'รักข้ามรุ่น' กับคุณลุงจอมขรึม - ตอนที่ 63 เธอเรียกเขาว่า พ่อ
เสี่ยวจินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “พี่เยี่ยได้บอกเรื่องนี้ให้คุณรู้ด้วยเหรอคะ?”
กงเส่าถิงไม่ได้ตอบไปว่าใช่หรือไม่ใช่ เขายังคงจ้องเธออยู่อย่างนั้นเพื่อรอคำตอบ
“โอ้ยย”
เสี่ยวจินตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณสุดยอดเสียขนาดนั้น ทำไมไม่สืบหาเองล่ะคะ!”
กงเส่าถิงลูบผมของเยี่ยหลานซาน พลางพูดกับเสี่ยวจินด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองว่า “โอเค ฉันจะโทรหาคุณกู้เดี๋ยวนี้ ให้เขาเอาเวลาที่ทำอาหารให้เธอไปทำอย่างอื่นซะ ส่วนเธอก็ทานข้าวกล่องของกองถ่ายไปละกัน”
เสี่ยวจินพูดไม่ออก
ถ้าอย่างนั้นต่อไปเธอก็จะไม่ได้ทานไอศกรีมอร่อย ๆ แล้วน่ะสิ ไม่มีชารสเลิศให้ดื่มด้วย แล้วไหนจะเบนโตะแสนอร่อยอีก…
เธอรู้สึกปวดใจ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทรยศอวิ๋นซีจนได้ “เขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพี่เยี่ยค่ะ!”
ในที่สุด เสี้ยนหนามที่ตำอยู่ในหัวใจของกงเส่าถิงก็ถูกดึงออกไป
พี่ชายเหรอ
เฮอะ ๆ
ดีนะ ที่ไม่ใช่ศัตรูหัวใจ
แล้วออร่าในตัวของเขาก็เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนทันที เขาพูดกับเสี่ยวจินด้วยน้ำเสียงชื่นชมต่อ “ขอเพียงแค่เธอดูแลหลานซานให้ดีอย่างนี้ ไม่ให้ใครมารังแกหลานซานได้อีก หลังจากนี้เธออยากจะทานอะไรก็บอกคุณกู้ได้เลย”
เสี่ยวจินพยักหน้าหงึก ๆ “วางใจได้เลยค่ะ!”
ไม่น่าเชื่อว่าอาหารรสเลิศจะสามารถซื้อเธอได้อย่างง่ายดาย เสี่ยวจินยิ่งได้มองได้พูดคุยกับกงเส่าถิงมากเท่าไหร่ เธอก็รู้สึกถูกชะตามากเท่านั้น เธอจึงส่งกระเป๋าของเยี่ยหลานซานให้กับเขา “ฉันได้คิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ฉันรู้สึกได้ว่าคุณเป็นคนดี ดังนั้น คืนนี้คุณดูแลพี่เยี่ยต่อเลยแล้วกันนะคะ!”
กงเส่าถิงยิ้มออกมาอ่อน ๆ ก่อนจะพูดว่า “เธอพักห้องสวีทหรูข้าง ๆ ได้เลยนะ อยากจะกินอะไรก็สั่งตรงกับเชฟของหวงถิงได้เลย”
“ค่ะ!”
และเมื่อถึงตอนที่เสี่ยวจินเข้าไปยังหวงถิงเพื่อไปเอาซุปให้กับเยี่ยหลานซาน เธอก็ได้เห็นว่า รูปแบบการตกแต่งภายในของหวงถิงกับห้องอาหารคริสตัลนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้วยรูปแบบที่ถูกเนรมิตขึ้นมาให้มีความคล้ายกับร้านอาหารในสมัยราชวงศ์หมิง บวกกับกลิ่นอาหารที่เย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง และดึงดูดใจกว่าห้องอาหารคริสตัลชั้นล่างเสียอีก
งานเลี้ยงก่อนหน้านั้นเธอรู้สึกว่ายังกินไม่ค่อยเต็มที่ ดังนั้นเธอจึงไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปสั่งอาหารในหวงถิง
……………………
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ
เยี่ยหลานซานที่กำลังหลับอย่างสบายในอ้อมอกของกงเส่าถิง แสงไฟจากโคมไฟคริสตัลส่องลงมาประทบร่างกาย และใบหน้าของเธอที่ยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติ…
แสงไฟอ่อน ๆ ขับให้ผิวกายของเธอนั้นดูเปล่งประกายยิ่งขึ้น
กงเส่าถิงลูบแก้มของเธอเบา ๆ ด้วยนิ้วเรียวยาว
ด้วยอุณหภูมิและความนุ่มนวลที่ปลายนิ้วของเขาได้สัมผัส มันทำให้ใจของเขาเริ่มสั่น และทำให้เขาอดใจไม่ไหว อยากจะลิ้มรสสัมผัสนั้น
เขาจึงค่อย ๆ โน้มตัวลงไป…
เข้าไปใกล้ ๆ ทีละนิด…
จนกระทั่งริมฝีปากบาง ๆ ของเขาทาบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ
จูบเบา ๆ นั้น
ช่างเป็นการขโมยจูบที่นุ่มนวลจริง ๆ
ริมฝีปากของเธอนุ่มมาก มันเคล้ากับกลิ่นหอมหวานของไวน์แดงชั้นดีที่น่าจะเป็นไวน์ของ Manjusawa และนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกติดใจริมฝีปากของเธอมากขึ้นไปอีก
ความโลภเป็นเหมือนไฟที่ครอบงำจิตใจคน และความที่กงเส่าถิงควบคุมตัวเองไม่อยู่ ก็ทำให้ไฟที่เพิ่งเริ่มติดขึ้นนั้นลุกโชนเร็วขึ้น
เขาพยายามยับยั้งใจตัวเองจากความต้องการนั้น เขากลืนน้ำลาย อึก! แล้วพูดกับเธออย่างแผ่วเบาว่า “…หลานซาน นี่เธอวางยาฉัน หรือว่าพ่นพิษใส่ฉันกันแน่เนี่ย…?”
