บทที่ 94 เปิดตำนานบทใหม่ …มาถึงฐานจินหลิง!
ภายนอกฐาน
เมื่อฉู่โม่วเดินออกมา เขาก็พบว่าที่นี่มีผู้คนมากมายกำลังยืนรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว
มองผ่าน ๆ แล้วเขาคิดว่าน่าจะมีอย่างน้อยก็ร้อยคนแน่ ๆ พวกเขาส่วนมากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ และที่ด้านหน้าสุดก็มีปรมาจารย์ยุทธ์อย่างเสิ่นจิ้นและสีอิ้งยืนอยู่ด้วย
นอกจากนี้ เขายังสามารถเห็นช่ายเฟิงผ่าน ๆ ได้จากภายในกลุ่มคนเหล่านี้อีก
ทั้งหมดนี้รู้ว่าฉู่โม่วกำลังจะเดินทาง เพราะงั้นพวกเขาจึงอยากจะมาส่งด้วยตัวเอง
หลังจากที่พูดคุยกับกลุ่มคนเหล่านี้พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามันเริ่มจะสายแล้ว ฉู่โม่วก็พูด “ทุกคน ดูแลตัวเองกันดี ๆ ล่ะ ฉันจะไปแล้ว!”
“คุณฉู่ ถ้ามีเวลาอย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยียนฐานแห่งนี้บ้างนะ!”
เสิ่นจิ้นและคนอื่น ๆ อำลา แม้ว่าในใจจะไม่อยากเอ่ยคำล่ำลาก็ตาม
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ฉู่โม่วพยักหน้า
เขาหันกลับไปมองฐานลู่หยางภายใต้แสงอาทิตย์อีกทีหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวจินพร้อมกับเฉินซีเวย
ด้วยเสียงร้องกังวานของพญาหงส์ปีกทองคำ เสี่ยวจินกระพือปีกขนาดยักษ์ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าไป จนกลายเป็นเพียงลำแสงพาดผ่านท้องฟ้าและหายลับไปในกลีบเมฆ เพียงไม่นานผู้คนที่อยู่เบื้องล่างก็ไม่มีใครมองเห็นร่างของนกยักษ์ตนนั้นอีก
…
ฉู่โม่วและเฉินซีเวยนั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวจิน ในขณะที่เสี่ยวอู๋กับอาไต๋ต่างยืนเกาะอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างของฉู่โม่ว
ระหว่างที่เสี่ยวจินกำลังทะยานสูงขึ้นและไกลจากจุดเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็หันกลับไปมองฐานบ้านเกิด
ภาพของผู้คนที่เคยพูดคุยกันที่ฐานนั้นก็กำลังเล็กลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ ไม่นานนัก แม้แต่ตัวฐานลู่หยางก็เล็กลงตามไปด้วย เมื่อเสี่ยวจินผลุบเข้าไปในกลีบเมฆ ทั้งฐานก็มีขนาดเพียงเม็ดถั่วเหลืองเท่านั้น
สายลมและความกดอากาศรอบตัวเริ่มจะกลายสภาพเป็นดังดาบที่หมายจะบีบร่างของผู้ว่ายผ่านผืนฟ้าให้หายใจลำบาก!
