บทที่ 202 หนี
“เอลฟ์ต้นไม้เปิดการป้องกันวิหารเทพีแห่งพืชพรรณแล้วนี่” มิเรียมในฐานะทายาทเทพ ย่อมสามารถรับรู้ถึงพลังเทพได้ ที่ต้นไม้โบราณของเอลฟ์ในระยะไกลเบื้องหลัง วิหารเทพีแห่งพืชพรรณกำลังแผ่พลังเทพออกมา ป้องกันวิหารเอาไว้
“ดูเหมือนเราจะต้องรีบออกไปแล้ว พวกเทียนชิงนั่นก็แข็งแกร่งจริง ๆ ถึงกับจัดการเอลฟ์ต้นไม้ได้ทั้งเผ่าเลย” หนิวลี่มองดูเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่กำลังโจมตีเผ่าเอลฟ์ต้นไม้อย่างไม่หยุดยั้ง อดชื่นชมในใจไม่ได้ ไม่แปลกเลยที่พวกเขามั่นใจพอจะประกาศเริ่มรวบรวมตั้งจักรวรรดิดาวรกร้าง
“เรารีบไปกันเถอะ ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับวิหารเทพีแห่งพืชพรรณนั่น” มิเรียมมองไปทางวิหารเทพีแห่งพืชพรรณด้วยสีหน้าซับซ้อน พูดอย่างหนักแน่น
หนิวลี่ขมวดคิ้ว “กลัวอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่า เธอคิดว่าเทพีแห่งพืชพรรณจะปรากฏตัวออกมา อย่าล้อเล่นน่า”
มิเรียมจ้องหนิวลี่ “นายอย่าพูดแบบนั้นสิ ถ้าพลังเทพของวิหารถูกดึงออกมา การที่เทพจะส่งร่างแยกลงมาก็เป็นไปได้ และตอนนี้เป็นช่วงวิกฤตเป็นตายของทั้งเผ่าเอลฟ์ต้นไม้ นายรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาจะไม่เรียกเทพีแห่งพืชพรรณมาต่อสู้”
หนิวลี่อึ้ง ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องที่ตนปล้นวิหารเทพีแห่งพืชพรรณ เทพก็คงรู้ด้วยสินะ?
ไม่ได้ อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว
“เธอว่ารังมังกรดำอยู่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่ เราต้องรีบหนีแล้ว” หนิวลี่พูดอย่างจริงจัง
ดวงตาของมิเรียมสว่างวาบ มองไปทางทิศเหนือ “อยู่ทางเหนือ ตามที่ฉันประเมิน น่าจะประมาณ 1,100 ลี้”
“1,100 ลี้! โอ้โห ไกลขนาดนี้เลยเหรอ?” หนิวลี่รู้สึกปวดหัว
มิเรียมพูดอย่างหงุดหงิด “นี่ยังไม่ไกลเลย แต่นายยึดรถลอยได้ของคุณชายอาเทอร์มาไม่ใช่เหรอ ยานพาหนะนั่นทำความเร็วได้ถึง 800 ลี้ต่อชั่วโมงนะ”
“เร็วขนาดนั้นเลย?” หนิวลี่ประหลาดใจ แล้วก็นำรถลอยได้ออกมาจากแหวน ตั้งแต่ได้ของชิ้นนี้มาก็เก็บไว้เฉย ๆ ตลอด
มองดูรถที่ยังคงสว่างไสวอยู่ หนิวลี่หันไปถามมิเรียม “เธอขับสิ่งนี้เป็นเหรอ?”
มิเรียมยิ้มอย่างภูมิใจ “ฉันอยู่กับมนุษย์มาสิบกว่าปีแล้ว มีอะไรที่ฉันทำไม่เป็นล่ะ”
หนิวลี่ชูนิ้วโป้งให้
ทุกคนรีบขึ้นรถ หมาป่าอสูรต้องหดตัวลงอีกครั้ง นั่งขดตัวอย่างน่าสงสารอยู่บนเบาะหลัง
“ไปเร็ว”
ปล่อยรถเคลื่อนออกไป กลุ่มของหนิวลี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้หนาทึบก็เปิดเผยตำแหน่งทันที ไม่ไกลนัก เผ่าพันธุ์ที่มีเกล็ดปกคลุมทั่วร่างพึ่งจัดการเอลฟ์ต้นไม้ไปหลายตนก็พบเห็นรถแม่เหล็ก ดวงตาของพวกมันเป็นประกายขึ้นมาทันทีพร้อมกับส่งเสียงร้องดังลั่น
“รีบไปเร็วเข้า” หนิวลี่รีบเร่งมิเรียม
มิเรียมพูดอย่างหงุดหงิด “รถคันนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ให้ฉันทำความคุ้นเคยก่อนสิ!”
