ฉันทำไปมันก็ไม่มีอะไรที่มากเกินไปนะ”
เยี่ยหลานซานพูดจบ ใบหน้าของเธอก็เย็นชาลง และชี้นิ้วไปที่ทางออกของกองละคร “พวกคุณจะออกไปเอง หรือจะให้ฉันเรียกเจ้าหน้าที่ดูแลกองมาส่งพวกคุณขึ้นรถดีล่ะ?”
นักข่าวสองคนนั้นเงียบไม่กล้าตอบ
พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ อีกทั้งยังรู้สึกละอายใจ จนสุดท้ายต้องเดินหนีไปเนียน ๆ ภายใต้แววตาของเยี่ยหลานซานที่กำลังจ้องมองด้วยความขมขื่น
เสี่ยวจินที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนนักข่าวสองคนนั้นเดินจากไป ถามเยี่ยหลานซานขึ้นว่า “พี่เยี่ยคะ นางมารอวิ๋นซีเคยสอนหนูว่า ถ้าเกิดว่ามีคนมาแกล้งหนู เป็นผู้ชายให้เตะเข้าเป้า เป็นผู้หญิงให้บีบหน้าอกไปแรง ๆ เลย… ทำไมเมื่อกี้พี่ถึงไม่เตะเป้าชายพวกนั้นไปเลยล่ะคะ!?”
นักข่าวคนนั้นที่ลื่นล้มจนเกือบจะข้อเท้าพลิกได้ยินเข้าถึงกับช็อก
ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าเยี่ยหลานซานร้ายแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ช่วยของเธอนี่สิ ร้ายยิ่งกว่า!
แถมยังมี “นางมารอวิ๋นซี” อะไรนี่อีกคน? สอนเด็กอย่างนี้ได้ยังไง!!!
นี่ถือเป็นการทำลายความสงบสุขของคนในสังคมชัด ๆ !
รู้กันบ้างรึเปล่า!?
เยี่ยหลานซานกระตุกปากยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร
เธอกัดปากเบา ๆ ก่อนจะจัดระเบียบความคิดของเสี่ยวจินใหม่ “นั่นเป็นเคล็ดลับขั้นสูงสุด ถ้าไม่ใช่คนทำตัวน่ารังเกียจจริง ๆ เราก็ไม่สามารถทำแบบนั้นกับใคร ๆ ได้นะ”
เสี่ยวจินดูเหมือนจะเข้าใจไม่ใช่เข้าใจ แต่ก็ยังยืนกรานหนักแน่นตามความคิดของเธอเอง “แต่หนูคิดว่าสองคนนั้นทำตัวน่ารังเกียจจริง ๆ นะคะพี่เยี่ย”
เยี่ยหลานซานไม่ได้พูดอะไรต่อ
เพียงแต่คิดในใจว่าเพื่อความความยุติธรรมต่อโลกใบนี้ เธอจะต้องโทรหาอวิ๋นซีด่วน!
