บทที่ 90 จากฐานจินหลิง และพรสวรรค์โดยกำเนิดของเสี่ยวอู๋!
ช่วงที่ฉู่โม่วกำลังพัฒนาความสัมพันธ์ของตนกับเสี่ยวอู๋
ขณะเดียวกัน
ภายในส่วนที่ลึกที่สุดของฐานลู่หยาง เสิ่นจิ้นและปรมาจารย์ยุทธ์อีกสี่คนต่างกำลังยืนเคารพเหล่าผู้ปลุกพลังกว่าสิบสองคนที่กำลังลงมาจากเรือเหาะและเพิ่งเข้าเทียบท่าด้วยความยินดี
พวกเขาทั้งสิบกว่าคนนี้สวมใส่ชุดหลากสีสันรวมถึงปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของอหังการ ขั้นต่ำสุดของผู้ปลุกพลังเหล่านี้คือจอมยุทธ์
ไม่นานนักหลังจากที่พวกเขาลงจากเรือเหาะมาแล้ว คนเหล่านี้ก็เป็นขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อย่างที่คิดเลยจริง ๆ ที่ห่างไกลแบบนี้มีอณูแห่งชีวิตต่ำมากจริง ๆ ด้วย!”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่นี่ยังมีผู้ปลุกพลังเกิดขึ้นมาได้”
“ตัวฐานเองก็โบราณคร่ำครึ อย่างกับความซิวิไลซ์เข้ามาไม่ถึงซะงั้นแหละ”
ผู้ปลุกพลังเหล่านี้ต่างวิพากษ์วิจารณ์ฐานลู่หยางกันราวกับเป็นเรื่องปกติ ใช่แล้ว รวมถึงถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามนั่นด้วย
อีกฝั่งหนึ่ง
เหล่าปรมาจารย์ยุทธ์ของฐานลู่หยาง เสิ่นจิ้นกับสีอิ้งที่มารับคนเหล่านี้ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยหลังได้ยินคำวิจารณ์เหล่านี้
“พวกท่านทั้งหลาย การเดินทางไกล ๆ เช่นนี้คงจะเหนื่อยกันน่าดูเลยสินะครับ ถ้ายังไง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้ให้แล้ว ขอเชิญพวกท่านมาพักผ่อนกันที่งานเลี้ยงของพวกเรากันจะดีกว่าครับ!”
สีอิ้งสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามข่มความโกรธเอาไว้ในใจ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนับถือ
“พวกนายไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยงอะไรนั่นให้ก็ได้นะ”
จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งเหลือบมองสีอิ้งอย่างไม่แยแสนักก่อนจะพูดขึ้นต่อด้วยความเฉื่อยชา “ฐานเล็ก ๆ แบบนี้ ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้ฉันอยากจะอยู่นานสักเท่าไร เพราะงั้นฉันจะจัดการเรื่องที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกลับเลย!”
“ใช่แล้ว ฉันน่ะมารอฟังว่าต้องทำอะไรบ้างเฉย ๆ คิดหรือไงว่าพวกเรามีเวลาว่างเหลือเฟือพอจะมากินอะไรกับพวกนายน่ะ?”
“เร็วเข้า! รีบ ๆ รายงานมาได้แล้วว่าพวกนายเจออะไร”
“พวกฉันจะจัดการสัตว์อสูรในรอยแยกมิตินั่น เสร็จแล้วจะได้กลับ ๆ ไปสักที!”
“อณูแห่งชีวิตของที่นี่ต่ำจนฝึกอะไรไม่ได้เลย ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางพลังงานสกปรกอย่างไรอย่างนั้น พูดตามตรงเลยนะ ฉันไม่ได้อยากจะอยู่ในที่แบบนี้นานสักเท่าไรหรอก”
แต่ละคนเริ่มจะพูดเหยียดหยามกันแล้ว
พวกเขาไม่อ้อมค้อมกันเลย!
การที่ได้แต่เป็นผู้รับฟังถ้อยคำหยามเกียรติโดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้นั้น ไม่แปลกเลยที่เสิ่นจิ้นและคนอื่น ๆ ในฐานลู่หยางจะรู้สึกโกรธ
แต่ในตอนนี้ สถานการณ์มันไม่ได้เป็นต่อให้ฝั่งพวกเขา อีกทั้งยังจำเป็นต้องพึ่งพลังของคนเหล่านี้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องช่องว่างมิติ ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงกล้ำกลืนความชอกช้ำใจนี้ไว้เท่านั้น
“เช่นนั้น ในเมื่อพวกท่านผู้สูงส่งไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานนัก ฉันก็จะนำทางไปยังรอยแยกของมิตินั่นเอง จะว่าไป… ฉันว่าฉันไม่เห็นคนระดับนายพลเมืองมาในกลุ่มของพวกคุณเลยนะ?”