อย่างไรก็ตาม ทั้งฉู่โม่วและเฉินซีเวยล้วนแต่เป็นผู้ปลุกพลังกันทั้งคู่ พลังอณูแห่งชีวิตในร่างของทั้งสองมันไหลเวียนอยู่ไม่หยุด และมันช่วยชดเชยการหายใจได้หากพวกเขาเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ เพราะแบบนี้ หนุ่มสาวทั้งสองจึงไม่มีปัญหาอะไรหากจะกลั้นหายใจไว้สักชั่วโมง
เมื่อหลุดออกมาจากกลีบเมฆอีกครั้ง พวกเขาก็อยู่ห่างจากจุดเดิมมาไกลถึงหมื่นภูผาพันสายธารเสียแล้ว
ก้มมองลงไปตามความสูง ภาพที่เห็นนั้นช่างแตกต่างจากตอนปกติโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อมองไปบนพื้นดิน ทั้งภูเขาและธารน้ำ ล้วนแต่กลายเป็นเพียงหย่อมสีเล็ก ๆ ขนาดพอ ๆ กับกำปั้น หรือในบางแห่งที่เป็นแม่น้ำสายหลัก มันก็มีขนาดเทียบเท่าสายน้ำเล็ก ๆ เท่านั้น
ช่างเป็นภาพที่หาชมได้ยากจริง ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีเวยได้เห็นภาพที่งดงามเสมือนอยู่ในเทพนิยายเช่นนี้ เธออดไม่ได้ที่จะก้มลงไปมองภาพเบื้องล่างด้วยความตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กที่ได้ออกมาเที่ยวครั้งแรก
ในส่วนของฉู่โม่ว เขาได้เห็นภาพเหล่านี้มาบ่อยแล้ว เพราะงั้นจึงเพียงแค่มองไปด้านหลังเล็กน้อยเท่านั้น
ก้า! ก้า!
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวอู๋ที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขาจู่ ๆ ก็เริ่มร้องขึ้นมา
ได้ยินเสียงร้อง ฉู่โม่วก็หยิบเอาผลวิญญาณจากในมิติพกพาออกมา พลันเมื่อเสี่ยวอู๋เห็นของโปรดตน แววตามันก็เป็นประกายแล้วรีบเข้ามากินทันที
บนไหล่อีกข้างหนึ่งของฉู่โม่ว อาไต๋กำลังมองภาพนี้ด้วยความอิจฉาไม่ต่างกัน
แต่ไม่ว่าแม่นกสาวตัวน้อยนี้จะอยากกินมากขนาดไหน มันก็ยังคงเกาะอยู่ที่เดิม โดยไม่กล้าที่จะขยับไปไหน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้จากอาไต๋บ่อย ๆ …อันที่จริง หากผลวิญญาณลูกนี้ถูกป้อนให้เสี่ยวจิน อาไต๋จะไม่รอช้าแล้วบินไปแย่งกินอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่เสี่ยวจิน มันจึงไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น
มันไม่กล้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกัน
แต่เพราะอีกฝ่ายมีสายเลือดนักล่าอยู่ต่างหาก!
เสี่ยวอู๋มีสายเลือดของอีกาสุริยันทองคำ มันถือเป็นจักรพรรดิโดยธรรมชาติของสัตว์อสูร ดังนั้นสัตว์อสูรตนอื่น ๆ จึงเกรงกลัวเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
มันเป็นความกลัวที่ถูกสลักไว้ในหน่วยพันธุกรรม!
จริง ๆ
เมื่อตอนที่เสี่ยวจินและอาไต๋ได้พบกับเสี่ยวอู๋ครั้งแรก พวกมันทั้งสองตนต่างก็ผงะไปพร้อม ๆ กัน แถมยังต้องรีบก้มลงไปกับพื้นและไม่กล้าขยับไปไหนอีกด้วย
มันเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ฉู่โม่วแนะนำสัตว์เลี้ยงทั้งสองให้เสี่ยวอู๋รู้จักอีกพักหนึ่ง อีกาทองคำสามขาตอนนี้จึงเลิกกดดันสัตว์อสูรเบื้องหน้า และปล่อยให้พวกมันได้กลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติอีกครั้ง
แต่…
ถึงอย่างนั้น
บุคลิกของสัตว์อสูรทั้งสองตนนี้ก็สงบเสงี่ยมลงไปอีกเยอะ ไม่มีใครกล้าที่จะเปิดฉากทะเลาะกันเองก่อนต่อหน้าเสี่ยวอู๋ตั้งแต่นั้นมา!