ทุกครั้งที่อยู่กับเธอสองคนตามลำพัง โดยเฉพาะตอนที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยแล้วนั้น สัตว์ร้ายที่อยู่ในตัวเขาก็จะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง และทำให้สติของเขาไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ทันใดนั้น เยี่ยหลานซานก็ขมวดคิ้วและพึมพำออกมา “พ่อคะ…”
กงเส่าถิง งง กับเหตุการณ์ตรงหน้า
เขาไม่รู้ว่ายังมีทางเลือกอื่นนอกจากหัวเราะได้อีกไหม
เขาครุ่นคิดในใจว่าเมื่อกี้เขาเกือบจะทำเรื่องอย่างว่ากับเธอแท้ ๆ แต่เธอกลับเรียกเขาว่าพ่อเนี่ยนะ
“เห้อ”
กงเส่าถิงหายใจเข้าเต็มปอดและกอดเธอแน่นขึ้น ทำให้ความปรารถนาก่อนหน้านี้ของเขาค่อย ๆ ลดลง
จนกระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ดวงตาที่กำลังสะลึมสะลือก็สว่างขึ้น และเริ่มคลายกอดนั้นออกเล็กน้อย
แล้วเสียงโทรศัพท์ของกงเส่าถิงก็ดังขึ้นมาตามลำดับ เขาจึงเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มารับสาย
“เส่าถิง ทำไมนายไปนานจัง?” เสียงปลายสายก็คือเสียงของหลิงมู่สือที่เริ่มกรึ่ม ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ “เป๋าจิ่งซื่อคออ่อนมากก ถ้านายยังไม่กลับมาอีก นายต้องเป็นคนเก็บศพพวกเราทีหลังแล้วล่ะ!”
กงเส่าถิงก้มลงดูสาวน้อยที่ยังคงหลับใหลอยู่ในอ้อมอกของตัวเอง
แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงต่ำ ๆ “ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ฮึดสู้ต่อไป”
จากนั้นเขาก็วางสาย
ตัดภาพมาที่หลิงมู่สือ “…แหน้ะ!”
เธอสบถออกมา พลางจ้องโทรศัพท์ และยังคงตกตะลึงกับคำพูดของเขา
เธออดไม่ได้ที่จะบ่นกับเพื่อน ๆ รอบตัว “หมอนั่น ใช่ว่าจะออกมาสังสรรค์กับพวกเราบ่อย ๆ นี่ออกมาได้ก็แอบหนีไปกลางคันอีก พวกนายคิดว่าที่หายไปนานนั่นไปทำอะไรอยู่? คงจะไม่ได้ไปเจอกับสาวสวยที่ไหนเข้า แล้วก็ไปยืนเต๊าะสาวเล่นอยู่ใช่มั้ย?”
หลังจากนั้นก็หันไปมองฉืออวี้เฟิงที่กำลังดื่มอย่างเมามันส์ “ช่วงนี้น้าเล็กของเธอมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ห้ะ?”
ฉืออวี้เฟิงเทเหล้าใส่แก้วเสร็จก็หันไปมองต้นเสียงด้วยสายตาที่พร่ามัว
“เฮือก” ฉืออวี้เฟิงสะอึกออกมาด้วยความเมา
เป๋าจิ่งซื่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมา เบาๆ
ชายคนนี้สวมชุดสูทสีขาวนวลที่ดูหรูหราและราคาแพง
แม้ว่าเขาจะดื่มเหล้าเข้าไปปริมาณมาก แต่ก็มีเพียงแค่แววตาของเขาที่ดูกรึ่ม ๆเท่านั้น ส่วนท่าทางของเขายังดูไม่น่าเป็นห่วง เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่เมากันจนหน้าแดงคอแดง แถมยังควบคุมตัวเองกันไม่ได้เลย แต่ละคนนั้นเลื้อยไปเลื้อยมาเหมือนพืชไม้เลื้อยยังไงอย่างงั้น
ในมือของเป๋าจิ่งซื่อคีบบุหรี่ 1 มวน เขายกขึ้นสูบอย่างช่ำชอง แล้วพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงกลม พลางสลัดเถ้าบุหรี่ออกด้วยการสะบัดปลายนิ้วเล็กน้อย
เขาหันมามองที่หลิงมู่สือโดยไม่กระพริบตา “น้องสาวของเธอยังไม่ทันออกเรือน เธอก็จะคอยสังเกตการณ์แทนน้องสาวแล้วรึไง?”