สีอิ้งพูดขึ้นด้วยความสงสัย
เมื่อตอนที่เขารายงานข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูรในช่องว่างมิติ ทางฐานจินหลิงได้ให้คำตอบกลับมาว่า พวกเขาจะส่งผู้ปลุกพลังที่แข็งแกร่งระดับนายพลเมืองประจำฐานมาห้าคนสำหรับการช่วยเหลือในเรื่องนี้
ทว่าท่ามกลางผู้ปลุกพลังขั้นต่าง ๆ ที่ถูกส่งมา เขากลับไม่พบผู้ปลุกพลังตามที่ว่าไว้อยู่เลย เพราะงั้นจึงเกิดเป็นความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“นายพลเมืองอะไรของนาย คิดเหรอว่าพวกนายจะได้เจอเขาง่าย ๆ?”
ปรมาจารย์ยุทธ์จากฐานจินหลิงพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
จากนั้น
เขาก็พูดต่อด้วยความใจร้อน “เอาล่ะ ๆ เลิกพูดมากได้แล้ว แค่พาพวกฉันไปที่นั่น ที่เหลือพวกเราจะจัดการต่อเอง!”
“เข้าใจแล้ว ๆ ฉันพูดมากเอง ต้องขออภัยพวกท่านด้วยจริง ๆ ”
สีอิ้งรีบพูดด้วยใบหน้ายิ้ม
พูดจบเขาก็พากลุ่มคนเหล่านี้ไปยังช่องว่างมิตินั้นทันที
…
อีกฝั่งหนึ่ง
ภายใต้การฝึกฝนอย่างไม่ขาดตอนของฉู่โม่ว ในที่สุดเสี่ยวอู๋ก็กลายเป็นสัตว์อสูรระดับ 5 ไปเป็นที่เรียบร้อย
สัตว์อสูรระดับ 5 นี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าถือเป็นแม่ทัพของเหล่าอสูรได้เลย
ในสายตาของเหล่าสัตว์อสูรตนอื่น ๆ มันคือนายเหนือหัวที่ไม่สามารถแข็งข้อใส่ได้
หากเป็นสัตว์อสูรตนอื่น ๆ การพัฒนาจากระดับ 4 เพื่อขึ้นเป็นระดับ 5 นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สำหรับเสี่ยวอู๋ มันทำได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลย
เสมือนเป็นการนั่งเรือข้ามฟาก ที่แม้จะช้าหน่อยแต่เพียงไม่นานก็สามารถถึงฝั่งได้อย่างง่ายดาย
แต่ฉู่โม่วก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
นี่เป็นเพราะคุณลักษณะโดยกำเนิดของเสี่ยวอู๋ที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองอย่างแท้จริง
หลังจากที่เข้าสู่ระดับ 5 ได้ เสี่ยวอู๋ก็ได้ปลุกพรสวรรค์โดยกำเนิดของตนเองขึ้นมาได้ แถมมันยังมีมากถึงสองอย่างเลยด้วย!
อย่างแรกคือทะยานสายรุ้ง!
ความเร็วสูงสุดของพญาหงส์ปีกทองคำตนนี้จะถูกเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ร่างของมันจะกลายเป็นสายรุ้งที่พุ่งผ่านผืนฟ้า ขนานไปกับเส้นขอบฟ้า มันสามารถเดินทางเป็นระยะทางกว่าหนึ่งพันหกร้อยกิโลเมตรได้ในชั่วพริบตา เทียบได้กับความเร็วของแสงเลย!
ส่วนอย่างที่สอง เพลิงวิหคทองคำ!
ขนสีทองอร่ามที่อยู่บนปีก ยามที่โบกสะบัดแรง ๆ มันจะถูกเปลวเพลิงจุดประกายและพุ่งลงมาจากฟากฟ้าราวกับดาบไฟที่มีความร้อนระดับที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนได้
ด้วยพรสวรรค์ที่น่าทึ่งทั้งสองนี้ ถึงแม้ว่าเสี่ยวอู๋จะยังเป็นแค่สัตว์อสูรระดับ 5 ชั้นต้นเท่านั้น แต่มันก็สามารถสู้กับสัตว์อสูรระดับ 5 ชั้นกลางได้สบาย ๆ!