หยิบแผนที่ขึ้นมาดู
ฉู่โม่วกวาดตามองไปตามเส้นทางบนแผนที่ เปรียบเทียบภูมิประเทศเบื้องล่างกับสิ่งที่ถูกขีดเขียนไว้บนแผนที่ในมือ เขาคาดเดาว่าหากภาพที่เห็นนี้ถูกต้อง นั่นแสดงว่า ระยะทางตั้งแต่ที่ขึ้นจากพื้นดินจนมาถึงตอนนี้ในไม่กี่อึดใจ มันเป็นระยะทางกว่าสองพันกิโลเมตรเข้าไปแล้ว
หากยังสามารถเดินทางด้วยอัตราเร็วเท่านี้ตลอด
เพียงแค่สามชั่วโมงก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว
แน่นอน…
ว่านั่นเป็นเพียงแค่การคาดคะเน
เส้นทางที่ใช้เดินทางไปมาระหว่างสองฐานนี้อันตรายมาก ๆ ไม่ว่าจะมีสัตว์อสูรอยู่อาศัยเต็มไปหมด หรือแม้แต่การมีอยู่ของสัตว์อสูรระดับ 6 ไม่ว่าจะยังไง เขาก็เลือกที่จะอ้อมมากกว่าปะทะ
ดังนั้นมันน่าจะต้องใช้เวลามากกว่าที่เขาคำนวณไว้แน่ ๆ
ท่ามกลางความเบื่อระหว่างเดินทาง ฉู่โม่วเริ่มขัดสมาธิและเข้าไปเรียนรู้เจตจำนงแห่งกระบี่อยู่ในเขตแดนกระบี่
ส่วนเฉินซีเวย หลังจากที่เธอเริ่มชินกับทิวทัศน์รอบตัวแล้ว เธอก็เริ่มฝึกเช่นกัน
ด้วยการฆ่าเวลาเหล่านี้ เวลาห้าชั่วโมงก็ผ่านไปราวเพียงกะพริบตา
ท้องฟ้าเริ่มถูกรัตติกาลกลืนกินเข้ามาแล้ว
เวลาพลบค่ำเข้ามาถึง
ฉู่โม่วผู้ที่ดื่มด่ำอยู่กับการเรียนรู้เจตจำนงแห่งกระบี่ก็รับรู้ได้ถึงร่างกายของเสี่ยวจินที่เย็นลง เขารีบกลับมายังโลกจริง เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงพูดของเสี่ยวจิน “นายท่าน ข้างหน้ามีพายุฝนขอรับ!”
“พายุฝนเหรอ?”
ได้ยินเช่นนั้น
ฉู่โม่วก็รีบยืนขึ้นและมองตรงไปข้างหน้าทันที
พลันเมื่อเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แววตาของเขาก็วูบไหวขึ้นมา…
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
ความมืดเบื้องหน้าเกิดขึ้นจากเมฆฝนสีดำครึ้ม มันกินพื้นที่ร่วม ๆ สองกิโลเมตร ภายในเมฆฝนนั้น มีอัสนีสีม่วงปรากฏให้เห็นเรื่อย ๆ สายลมที่อยู่ในเขตนั้นเองก็กระโชกแรงขึ้นด้วยพร้อมกับมีสายฝนโปรยลงมาไม่ขาดสาย ราวกับว่ามีพายุฝนโหมกระหน่ำอยู่ในบริเวณนั้น
ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกของฉู่โม่วจะยังอยู่ด้านนอกเมฆฝน แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในแนวพายุ เพราะงั้นจึงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานไฟฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวกระจายตัวออกมาจากเมฆฝนและเข้าใกล้พวกเขาเป็นระยะ ๆ
ภายใต้แสงระยิบระยับของสายฟ้าเบื้องหน้า ต่อหน้าพลังทำลายล้างอันรุนแรง แม้แต่ฉู่โม่วยังอดใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผลไม่ได้
นี่มัน… พลังแห่งโลกและสวรรค์!