ส่วนเสี่ยวจินที่รู้สึกว่าอาจจะทำให้เยี่ยหลานซานโกรธเข้าแล้ว เธอจึงลองเรียกหยั่งเชิงดู “พี่เยี่ยคะ? พี่โกรธหนูแล้วรึเปล่า? คราวหลังถ้าหนู…ไม่ได้รับอนุญาตจากพี่ หนูจะไม่ใช้เคล็ดลับสุดยอดนั่นโดยพละการเด็ดขาดค่ะ…”
“อื้อ”
สายตาของเยี่ยหลานซานดูหม่นหมองลงเล็กน้อย
เธอไม่รู้สึกเสียใจเลยที่เตะขานายนักข่าวที่แสนจะน่ารังเกียจคนนั้น แต่อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะถูกสิ่งชั่วร้ายพวกนี้ล้อมอยู่รอบตัวเธอแล้ว…
เธอขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย “เสี่ยวจิน พี่กลับไปอ่านบทที่ห้องรับรองก่อนนะ ถ้าใครมาหา พี่ไม่สะดวกพบใครทั้งนั้น”
……………………
งานเลี้ยงครอบครัวภายในวังหลวงเป็นไปอย่างคึกคักเช่นเคย
พ่อและแม่ของกงเส่าถิงรอคอยการมาถึงของสะไภ้ในอนาคตด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ที่ตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด คอยกำชับพ่อบ้านด้วยตัวเองเลยว่า “อย่าลืมว่าผลไม้กับเมนูต่าง ๆ นั้นต้องเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มู่วานชอบทานทั้งหมด”
พ่อบ้านยิ้มแล้วตอบกลับมาทันทีว่า “คุณหญิงครับ เมื่อวานท่านก็กำชับกระผมมาแล้วครั้งนึง กระผมจำได้ขึ้นใจแล้วล่ะครับ”
“ก็ดีก็ดี”
แล้วท่าทางหนักแน่นของนายหญิงก็อ่อนโอนลงเล็กน้อย
พ่อบ้านก็พูดปลอบโยนนายหญิงของตนไปด้วย “นายน้อยเป็นคนที่เพียบพร้อมขนาดนี้ หญิงสาวตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในหลาย ๆ ตระกูลต่างก็มีความใฝ่ฝันอยากจะแต่งงานกับนายน้อยกันทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
“ฉันจะไม่กังวลใจได้อย่างไรกัน…!
แล้วเธอก็มองไปที่กงเส่าถิง ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลและตอนนี้เขาก็กำลังนั่งคุยอยู่กับบุคคลผู้เป็นพ่อด้วยกิริยาท่าทางที่สำรวม จนผู้เป็นแม่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ามันง่ายอย่างที่เธอว่า เขาคงไม่เป็นโสดมาจนอายุ 30 แบบนี้หรอก”
“หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะโชคชะตาของเขายังมาไม่ถึง”
“และเขาเองก็ไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับสตรีคนใด ถ้าหากว่าโชคมาถึงตัวเขาแล้ว ก็ต้องถูกเขาตัดทิ้งไปเองอีกอยู่ดี”
นายหญิงของบ้านถอนหายใจออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ต่อ “ก่อนหน้านี้เราก็ให้เขาเป็นคนเลือกคนที่เขาชอบเองแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเท่าที่ควร จนมาถึงครั้งนี้ เราไม่สามารถจะให้เขาทำตามใจตัวเองได้อีกแล้วล่ะ!”
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเข้ามาแทรกแซงให้เกิดผลสำเร็จให้ได้!
เธอก้มดูนาฬิกา “เจ้าฉือบอกว่าจะแวะรับมู่วานมาหนิ ใช่มั้ย? นี่ก็ 11 โมงกว่าจนเกือบจะเที่ยงแล้ว ทำไมช้าอย่างนี้ล่ะ? เจ้าเด็กคนนี้ ไปเล่นซนที่ไหนอีกล่ะเนี่ย!”
“ฮัดชิ้ววว”
ฉืออวี้เฟิงถูกท่านย่าของตนตำหนิถึงจนจามออกมาอย่างแรง
เขาจับพวงมาลัยแน่นก่อนจะพึมพำออกมา “หน้าร้อนนี่ก็ร้อนจะตายอยู่แล้ว จะเป็นหวัดได้ยังไงกัน!? บ้าจริง ต้องมีใครกำลังแอบด่าคนหล่ออยู่แน่ ๆ เลย!!”
เขาเบะปากก่อนจะมองไปที่กระจกหลัง
วันนี้หลิงมู่วานมาในชุดที่ค่อนข้างจะพิธีการหน่อย ๆ
ชุดเดรสยาวสีแอปริคอทสีอ่อนนั้น ทำให้เธอดูสง่างามสมกับเป็นกุลสตรีมากจริง ๆ บวกกับสร้อยเพชรราคาแพงที่เปล่งแสงระยิบระยับอยู่รอบคอของเธอ ดู ๆ ไปช่างเหมือนกับหุ่นที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวจริง ๆ เลยนะ
เขาแอบกลอกตามองบนเบา ๆ
บ้าจริง !