นี่แสดงให้เห็นว่าอีกาทองคำสามขาตนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน!
เมื่อได้เห็นเสี่ยวอู๋แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ ฉู่โม่วก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย
ภายหลังจากที่แยกตัวจากฐานมาเพื่อฝึกฝนเป็นเวลานาน ฉู่โม่วก็อยากจะกลับฐานไปเพื่อดูสถานการณ์ทางฐานแล้วว่าความช่วยเหลือจากฐานอื่นจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องรอยแยกระหว่างมิติได้หรือยัง
ถ้ามันถูกแก้ไขไปแล้ว ฐานลู่หยางคงจะสงบสุขไปได้อีกพักใหญ่ ๆ เลย
ไว้เดี๋ยวเฉินซีเวยกลับมา เขาค่อยพาเธอออกจากที่ฐานแล้วเดินทางไปฐานจินหลิงด้วยกัน
สรุปสิ่งต่าง ๆ เสร็จ ฉู่โม่วก็ก้าวเท้าออกจากประตูไป
…
ภายในฐาน ฉู่โม่วตามหาตัวเสิ่นจิ้นและคนอื่น ๆ เพื่อจะถามไถ่ข่าวคราวที่เกิดขึ้น ทว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในฐานแล้ว จากข่าวสารที่ได้รับมา มันทำให้เขารู้ว่า เสิ่นจิ้นและคนอื่น ๆ ถูกคนจากฐานจินหลิงขอให้นำทางไปยังรอยแยกของมิติที่เป็นปัญหา
เพราะภายในฐานตอนนี้ไม่มีคนที่เขาคุ้นเคยเหลืออยู่ มันเลยทำให้ฉู่โม่วไม่รู้จะถามข่าวจากใครต่อดี
ทว่า
ตอนนั้นเอง
ร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็ผ่านหน้าเขาไป ร่างที่กำลังเดินช้า ๆ ด้วยขาข้างหนึ่งที่ไม่ดีนัก
“ช่ายเฟิง!”
ฉู่โม่วจำเขาได้ดี เพราะงั้นจึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหา
“อ๋า คุณฉู่นี่เอง! กลายเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้วสินะครับ!”
ช่ายเฟิงที่ได้ยินเสียงรีบหันมามองตาม เขาตื่นตระหนกก่อนจะรีบทำความเคารพเมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้ทักทายเขา
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้”
ชายหนุ่มโบกมือและมองไปยังช่ายเฟิงที่เดินขากะเผลกช้า ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เกิดอะไรขึ้นกับนายหรือเปล่า?”
อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน ช่ายเฟิงนำทีมนักล่าสายลมออกไปทำภารกิจต่าง ๆ เขาเป็นคนที่มีพลังงานเหลือล้นมาก ๆ
ในครั้งล่าสุดที่เจอกันในป่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะตกที่นั่งลำบากอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ทว่าในตอนนี้ เขากลับอยู่ในสภาพที่ขาเป๋ไปข้างหนึ่งเสียอย่างงั้น
เกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นกันนะ?
ได้ยินคำถามของฉู่โม่วเช่นนั้น สีหน้าเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของช่ายเฟิง เขาหลั่งน้ำตาออกมา “พวกเขาตายหมดแล้ว… ตายหมด…”
“ตายหมด?”
ฉู่โม่วสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อย ๆ พูด “ไม่เป็นไรนะ ค่อย ๆ เดินช้า ๆ เราไปหาที่สงบคุยกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น”
ภายในโรงน้ำชา
ช่ายเฟิงนั่งอยู่ด้านหน้าฉู่โม่ว ก่อนจะเริ่มเล่าช้า ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
และได้ความว่า เมื่อครั้งที่แยกจากกันไปตอนนั้น ช่ายเฟิงนำทีมของตนกลับมายังฐาน เตรียมความพร้อมเพื่อที่จะเข้าสู่การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง
ใครจะไปคาดคิด
เมื่อห้าวันก่อน
ปรมาจารย์ยุทธ์กว่าสามสิบเจ็ดคน ผนวกกับนายพลเมืองซี่เฟิงห้าคน ได้เดินทางจากฐานจินหลิงมาตรวจสอบรอยแยกแห่งมิติที่นี่
น่าเสียดาย
เพราะพวกเขานั้นเย่อหยิ่งเกินไป ผลลัพธ์ย่ำแย่ชนิดที่ไม่เป็นท่าอะไรเลย
พวกเขาสูญเสียปรมาจารย์ยุทธ์ไปกว่าสามสิบคน รวมไปถึงนายพลเมืองอีกหนึ่งคนด้วย!