หลิงมู่สือมองทะลุผ่านควันบุหรี่ที่กำลังจะจางหายไป ก็เห็นสายตาที่หยาดเยิ้มของเป๋าจิ่งซื่อกำลังจ้องมองเธออยู่ แล้วจู่ ๆ เขาก็กลอกตาใส่เธอทันที เธอจึงตอบเขาไปว่า “ฉันพยายามจะลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวของพี่น้องฉันต่างหากละ”
ฉืออวี้เฟิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พึมพำขึ้นมาในใจ “…น้องสาวของคุณถูกจัดอันดับให้อยู่นอกโลกของเขาตั้งแต่แรกแล้ว แถมยังให้ผมช่วยขัดขวางอีก”
เห้อ
งานสุดท้ายที่น้าเล็กสั่งการมาให้ฉันทำเนี่ยลำบากยากเย็นจริง ๆ เลย!
เขาโอดครวญอยู่ในใจ แต่ก็ยังคงส่งยิ้มให้กับหลิงมู่สือ “พรุ่งนี้ผมจะกลับวังเดิม แล้วก็ผ่านบ้านของคุณพอดี จะให้ผมรับมู่วานมาด้วยเลยมั้ย?”
หลิงมู่สือพยักหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า “ได้ ฉันกลับถึงบ้านจะบอกมู่วานอีกที”
ฉืออวี้เฟิงยิ้มอ่อน ๆ
เมื่อมองไปอีกทางก็เห็นเสี่ยวจินที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่คนเดียว เขาจึงขยี้ตาและพูดขึ้นว่า “กินเก่งจริง ๆ เลย”
หลิงมู่สือมองตามฉืออวี้เฟิง แล้วกระพริบตาด้วยความสงสัย “สาวน้อยคนนั้นไม่ได้ทานอะไรมากี่วันแล้วน่ะ?”
ตั้งแต่ที่เสี่ยวจินเข้ามาในหวงถิงเธอก็เอาแต่ทานอย่างเดียว จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่หยุดทาน
นั่งทานอาหารอยู่คนเดียวแถมยังไม่พูดไม่จากับใครอีก
ฉืออวี้เฟิงตอบกลับหลิงมู่สือ “ผมก็อยากรู้เหมือนกัน…”
ตั้งแต่ที่น้าเล็กพาเยี่ยหลานซานขึ้นไป ก็ทิ้งยัยนี่ไว้กับเขาซะงั้น โอ้ ภาพตรงหน้านี่ช่างเปิดโลกทัศน์ของฉันจริง ๆ เลย!!!
หลิงมู่สือถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าฉือ ไม่ใช่ว่านายอยากจะกินให้สุดแล้วหยุดที่ความตายเหรอ? ทำไมอยู่ ๆ ถึงก่อตั้งบริษัทภาพยนต์และการละครขึ้นมาล่ะ?
“ใช่ เจ้าฉือ เดี๋ยวนี้นายโดนผีเข้าเหรอ?”
“เขาจะไปโดนผีที่ไหนเข้าหละ? ฉันว่าเขาต้องโดนเสนาบดีสั่งสอนมาอีกแน่ ๆ จากที่เป็นคนไม่ปกติก็อาจจะกำลังเปลี่ยนเป็นคนปกติแล้วรึเปล่า?”
“ฮ่า ๆ ๆ “
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเสียงดัง
ฉืออวี้เฟิงที่ได้ยินทุกคำพูดแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขาก้มหน้าลงนิดนึงก่อนจะฮัมเพลงออกมา “โอ้ว พี่กำลังมองดูสาว ๆ ที่รายล้อมรอบตัว แค่นี้ก็สุขใจ เหตุผลแค่นี้พอมั้ยย~”
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันทันที “เยี่ยมจริง ๆ !”
“ฮึ!”
ฉืออวี้เฟิงส่งเสียงออกมาอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะกวักมือเรียกบริกร “ไปดูว่าสาวน้อยคนนั้นยังอยากทานอะไรอีก ก็ทำให้เธอทานซะนะ และไม่ต้องบอกว่าฉันเป็นคนสั่งด้วยล่ะ”
เมื่อเสี่ยวจินได้ยินดังนั้น ก็ทำให้เธอตื่นตันจนไม่กล้ากินต่อ
ในระหว่างที่อาหารกำลังเต็มปากเสี่ยวจินอยู่นั้น เธอก็ยังพึมพำออกมา “อยู่กับพี่เยี่ยแล้วดีกว่าอยู่กับพญามารอวิ๋นซีจริง ๆ เลย!”
ยังไม่ทันจะหายตื่นเต้น เธอก็ได้ยินเสียงวุ่นวายที่ประตูห้องอาหาร
เธอหันกลับไปมองอย่างงุนงงด้วยดวงตากลมโต