ในสถานที่แห่งนี้ นอกจากสายฟ้าที่ต้องเผชิญแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย ราวกับว่าที่นี่เป็นเพียงความมืดมิดที่โล่งกว้างและว่างเปล่า ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน มันก็ไร้ซึ่งผู้ใด เสมือนว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ในห้วงความมืดนี้
“พลัง… ที่แท้จริงของโลกและสวรรค์!”
ฉู่โม่วพูดด้วยความรู้สึกสั่นไหวไปกับสถานการณ์ตรงหน้า
ขณะนั้น เสี่ยวจินยังอยู่ห่างจากกลุ่มเมฆฝนอยู่ราว ๆ สิบกิโลเมตรได้ ซึ่งพวกฉู่โม่วเองก็อยู่ห่างจากกลุ่มเมฆนั้นไกลกว่านิดหน่อยเพราะขนาดตัวที่มโหฬารของเสี่ยวจิน
เมื่อยืนอยู่บนหลังพญานกยักษ์ ทุกคนจะสามารถเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเมฆดำตรงหน้านั้นเหมือนจะขยับไปมาตลอดเวลา มันปลดปล่อยห่าฝนและอัสนีสีม่วงผสมผสานลงมาไม่ขาดสาย หากปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบินอยู่เหนือฟากฟ้าเช่นนี้เท่านั้น ถ้าฉู่โม่วไม่ตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยวิธีนี้ บางทีตลอดชีวิตเขาอาจจะไม่ได้พบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลยก็ได้
พลังแห่งโลกและสวรรค์กำลังสำแดงพลังให้เห็นตรงหน้า!
“สุดยอดไปเลย!”
เฉินซีเวยที่สัมผัสได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ ลืมตาตื่นพลัน เธอเพ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้น มองไปยังเมฆฝนก้อนยักษ์และอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
เห็นเช่นนั้นแล้ว
เธอก็หันไปหาฉู่โม่วแล้วถามด้วยความอยากรู้ “พวกเราต้องหลีกหนีสิ่งนี้หรือเปล่า?”
“เกรงว่าจะหนีกันไม่ทันแล้วน่ะสิ”
ฉู่โม่วส่ายหน้าขณะพูด
เขาก้มลงมองแผนที่อีกครั้ง ทางด้านซ้ายนั้นเป็นจุดที่ระบุไว้ว่าอาจจะมีสัตว์อสูรระดับ 6 ซ่อนตัวอยู่ ในขณะที่ทางขวาแม้ว่าจะสามารถไปได้ แต่มันถือเป็นการอ้อมที่ค่อนข้างไกลมากเลยทีเดียว
ถ้าหากดิ่งลงไปใช้เส้นทางบนพื้นแทน การจะฝ่าพื้นที่นี้ไปได้จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับ 6 อีกหลายตัว
คิดได้เช่นนั้น
มันก็ทำให้รู้สึกว่า การฝ่าพายุฝนเบื้องหน้านี้ไป มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ก็มิปาน
“งั้น… ตอนนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ?”
เฉินซีเวยถามเสียงเบา
“ดูเหมือนว่าเราจะเหลือแค่ต้องฝ่าพายุฝนนี่ไปอย่างเดียวแล้ว!”
ฉู่โม่วตอบเสียงนิ่ง
ฝ่าพายุฝนที่มีความกว้างกว่าสองร้อยกิโลเมตรน่ะนะ?