ได้ฟังเช่นนั้น
มันก็ทำเอาฉู่โม่วพูดอะไรไม่ออกทันที
นายพลเมืองซี่เฟิง ถือเป็นตำแหน่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรมาจารย์ยุทธ์เสียอีก!
พวกเขาแต่ละคนสามารถทลายภูผาหรือแยกทะเลได้ง่าย ๆ เลยเพียงการเคลื่อนไหว
ไม่คาดคิดเลยว่าหนึ่งในสุดยอดคนเหล่านี้จะต้องพ่ายให้กับช่องว่างมิติแห่งนี้!
แต่นี่มันก็เรื่องธรรมดา
ฉู่โม่วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสัตว์อสูรที่อยู่ภายในรอยแยกมิติดังกล่าว ไม่ต้องพูดถึงมังกรสมุทรที่สามารถสู้กับนกเฟิงหวงที่เป็นสัตว์อสูรระดับ 6 ได้ตัวนั้นเลย ถึงแม้ว่ามันจะบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกกำจัดได้ง่าย ๆ!
นอกจากนี้ ภายในนั้นยังมีสัตว์อสูรระดับ 5 อยู่เป็นจำนวนมากด้วย
หากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่มากพอก่อนจะเข้าไปด้านใน รับรองว่าไม่มีทางรับมือพวกมันได้แน่ ๆ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
ฉู่โม่วถามต่อ
“การสูญเสียนายพลเมืองซี่เฟิงทำให้เหล่าคนที่มาจากฐานจินหลิงตกใจกลัวกันมาก ๆ พวกเขารีบสั่งการเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียไปมากกว่านี้ ทำตัวเองเหมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแล้วส่งจอมยุทธ์เข้าไปคอยตรวจสอบสถานการณ์ภายในช่องว่างระหว่างมิติที่ฐานลู่หยาง จากนั้นก็ให้พวกผู้ฝึกยุทธ์หรือแม้แต่ผู้ปลุกพลังที่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์เข้าไปเป็นเหยื่อ โดยไม่มองว่าพวกเราเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกันด้วยซ้ำ!”
“เพราะแบบนี้ ในหลายวันมานี้จึงมีคนมากมายล้มตายกันภายในรอยแยกที่ว่า”
“ทีมของฉันเองก็ถูกบังคับให้ทำเรื่องพวกนี้ด้วย พวกเราต้องเผชิญกับสัตว์อสูรระดับ 5 ที่แข็งแกร่งมาก ๆ ตนหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาตายกันหมด ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่โชคดีและรอดมาได้ แต่ก็แลกกับการที่ตัวเองต้องกลายมาเป็นคนไร้ค่าเช่นนี้…”
พูดมาถึงตอนนี้ ช่ายเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ชายชาตรีสูงร่วมสองเมตรที่เคยเป็นที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งประจำฐาน บัดนี้กำลังนั่งร้องห่มร้องไห้ไปกับสิ่งที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ซึ่งพอได้รับรู้เช่นนั้น ฉู่โม่วก็อดถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้เช่นกัน
“เสียใจด้วยนะ”
เขาตบไปที่ไหล่ของช่ายเฟิงเบา ๆ และปลอบอีกฝ่าย
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจหยิบเอาผลวิญญาณออกมาจากมิติพกพา วางมันให้ช่ายเฟิงและเดินจากไป
นานขนาดไหนไม่แน่ใจกว่าช่ายเฟิงจะฟื้นสติคืนมา
แต่ในตอนนั้น
ฉู่โม่วก็หายไปจากข้างกายโดยที่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปไหนเสียแล้ว
ตรงหน้าเขา มีเพียงกล่องหยกขนาดเล็กมาก ๆ ใบหนึ่งเท่านั้น
“นี่คือ…”
เปิดสิ่งนั้นออกมาช้า ๆ
นัยน์ตาของเขาเปิดกว้างออกมาทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกเก็บไว้ภายใน
“ผลวิญญาณสีม่วง!?”
ด้วยความตกใจนี้ ช่ายเฟิงถึงกลับหายใจไม่ทั่วท้องไปพักใหญ่เลย
ผลวิญญาณสีม่วงนี้ ถือเป็นหนึ่งในสมบัติที่หาเจอได้ยาก มันอัดแน่นไปด้วยอณูแห่งชีวิตในปริมาณมาก มากพอที่จะสามารถช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายได้เลย และมูลค่าของมันในตลาดก็ถือว่าสูงมากเสียด้วย
นั่นหมายความว่า
ผลวิญญาณสีม่วงนี้ สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของเขาได้ รวมถึงยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้อีกด้วย!
