บทที่ 69 นั่นฉู่โม่วงั้นเหรอ!?
ผู้ปลุกพลังทั่วไปต่างเข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างยากลำบาก
แต่สถานการณ์ที่เหล่าปรมาจารย์ยุทธ์เผชิญอยู่ มันยิ่งหนักหนายิ่งกว่า
ปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งเจ็ดคนรวมไปถึงเสิ่นจิ้นถูกสัตว์อสูรระดับ 4 กว่าสิบสองตัวเข้าห้อมล้อมไว้
ต่อให้พยายามจะปลีกตัวออกซ้ายหรือขวา แต่ท้ายสุดเหล่าสัตว์อสูรพวกนั้นก็จะขยับมาล้อมไว้ได้อย่างเดิม
ชัดเจนแล้วว่า
พวกมันพยายามจะล้อมกรอบเพื่อจัดการเหล่าปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งหมด ไม่ให้ใครหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!
“อย่ามาดูถูกคนแก่นะเว้ย!!”
ตู้ม!!
ปรมาจารย์ยุทธ์คนหนึ่งที่บาดเจ็บหนักและเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดแล้วตะโกนขึ้น
เขามองไปยังสัตว์อสูรระดับ 4 ที่ล้อมตนไว้อยู่ด้วยสีหน้าสิ้นหวัง กระนั้นด้วยจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายกล้ำกลืนเลือดที่ไหลออกจากปากและเค้นเอาพลังจากทั่วทั้งร่างออกมา ก่อนชายชราจะวิ่งเข้าไปกลางวงของสัตว์อสูรที่น่ารังเกียจและระเบิดพลังออกมาพร้อมกับร่างของตนเองไปด้วย!!
พลังของระเบิดอณูแห่งชีวิตนั้นรุนแรงมากระดับที่สามารถกำจัดสัตว์อสูรระดับ 4 ได้ตัวหนึ่ง ขณะที่สัตว์อสูรตนอื่นก็บาดเจ็บหนักกันไม่น้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เหล่าสัตว์อสูรที่พร้อมสู้อยู่รอบ ๆ ลดจำนวนลงไปด้วย
แต่ก็เท่านั้น…
มันยังมีสัตว์อสูรระดับ 4 อีกนับสิบตัวที่พยายามเข้าโจมตีปรมาจารย์ยุทธ์ที่เหลือ
หนึ่งในเป้าหมายของพวกมันนั้นก็มีเสิ่นจิ้นรวมอยู่ด้วย เขาสู้จนไม่สามารถยืนค้ำยันได้อีกต่อไป เขาพยายามถอยออกจากวงล้อมสัตว์อสูรด้วยร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือด
“สหาย… แค่ก! ฉัน… ทนไม่ไหวแล้ว… แค่ก ๆ! ถ้ายังไง… ฉันขอล่วงหน้าไปก่อนก็แล้วกัน!”
ขณะนั้นเอง
ชายวัยกลางคนผู้เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ก็พูดขึ้นพร้อมกับสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก เขายิ้มและกระอักเลือดออกมา
“ไม่ต้องห่วงเพื่อนรัก ฉันไม่ปล่อยให้เจ้ารอที่โลกฝั่งนู้นนานนักหรอก!”
ข้าง ๆ เขามีชายสูงวัยอีกคนหนึ่งที่แขนหนึ่งข้างขาดไปแล้ว ตัวเขาหัวเราะออกมา ณ จังหวะนั้น ในขณะที่ภายในใจกำลังคิดจะเข้าไประเบิดพลังอณูแห่งชีวิตใส่สัตว์อสูรเหล่านั้นเช่นกัน
ได้ยินเช่นนั้น
ปรมาจารย์ยุทธ์วัยกลางคนก็หัวเราะออกมา “ผู้อาวุโสเจียงฮ่าว ตอนแรก ๆ ผมก็ไม่ชอบท่านสักเท่าไหร่หรอกนะ ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะได้เห็นท่านกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ เพราะงั้น… ผม เว่ยฮ่าวจิง ขอกล่าวขอโทษที่ได้ล่วงเกินท่านไป และยอมรับว่าท่านเองก็เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครคนหนึ่งเช่นกัน!”
“เฮ้ย ๆ คิดว่าคนอย่างฉันต้องการความนับถือจากคนหนุ่มบั้นปลายอย่างแกหรือไงฟะ?”