“บ้าเอ๊ย! ที่แท้เธอก็ยังใช้สิ่งนี้ไม่เป็นสินะ” หนิวลี่โกรธจัด ยัยนี่มักจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสมอ
แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจส่งเสียงได้มาก เดี๋ยวจะดึงดูดคนอื่นมาอีก
หนิวลี่และอับเนอร์พุ่งออกจากรถ รีบวิ่งเข้าหาเผ่าพันธุ์ที่มีเกล็ด โจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ปิดบังพลังของตน
คราวนี้ กลุ่มเผ่าพันธุ์ที่มีเกล็ดถึงได้รู้ว่าตนเองเจอของผู้แข็งแกร่งเข้าให้แล้ว หลังจากถูกสังหารไปครึ่งหนึ่ง พวกที่เหลือก็แตกฮือหนีไป
แต่หนิวลี่และอับเนอร์ไม่ยอมปล่อยพวกมันไป ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
หลังจัดการเผ่าพันธุ์ที่มีเกล็ดตนสุดท้าย หนิวลี่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเอลฟ์ต้นไม้ดังมาแต่ไกล
มองไปตามเสียง เห็นกองธนูเอลฟ์ต้นไม้กำลังปะทะกับกลุ่มนักดาบมนุษย์
แม้เอลฟ์ต้นไม้จะโจมตีระยะไกลได้ แต่ฝ่ายนักดาบมนุษย์ก็มีนักเวทสองคน คนหนึ่งใช้ธาตุไฟ อีกคนใช้ธาตุน้ำ
ตอนที่หนิวลี่มอง เอลฟ์ที่ร้องโหยหวนเมื่อครู่กำลังถูกลูกไฟโจมตีจนร่วงจากต้นไม้
“รีบเข้าไปช่วย บุกเข้าไปเลย!”
ฝ่ายนักดาบมนุษย์มีจำนวนไม่น้อย มีราวสามสิบกว่าคน ส่วนเอลฟ์ต้นไม้เหลือแค่สี่ตน และยังถูกนักเวทไฟโจมตีไม่หยุด
ในขณะที่หนิวลี่กำลังอึ้ง เอลฟ์ต้นไม้อีกสองตนก็ถูกนักดาบสังหาร
หนิวลี่ขมวดคิ้ว กำลังจะหันกลับไปที่รถ แต่ก็ต้องชะงัก แล้วพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“ฮ่า ๆ ๆ ยังเหลือเอลฟ์ต้นไม้อีกสองตน เอ๊ะ นั่นมันสาวน้อยเอลฟ์ต้นไม้นี่ ฮ่า ๆ จับเป็นนะ มีค่ามากเชียวล่ะ!”
พวกนักดาบล้อมเอลฟ์ต้นไม้สองตนที่เหลือไว้ เสียงหัวเราะลามกดังไม่หยุด ทำให้เอลฟ์ต้นไม้สองตนทั้งโกรธทั้งตื่นกลัว
“ฆ่าเอลฟ์ผู้ชายทิ้งซะ” หัวหน้ากลุ่มนักดาบ ซึ่งเป็นปรมาจารย์ดาบพูดเสียงเข้ม
จากนั้นนักเวทในกลุ่มก็ไม่ลังเลที่จะปล่อยลูกไฟออกมาทันที เอลฟ์ต้นไม้ชายร้องครวญครางอย่างทรมานก่อนจะสิ้นชีวิต
เอลฟ์ต้นไม้หญิงมองนักดาบมนุษย์รอบตัวด้วยความโกรธแค้น สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ฮ่า ๆ ๆ เก็บเอลฟ์ผู้หญิงตนนี้ไว้ ถึงจะขายไม่ได้เงิน แต่หลังจัดการเผ่าเอลฟ์ต้นไม้เสร็จ ก็เอาไว้ให้พวกเราสนุกกัน” หัวหน้านักดาบหัวเราะอย่างชั่วร้าย ทำให้นักดาบรอบข้างพากันหัวเราะอย่างลามก
เอลฟ์ต้นไม้หญิงฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง แต่ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ถึงแม้จะมีธนูในมือ แต่ลูกธนูก็หมดแล้ว ต่อให้อยากฆ่าศัตรูก็เป็นไปไม่ได้
เอลฟ์ต้นไม้หญิงโกรธจัดจนอยากจะพุ่งชนต้นไม้ตาย แต่ก็ถูกล้อมไว้ แม้อยากจะทำแบบนั้นจริง ก็ยังทำไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ มีของดีแบบนี้จะเก็บไว้คนเดียวได้ยังไง เห็นแล้วต้องแบ่งกันสิ ฉันก็สนใจเอลฟ์ต้นไม้ตนนี้เหมือนกันนะ” เสียงหยอกล้อดังขึ้นจากนอกกลุ่ม
พวกนักดาบรีบตั้งท่าป้องกันทันที พอเห็นว่าเป็นมนุษย์ก็ถอนหายใจโล่งอก แต่สายตายังไม่เป็นมิตร ไอ้หมอนี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง จะมาแย่งอาหารจากปากเสือหรือ
คนที่มาคือหนิวลี่ เขายิ้มและพยักหน้าทักทายเอลฟ์ต้นไม้หญิง
“เป็นท่านนี่เอง มนุษย์ที่ได้รับพรจากราชินีเอลฟ์น้ำ!” เอลฟ์ต้นไม้หญิงที่กำลังสิ้นหวังร้องอย่างดีใจ พูดเป็นภาษาเอลฟ์
เอลฟ์ต้นไม้คนนี้เป็นสาวน้อยเอลฟ์ต้นไม้ที่ถือถาดที่เคยฟังหนิวลี่พูดเรื่อยเปื่อยนั่นเอง
หัวหน้านักดาบฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ได้ยินน้ำเสียงดีใจ จึงเริ่มระแวง มองหนิวลี่อย่างไม่เป็นมิตรแล้วพูดว่า “สหาย พวกเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน อย่าทำให้เสียน้ำใจกันเลย”
“สหาย?” หนิวลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ได้ ถือว่าเป็นสหายก็ได้ แต่สหายที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงพวกแก
เขาแกว่งดาบใหญ่สีดำ แล้วพูดกับกลุ่มนักดาบว่า “ฉันให้เวลาพวกแกห้าวิ หายไปจากหน้าฉัน ไม่งั้นไม่เหลือสักคนแน่”
ทำท่าเท่เกินไปแล้ว!