“ขอบคุณมาก ๆ เลยครับคุณฉู่!”
“บุญคุณของท่านในครั้งนี้ ช่ายเฟิงผู้นี้จะสลักลึกลงไปในหัวใจ และไม่มีวันลืมเลยครับ!”
เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ฉู่โม่วทิ้งไว้ให้อย่างแน่นอน และเขาก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง
…
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉู่โม่วเลือกที่จะทิ้งผลวิญญาณสีม่วงนี้ไว้ให้ช่ายเฟิง นั่นก็เพราะอีกฝ่ายนั้นมีนิสัยที่ค่อนข้างเหมือนกันกับตน เขาอยากช่วยคนคนนี้
อีกอย่างหนึ่งก็เพราะผลวิญญาณสีม่วงไม่ใช่ของล้ำค่าในสายตาของฉู่โม่วสักเท่าไร
เขายังมีสิ่งนี้อยู่อีกมากมายภายในมิติพกพา
เช่นนั้นแล้ว ยอมให้คนอื่นสักนิดสักหน่อยก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขาเลย
ฉู่โม่วกลับมายังบ้านของตน และเริ่มฝึกฝนเจตจำนงแห่งกระบี่ต่อในระหว่างที่รอให้เฉินซีเวยกลับมา
สามวันให้หลัง
ข้อความหนึ่งก็ถูกส่งกลับมาที่ฐาน
ได้ความว่า นายพลเมืองซี่เฟิงหลายคนได้นำปรมาจารย์ยุทธ์ในการดูแลของตนเข้ากำจัดสัตว์ร้ายจำนวนมากที่อยู่ภายในช่องว่างแห่งมิติตัวปัญหา ในตอนสุดท้าย พวกเขาได้เผชิญหน้ากับมังกรสมุทรระดับ 6 ที่บาดเจ็บอยู่
การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นขึ้นทันที
นายพลเมืองจำนวนสี่คนช่วยกันล่อจับมันด้วยค่ายกลของพวกตน จากนั้นก็ใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะกำจัดมันได้
ดังนั้นแล้ว
ตัวอันตรายของช่องว่างระหว่างมิตินี้ ถูกคลี่คลายลงแล้ว
จากนี้ ฐานจินหลิงจะส่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษเข้ามายังรอยแยกเพื่อทำการศึกษาและพัฒนา และในฐานะที่ฐานลู่หยางอยู่ใกล้ที่สุด พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากฐานจินหลิง ในเรื่องของทรัพยากรในการก่อสร้างอีกด้วย
ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้
เมื่อข่าวนี้ถูกแพร่กระจาย แทนที่ภายในฐานจะได้รู้สึกถึงความปีติยินดี พวกเขากลับตกอยู่ในความโศกเศร้าแทน
นั่นก็เพราะกลุ่มคนที่มาจากฐานจินหลิงใช้ผู้ปลุกพลังจากฐานลู่หยางเสมือนเป็นเพียงอาหารสัตว์อสูร
ภายใต้ชัยชนะที่อีกฝ่ายต่างดีอกดีใจ มันคือซากศพของเหล่าผู้ปลุกพลังนับไม่ถ้วนที่ถูกส่งไปตายอย่างไร้เยื่อใย
ไม่มีการกล่าวถึงการเสียสละเหล่านี้ พวกเขาถูกลืมเลือนราวกับไม่เคยได้ทำอะไรทั้งสิ้น
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากคนภายในฐานลู่หยางจะไม่รู้สึกยินดีกับสิ่งนี้
ทว่ายังไงเสียคนเหล่านั้นก็มาจากฐานขนาดใหญ่ พวกเขาทรงพลัง ไม่มีอะไรเลยที่คนจากฐานลู่หยางเล็ก ๆ จะสามารถเทียบได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือข่มความโกรธเอาไว้ และไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น
หนึ่งวันหลังจากนั้น
กำลังเสริมจากฐานจินหลิงก็กลับมายังฐานลู่หยางพร้อมชัยชนะ ก่อนจะกลับไปยังฐานของพวกตนอีกทีหนึ่ง
ในวันเดียวกัน
ฉู่โม่วเองก็ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดด้วย
ในตอนนี้ เขาได้รับข่าวคราวมาจากเสี่ยวจิน
มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น… กับเฉินซีเวย!
MANGA DISCUSSION