ปรมาจารย์ยุทธ์สูงวัยนามว่าเจียงฮ่าวพ่นลมหายใจอย่างหยิ่งผยอง
ทั้งสองคุยกันไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยุดนิ่ง
พลังอณูแห่งชีวิตที่รุนแรงถูกกระตุ้นและส่งไปทั่วทั้งร่างกาย มันถูกรวบรวมดั่งเทียนชีวิตที่ยังไม่ดับมอด จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็วิ่งเข้าไปหาฝูงสัตว์อสูรอย่างไม่เกรงกลัว
หลังจากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดสองครั้งตามกันมาติด ๆ คลื่นอัดกระแทกรุนแรงกระจายวงกว้าง อันเป็นสัญญาณว่า โลกได้สูญเสียปรมาจารย์ยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกสองคนแล้ว
การระเบิดพลังอณูแห่งชีวิตที่จ่ายด้วยชีวิตของพวกเขาสามารถกำจัดสัตว์อสูรระดับ 4 ได้ถึงสามตัว รวมถึงทำให้สัตว์อสูรตนอื่น ๆ บาดเจ็บหนักได้อีกมากมาย
เพียงเวลาสั้น ๆ ปรมาจารย์ยุทธ์สามคนก็ถูกกำจัดลงไป
รวมเสิ่นจิ้นเข้าไปด้วยแล้วในตอนนี้ มีปรมาจารย์ยุทธ์เหลือเพียงสี่คนเท่านั้น
ในส่วนทางฝั่งของสัตว์อสูร มันยังคงเหลืออย่างน้อย ๆ ก็สิบสองตน
“เพื่อนยาก ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะบีบบังคับให้พวกเราเลือกทำไม่ต่างจากพวกเขานักหรอกนะ”
เสิ่นจิ้นมองไปรอบ ๆ ตัว เขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
“เสิ่นจิ้น สัตว์อสูรเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเราไม่มีทางปกป้องได้แม้กระทั่งฐานลู่หยางแน่ ๆ …อีกทั้งพวกเราเองต่างก็บาดเจ็บหนักจนยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่นายต่างออกไป… นายยังมีโอกาสใช้ชีวิตต่อ!”
“พวกเราจะช่วยนาย… ให้รอดออกไป แล้วใช้ชีวิตที่เหลือให้ดี!”
“ใช่แล้ว คนที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรอย่างนาย มีโอกาสรอดมากที่สุดแล้ว”
ปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสามหาข้อเสนอรวมกัน
“พวกคุณตั้งใจจะสู้จนตัวตาย แล้วทำไมฉันต้องรอดไปคนเดียวด้วยเล่า!”
เสิ่นจิ้นลูบเครางามของตนและจ้องมองไปยังกลุ่มสหายเก่า “ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งในพวกเราต้องตาย ฉันเองก็จะขอตายตามกันไป ณ ที่แห่งนี้ด้วย!”
นั่นเพราะเขาไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ต่อเพียงลำพัง
แต่ถึงอย่างนั้น ปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสามที่ได้ตัดสินใจแล้วก็ไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด แต่ละคนต่างมองไปยังทิศทางของตนเอง เพื่อวางแผนและหาตำแหน่งที่จะเข้าไประเบิดคลื่นพลังอณูแห่งชีวิต โดยมีเป้าหมายคือการสร้างทางรอดให้แก่เสิ่นจิ้น
พวกเขาต้องการซื้อชีวิตของเสิ่นจิ้นด้วยชีวิตของพวกเขาเอง
อย่างไรก็ตาม
ขณะที่ทั้งสามเตรียมจะเข้าไปประจำตำแหน่งแล้วระเบิดคลื่นพลังอณูแห่งชีวิต
ภายในฐาน คลื่นกระบี่ปริศนาขนาดใหญ่ก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า มันห่อหุ้มไปด้วยพลังที่น่าเหลือเชื่อขนาดที่ไม่มีอะไรสามารถหยุดมันได้ สิ่งนี้พุ่งผ่านทุกสิ่งอย่างเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ฉั้วะ!
สัตว์อสูรระดับ 4 ตนหนึ่งที่เผอิญเข้ามาขวางเส้นทางของคมกระบี่นั้นไม่ทันได้ตั้งตัวใด ๆ ทั้งสิ้น มันไม่สามารถหลบได้ แต่ถูกคมกระบี่พุ่งผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัวอะไรเลย
ร่างนั้นหยุดนิ่ง ก่อนที่ในวินาทีต่อมา
ร่างที่หยุดนิ่งไปก็ค่อย ๆ ล้มลงโดยแยกเป็นสอง ส่วน!