พอได้ยินคำพูดของหนิวลี่ พวกนักดาบแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เด็กหนุ่มอายุไม่มาก กล้ามาข่มขู่นักดาบและนักเวทที่แข็งแกร่งงั้นหรือ นี่มันอยากตายชัด ๆ
“นี่แกอยากตายงั้นเหรอ!”
หัวหน้านักดาบโกรธจัด ชี้ดาบใหญ่ไปที่หนิวลี่แล้วพูดเสียงเข้ม “ฟันมันให้เป็นชิ้น ๆ”
“ฮ่า ๆ ๆ” นักดาบสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดหัวเราะอย่างชั่วร้าย ยกดาบใหญ่ขึ้นฟันใส่หนิวลี่
หนิวลี่ถอยหลังอย่างใจเย็น พลางพูดว่า “อับเนอร์ อย่าให้รอดไปสักคน ลงมือ”
“ครับนายท่าน”
เสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่ายักษ์ดังมา เหล่านักดาบที่กำลังจับตามองหนิวลี่อยู่ ก็พบว่ามียักษ์ตนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาทางพวกเขา
“นี่แกกล้าส่งยักษ์ขยะมาดูถูกพวกเราเหรอ ฉันจะสับแกเป็นชิ้น ๆ!” นักดาบมนุษย์ร่างกำยำคนหนึ่งที่มีพลังลมปราณแข็งแกร่งจ้องมองอับเนอร์ด้วยความโกรธ เขาฟันดาบใหญ่ลงมา เสียงดาบผ่าอากาศดังขึ้นพร้อมกับคมดาบที่ฟาดฟันลงมาที่อับเนอร์
คำสั่งที่อับเนอร์ได้รับคือไม่ให้เหลือรอดสักคน นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี
ดังนั้นทันทีที่อับเนอร์เข้าใกล้ เขาก็โจมตีอย่างรวดเร็ว
ดาบใหญ่วาดเส้นแสงผ่านอากาศ จากนั้นนักดาบมนุษย์ร่างกำยำก็ชะงักค้าง
อับเนอร์ไม่หยุด เขาพุ่งไปข้างหน้าต่อ
หัวหน้านักดาบรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบโบกมือสั่งให้เหล่านักดาบกระจายตัวล้อมไว้
“เงาดาบมายา!”
อับเนอร์พุ่งเข้าไปในกลุ่มนักดาบ ยกดาบใหญ่ขึ้น แล้วกระโดดหมุนตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ดาบใหญ่สั่นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงาดาบซ้อนทับกันหลายชั้น จากนั้นเงาดาบเหล่านั้นก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เหล่านักดาบที่กำลังล้อมเข้ามาตกใจ แต่ในระยะใกล้ขนาดนี้ก็ป้องกันไม่ทันแล้ว พวกเขาพยายามหลบเท่าที่จะทำได้
แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ตกใจ ปล่อยให้เงาดาบเหล่านั้นพุ่งทะลุร่างของตนไป
เงาดาบลอยออกไปไกลราว 5-6 เมตรก็จางหายไป
ต่างจากความรู้สึกของดาบที่ฟันเข้าร่างกาย มันเหมือนกับลมที่คมกริบ นักดาบกว่าสิบคนล้มลงกระอักเลือด ส่วนนักดาบคนอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บ
“เป็นไปได้อย่างไร?! มันไม่ใช่เผ่ายักษ์แน่ ๆ” หัวหน้านักดาบตกใจ ขณะที่ถอยหลังอย่างรวดเร็ว เขาก็เริ่มค้นหาในความทรงจำว่าเทคนิคดาบที่น่ากลัวขนาดนี้คืออะไรกันแน่
MANGA DISCUSSION