ได้ยินฉู่โม่วพูดเรื่อง ‘เกินจริง’ ราวกับพูดจนชินเช่นนั้น เฉินซีเวยก็อดไม่ได้ที่จะช็อก
นี่ยังไม่ได้พูดถึงพวกตนที่เมื่อเทียบกับเมฆฝนตรงหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวกอีกนะ
ทุกตารางเมตรของเมฆครึ้มเหล่านี้ปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าสีม่วงออกมาตลอดเวลาราวกับอสรพิษที่มีแสงในตัวเอง ในขณะที่บริเวณตรงกลางของเมฆปลดปล่อยฝนห่าใหญ่และสายลมที่กระโชกไม่หยุดหย่อน
พลังแห่งโลกและสวรรค์อยู่แค่เอื้อมแล้ว!
แต่ฉู่โม่วไม่ได้กลัวแต่อย่างใด
กลับกันเขายังคิดในใจ
‘ในเมื่อตอนนี้พลังกายของฉันเกือบจะเท่ากับกำลัง 10 ช้างสาร ในแง่ของพลังกายเพียงอย่างเดียว ฉันสามารถเอาชนะจอมยุทธ์คนอื่นได้ไม่ยากนัก!’
‘แล้วถ้ากระตุ้นอณูแห่งชีวิตและเสริมพลังด้วยธาตุสายฟ้า ฉันสามารถเพิ่งพลังได้พอ ๆ กับ 400 ช้างสาร!’
‘ยังไม่พูดถึง… อสนียบาตคงกระพันที่ทำให้สามารถควบคุมสายฟ้าได้อีก!’
‘เจตจำนงแห่งกระบี่สามสิบเปอร์เซ็นต์ที่ช่วยเปิดจุดลมปราณทั้งสามร้อยหกสิบห้าจุดทั่วทั้งร่างกายนั่นด้วย!’
‘ไหนจะกระบวนท่าวรยุทธ์มากมายที่ครอบครองที่ไม่เป็นรองแม้แต่นายพลเมืองซี่เฟิงอีก!’
‘ด้วยไพ่บนมือมากมายขนาดนี้ มันไม่มีทางเลยที่ฉันจะไม่สามารถฝ่าเมฆฝนตรงหน้านี้ไม่ได้!’
ความคิดแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นใจ!
ทันใดนั้น อัสนีสีม่วงก็เริ่มปรากฏขึ้นบนร่างของฉู่โม่ว ซึ่งมีพลังในการทำลายล้างสูงไม่แพ้กัน
และด้วยการปรากฏขึ้นของสายฟ้าบนเรือนร่าง สายลมหวนมากมายมหาศาลปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน!
นี่คือมรสุมสายฟ้า!
ลมหมุนก่อตัวขึ้นรุนแรงพร้อมกับปลดปล่อยสายฟ้าฟาดออกมาตลอดเวลา!
สายลมที่น่ากลัวและรุนแรงนี้พัดเอาเสื้อคลุมและผมของฉู่โม่วให้พลิ้วไปมารุนแรงราวกับกำลังจะโดนลมพัดให้หลุดลอยตามไป
“วันนี้…”
“ฉันจะใช้พายุฝนที่กินพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยหกสิบกิโลเมตรนี่ ทดสอบพลังของฉันให้ได้!”
ในจังหวะที่เสียงพูดเงียบลง
มือหนึ่งไขว้ไว้ที่ด้านหลัง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยื่นออกมาด้านหน้า
เปรี้ยง!
สายฟ้าจากที่ไหนสักแห่งฟาดลงมาบนมือของเขา
มันก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้ามากมายวิ่งไปมาบนร่างของฉู่โม่วจากแต่เดิมที่มีมากอยู่แล้ว กระแสไฟฟ้าเหล่านั้นไหลลงไปยังเท้าและกระจายไปตามพื้นเบื้องล่างจนเหมือนว่าเขากำลังยืนอยู่ในธารสายฟ้า
ขณะเดียวกัน สายฟ้าที่เสมือนงูยักษ์ก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ปะทะกับเมฆดำเบื้องหน้าอย่างรุนแรง!
เมฆดำก้อนใหญ่ที่เสมือนว่ามันหมายจะกลืนกินท้องฟ้าและทำลายพื้นโลกด้วยความมืดมิดเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทุกอณู… มันสั่นเพราะการโจมตีเมื่อครู่จริง ๆ!