ผู้หญิงคนนี้ทำอย่างกับว่าเขาเป็นคนขับรถจริง ๆ ตอนขึ้นรถก็ขึ้นไปนั่งเบาะหลังหน้าตาเฉย ทำอย่างนี้เนี่ย จงใจสร้างระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด
เขาขบฟันกรามเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยความอึดอัดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งของน้าเล็กเนี่ยนะ คนหล่ออย่างฉันคงจะถีบเธอลงจากรถไปแล้วล่ะ!!!”
แต่ความเป็นจริงนั้น มันทั้งขมขื่นและอึดอัดยิ่งนัก
เขาชวนเธอคุยระหว่างทาง ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกแคร์อะไรเลย “ในบรรดานักเรียนของอวิ๋นอวิ๋น งานออกแบบของเธอได้รับรางวัลที่หนึ่ง เนื่องในงานรับปริญญาของ Central Saint Martins School of Design มู่วาน เธอทำให้ฉันตกใจมากเลยนะ”
มู่วานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “นายไม่เคยจะสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยหนิ”
ฉืออวี้เฟิงยิ้มก่อนจะตอบกลับ “นั่นเป็นเพราะว่าฉันจะสนใจแค่เฉพาะสิ่งที่ฉันอยากรู้เท่านั้นแหละนะ”
รอยยิ้มที่ใครก็เห็นได้ยาก ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิงมู่วาน “นายสนใจงานออกแบบเครื่องประดับ? หรือว่า…?”
“แน่นอนว่าต้องสนใจคนสวยสิ”
“…”
หลิงมู่วานไม่ทันได้ตั้งตัวกับคำตอบนั้นของฉืออวี้เฟิง แล้วดวงตาที่หยิ่งผยองนั้นก็ค่อย ๆ มองไปที่กระจกมองหลัง
ฉืออวี้เฟิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเขาสามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็เม้มปากพลางคิดในใจว่า “คนหล่อต้องเสียเวลาไป 1 สัปดาห์เต็ม ๆ เพื่อจะขุดคุยข้อมูลของเธอมาท่องจำ ความยากลำบากในตอนนั้นไม่มีสูญเปล่าจริง ๆ !”
ถึงเวลาแล้ว
เขาจับพวงมาลัยด้วยมือซ้ายมือเดียว ส่วนมือขวาก็เอื้อมไปหยิบกล่องของขวัญที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ จากนั้นก็ยื่นให้กับเธอที่นั่งอยู่เบาะหลัง
หลิงมู่วานถามขึ้น “นี่คือ…?”
“ของขวัญตอนรับเธอกลับบ้านไงล่ะ”
แล้วด้านหน้ารถก็เป็นสี่แยกไฟแดงพอดี เขาจึงหันหลังมาสบตาเธอและส่งยิ้มหล่อ ๆ ให้เธอ ภายใต้ความชั่วร้าย “ ฉันใช้ความพยายามอย่างมากเลยนะ เพื่อที่จะหาสิ่งของล้ำค่านี้มาให้เธอ รีบเปิดดูสิ ดูว่าจะชอบรึเปล่า”
แล้วเขาก็จับกล่องของขวัญยัดใส่มือเธอ
หลิงมู่วานได้แต่นั่งกระพริบตาปริบ ๆ
กล่องของขวัญสีชมพูอ่อนที่ผูกด้วยโบว์สีชมพูและด้านบนกล่องก็มัดปมโบว์จนเป็นตัวผีเสื้อตัวน้อย ๆ เมื่อลองเขย่าเบา ๆ ก็รู้สึกได้ว่าของข้างในนั้นมีน้ำหนักพอสมควร
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา
ดวงตาที่เปล่งประกายของเขานั้น ช่างดูสดใส เมื่อเธอมองไป เขาก็ยักคิ้วหลิ่วตาโปรยเสน่ห์ใส่เธอเข้าไปอีก