ตึง!
เพราะขนาดที่ใหญ่โต ยามที่ร่างของมันร่วงหล่นลงไปบนพื้น มันเลยทำให้สัตว์อสูรขนาดเล็กที่โชคร้ายถูกทับตายไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่มัน… คลื่นกระบี่!?”
“สามารถกำจัดสัตว์ร้ายระดับ 4 ได้ด้วยกระบวนท่าเดียว… หรือว่า ภายในฐานแห่งนี้ยังมีปรมาจารย์ยุทธ์หลบซ่อนอยู่อีกงั้นเหรอ!?”
“ไม่ใช่… ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น… แต่ไม่ใช่ปรมาจารย์ยุทธ์ระดับทั่วไปแน่ ๆ !”
แววตาของเสิ่นจิ้นหรี่มองไปยังคลื่นกระบี่ที่กำลังเคลื่อนที่ต่อ ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจสุด ๆ
การที่คลื่นกระบี่นี้สามารถตัดร่างของสัตว์อสูรระดับ 4 ได้ด้วยการเคลื่อนผ่านเพียงครั้งเดียว นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ที่ใช้มันมีความแข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ยุทธ์เลย แต่นอกเหนือจากความจริงที่เห็น เขากำลังรู้สึกว่าปรมาจารย์ยุทธ์เจ้าของคลื่นกระบี่นี้ไม่ใช่คนทั่วไปอย่างแน่นอน!
เขาเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ภายในฐานลู่หยางมานาน ดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีปรมาจารย์ยุทธ์ซ่อนตัวอยู่แน่ ๆ!
ถ้างั้นแล้ว…คนคนนี้เป็นใคร?
ความสงสัยเกิดขึ้นภายในใจของเสิ่นจิ้น
หวังได้เพียง
คำตอบของมันคงจะได้ประจักษ์ในเร็ว ๆ นี้!
ครืน!
ทันใดนั้น
เสียงฟ้าก็เริ่มคำรามออกมาจากฟากฟ้า
แม้ในตอนแรกจะเป็นเหมือนฟ้าร้องทั่วไป แต่เพียงไม่นาน มันก็เริ่มทวีความรุนแรงและส่งเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งมันหยุดเงียบลง
ท่ามกลางความสงบนิ่งของทุกสรรพสิ่งในสมรภูมิอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ลูกบอลสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนมันจะกลายเป็นสายฟ้าฟาดรุนแรงกระจายไปทั่วอาณาบริเวณรอบของมันเสมือนว่า แม้แต่สายลมก็แปรสภาพเป็นสายฟ้าไปแล้ว
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดเหล่านั้นกระหน่ำโจมตีสัตว์อสูรทุกตัวและแผ่กระจายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ
สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่จานหลัก…
มันเหมือนลางบอกเหตุเสียมากกว่า
พายุกำลังมาแล้ว!
ห่าฝนเริ่มเทลงมาจากฟากฟ้า นำพามาซึ่งสายฟ้าและคลื่นลมรุนแรง เมฆดำปกคลุมจนมืดฟ้ามัวดินชนิดที่ว่า หากไม่ได้สายฟ้าฟาดลงมา ก็จะมองอะไรแทบไม่เห็นเลย ในขณะที่สายฟ้าฟาดเหล่านี้รุนแรงราวกับจะผ่าโลกให้แตกเป็นสองเสี่ยงก็มิปาน
ภาพเหตุการณ์มันเหมือนกับเมื่อครั้งเทพเจ้าแห่งสายฟ้าถือกำเนิด ทั่วทั้งโลกสั่นสะเทือนไปด้วยขุมพลังแห่งสายฟ้าที่ถูกฟาดทิ้งลงมาบนผิวดินเสมือนความเกรี้ยวโกรธของเทพผู้สร้าง โลกถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายของการทำลายล้างจนชวนให้คิดว่า บางทีนี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายของโลกแล้วก็ได้
ทันใดนั้น ท่ามกลางฝุ่นหมอกที่คลุ้งขึ้นจากดินอันเกิดจากการที่สายฟ้ามันฟาดลงมาถี่ ๆ
ร่างหนึ่งทะยานออกมาจากตัวฐานด้วยความเร็วระดับที่เสียงก็ยังมิอาจตามทัน เพียงชั่วพริบตา ร่างนั้นก็มาถึงที่หน้าประตูฐานแล้ว
จากนั้น
จากประตูฐานเป็นจุดศูนย์กลาง กระแสไฟฟ้าก็เริ่มก่อตัวขึ้นจนกระทั่งมันกลายเป็นทะเลสายฟ้า กินพื้นที่ไกลไปกว่าสามร้อยเมตร
สายฟ้ามากมายเข้าห่อหุ้มร่างที่เพิ่งปรากฏตัวออกมา มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงออกมาพร้อม ๆ กัน
นอกจากนี้
สายฟ้าที่กระจายวงกว้างออกไปนั้นยังทำให้เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในระยะแสดงผลของมัน ร่างของอสูรร้ายเหล่านั้นกลายเป็นเถ้าถ่านแม้ว่าจะโดนเพียงสะเก็ดของสายฟ้าที่กระดอนออกมา
แม้แต่สัตว์อสูรระดับ 4 ยังต้องเจ็บหนักเมื่อเผชิญหน้าเข้ากับสายฟ้าฟาด ร่างของมันถูกกระแสไฟฟ้าทำลายจนกลายเป็นบาดแผลสาหัสมากมาย!
ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์อสูร มันก็เริ่มเผยให้เห็นพื้นดินเบื้องล่างกันบ้างแล้วจากการที่สัตว์อสูรถูกกำจัดไปเป็นจำนวนมาก
“นี่มัน…”
ทุกคนล้วนตกตะลึง!
ไม่นานนัก โลกก็กลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง
แววตาของแต่ละคนที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนว่างเปล่า พวกเขาเงียบนิ่งกันราวกับกลายเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ยังไม่ได้ติดตั้งโปรแกรม เงียบเสียจนพวกเขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นรัวผิดกับสถานการณ์ที่เงียบสงบนี้อยู่
บริเวณกำแพงเมือง
เฉินซีเวยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา
หญิงสาวมองไปยังร่างที่ยืนอยู่ที่ประตูฐานซึ่งไม่ไกลจากเธอนัก
ร่างที่ยืนสง่าราวกับวีรชนนั้น ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นดินแต่อย่างใด เขากำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินราวกับมีพื้นที่มองไม่เห็นรับตัวเขาไว้
เส้นผมสีดำที่พลิ้วไปกับสายลมของพายุฝน ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติที่กำลังสะท้านไปทั่วทั้งร่าง
เขาเหมือนกับเทพเจ้าผู้สูงส่งที่สามารถควบคุมสายฟ้าได้ดั่งใจนึก!
อย่างไรก็ตาม
ด้วยอะไรบางอย่าง มันทำให้เฉินซีเวยรู้สึกคุ้นในร่างสูงที่ลอยอยู่ตรงหน้านี้เหลือเกิน
ทันใดนั้น ความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวหญิงสาว
เรื่องราวเมื่อครั้งที่ออกไปทำภารกิจล่าของทางสถาบันที่เรียนอยู่ ครั้งนั้นเธอต้องเผชิญหน้ากับสวี่กวง เธอคิดว่าตนเองจะต้องตายแน่ ๆ แต่กลับมีใครบางคนมาช่วยชีวิตเอาไว้ในช่วงที่กำลังบาดเจ็บหนัก
และเพราะอาการบาดเจ็บนั้น มันเลยทำให้เฉินซีเวยไม่สามารถเห็นร่างนั้นได้ชัดนักก่อนจะสลบไป
ทำไมคนคนนั้นกับบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน?
“ใครน่ะ… เขาเป็นใคร!!”
หัวใจของเฉินซีเวยเต้นรัว
เพราะสายฟ้าที่ห่อหุ้มร่างของอีกฝ่ายไว้เสมือนอาภรณ์ที่มีชีวิต มันทำให้ภาพของเขาดูไม่ชัดเจนนักแม้จะอยู่ในระยะมองเห็น มันยากเกินไปที่จะมองให้ชัดเจน
แต่ในขณะนั้น ชื่อของคนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด
ทางด้านผู้ที่ถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าสายฟ้าเองก็เหมือนจะรู้ความคิดของเธอด้วย ร่างนั้นหันกลับมาช้า ๆ
เผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจน
“ฉู่โม่ว!?”
ใบหน้าสวยของเฉินซีเวยตกตะลึง แววตาของเธอทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เธอเผลอยกมือขึ้นปิดปากและมองคนตรงหน้าอยู่เช่นนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
แม้จะเห็นด้วยตาตนเองยังเชื่อได้ยาก
เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!
ห้วงเวลานี้ พายุลูกใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นในใจของเธอเสียแล้ว!
MANGA DISCUSSION