พริบตาต่อมา…
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าอีกครั้ง และด้วยเสียงอันดังสนั่นนี้ มันไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณูบนพื้นโลกเลย!
ทันทีที่แสงจ้าของสายฟ้าฟาดนั้นจางหาย เมฆดำก้อนหน้านั้นพลันมลายหายไปจนหมดด้วย!
ราวกับว่าสายฟ้าฟาดเมื่อครู่นี้ ช่วยขจัดหมู่เมฆและหมอกไปให้พ้นทาง และด้วยหยาดฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ มันทำให้ฟากฟ้าทิ้งสายรุ้งไว้เป็นเส้นทางยาวเสมือนว่าเป็นสะพานสายรุ้งสีสันสดใสทอดยาวไปหลายกิโลเมตร
อีกฟากหนึ่งของสะพานสายรุ้งนี้…
เมื่อหลุดออกจากเมฆหมอกสีขาวโพลนไปได้ ภาพเบื้องล่างของเขาก็ปรากฏภูเขาและลำธารมากมายนับไม่ถ้วนอีกครั้ง และที่สำคัญที่ด้านล่างนี้มีฐานขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้วย!
ภูเขาในบริเวณนี้สูงจนเสียดฟ้า! ปลายยอดพุ่งยาวเหนือทะเลหมอกยามเช้า แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบร่างของพวกเขานี้ มันเหมือนว่าเป็นสัญญาณที่บอกว่าได้มาถึงดินแดนแห่งใหม่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นช่วงเวลามืดแท้ ๆ แต่พออุปสรรคผ่านพ้นไป ท้องฟ้าและแสงแดดอันสดใสนี้ก็เปล่งประกายต้อนรับการมาของพวกเขาอย่างสมภาคภูมิ!
และที่เบื้องล่างของภูเขาสูงลูกนี้
คือทะเลสาบไป่ฉวน ทะเลสาบที่ผิวน้ำกำลังส่องประกายรับแสงที่ตกกระทบและเกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามเบื้องล่าง ที่ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทัศนียภาพด้านบนอย่างลงตัว
ในส่วนของตัวฐาน มันมีขนาดใหญ่เสียจนเขาไม่สามารถเห็นได้เลยว่าตรงไหนคือจุดสิ้นสุดของฐานนี้
มีตึกสูงมากมายตระหง่านให้เห็นจากเบื้องบน และมีแสงสว่างมากมายส่องให้เห็นเป็นเส้นสายอยู่ที่ด้านล่างนั้น
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะต้องเจอกับมวลอากาศที่น่าอึดอัด แต่ในตอนนี้ กระแสอากาศมันเปลี่ยนไปแล้ว
อากาศบริเวณนี้ แฝงไปด้วยความโอ่อ่าราวกับมาจากคนละโลกกัน
ใช่แล้ว นี่คือหนึ่งในสามสิบหกฐานขนาดใหญ่ของมวลมนุษยชาติ ฐานจินหลิง!
“นี่… นี่เหรอคือปลายทางของพวกเรา?”
มองไปยังฐานขนาดใหญ่นั้น เฉินซีเวยก็สัมผัสได้ถึงความสูงส่งและมโหฬารผ่านมวลอากาศที่พัดเข้ามา
ที่นี่คือ ฐานจินหลิง!
สถานที่ที่ซึ่งพวกเขาจะได้อยู่อาศัยในอนาคต!
สถานทีที่ถือว่าเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งสองคน!
“ไม่ผิดแน่! พวกเรามาถึงกันแล้ว”
ฉู่โม่วพูดพึมพำด้วยเสียงเบา
จากนั้น
เขาก็หันไปจับมือของเฉินซีเวยไว้ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ! เข้าไปในเมืองกัน!”
MANGA DISCUSSION