บทที่ 288 ความรุ่งเรืองของตำหนักลับแห่งสวรรค์ ชีวิตที่สงบดีกว่าความวุ่นวายเป็นไหน ๆ
ตำหนักลับแห่งสวรรค์ ภายในโถงหลัก
ฉู่โม่วและเฉินซีเวยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสวี่ชวน
“ผู้อาวุโสสวี่ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ในที่สุดคุณเองก็ได้เป็นจ้าวยุทธ์จริง ๆ แล้วสินะครับ!”
พวกเขานั่งอยู่บนโซฟาต้อนรับภายในโถงดังกล่าว ฉู่โม่วพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
“ต้องขอบคุณท่านเจ้าตำหนักนั่นแหละครับ หากไม่ใช่เพราะท่านได้ทิ้งวัตถุดิบมากมายไว้ก่อนจะออกไป ตัวฉันเองก็ไม่อาจจะก้าวขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้ง่าย ๆ ในเวลาอันสั้นแบบนี้หรอก!” สวี่ชวนพูดด้วยความนับถือพร้อมกับยิ้มออกมา
ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะถามถึงช่ายเฟิง เพราะในวันนี้เขายังไม่เจอช่ายเฟิงอยู่ในตำหนักแห่งนี้เลย
“ท่านเจ้าตำหนักช่ายเฟิงเดินทางไปยังฐานย่อยที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนครับ เห็นว่าจะไปสร้างสาขาย่อยของตำหนักลับแห่งสวรรค์ที่นั่น… อืมม ข้าคิดว่าอีกไม่นานเขาก็น่าจะกลับมาแล้วละ”
สวี่ชวนพูดตอบ
“สาขาย่อยของตำหนักลับแห่งสวรรค์เหรอครับ?”
ได้ยินเช่นนั้นฉู่โม่วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านเจ้าตำหนักยังไม่รู้สินะครับ ตั้งแต่ที่ท่านจากฐานจินหลิงไป ด้วยชื่อเสียงที่ท่านได้สร้างไว้ จึงทำให้เหล่าตระกูลหลักทั้ง สามและหอการค้าหยกแก้วไม่กล้ามาก้าวก่าย แถมพวกเขายังร่วมมือกับพวกเราอีกด้วย ดังนั้นแล้วการพัฒนาตำหนักลับแห่งสวรรค์นี้จึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เราได้ร่วมทุนกับหลาย ๆ อุตสาหกรรม แต่พวกเรายังกระตุ้นให้เหล่าผู้ที่มีพลังวรยุทธ์ต่ำเข้ามารวมตัวกันที่นี่ด้วย”
“จากแต่เดิมที่เรามีนายพลเมืองราว ๆ สิบสามคนเท่านั้นกับที่เหลือเป็นผู้ปลุกพลังทั่ว ๆ ไป แต่ในตอนนี้เรามีเหล่านายพลเมืองกว่าหกสิบคนแล้ว แถมยังมีผู้ปลุกพลังระดับอื่น ๆ อีกเกือบพันคน เพราะงั้นแล้ว ตอนนี้ถือว่าพวกเราเจริญรุ่งเรืองมาก ๆ เลยก็ว่าได้ครับ”
“แต่ทว่า… ภายหลังจากที่พัฒนาเติบโตไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ตำหนักลับแห่งสวรรค์เองก็ถึงจุดอิ่มตัว สำหรับฐานนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเหล่าธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในฐานขนาดใหญ่มันค่อนข้างจะลงตัวกันหมดแล้ว เลยยากที่จะทลายจุดอิ่มตัวนี้ ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจที่จะไปสร้างสาขาย่อยที่ฐานขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในละแวกนี้แทน ทั้งนี้ก็เพื่อขยายชื่อเสียงของตำหนักลับแห่งสวรรค์ และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อนำเหล่าผู้ปลุกพลังที่ขาดโอกาสมาช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งให้พวกเขา”
สวี่ชวนอธิบาย
“แบบนี้นี่เอง”
ฉู่โม่วพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา “การที่ตำหนักลับแห่งสวรรค์พัฒนามาได้ขนาดนี้ เป็นเพราะความสามารถและความร่วมมือของพวกคุณจริง ๆ ผม… ดีใจมาก ๆ เลยครับ”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ท่านเจ้าตำหนัก”
สวี่ชวนที่โดนชมเองก็รู้สึกดีเช่นกัน
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นเอง
จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็รีบพุ่งพรวดเข้ามา หลังจากที่เขาเห็นแล้วว่าผู้ที่อยู่ในห้องนี้เป็นฉู่โม่วจริง ๆ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายออกมาพร้อมกับก้าวเท้าเร็วไปทำความเคารพชายหนุ่มด้วยความดีใจ “ช่ายเฟิง ทำความเคารพท่านเจ้าตำหนักครับ!”
ฉู่โม่วหันไปมองแล้วก็พบว่าผู้ที่เข้ามานั้นคือช่ายเฟิงที่เพิ่งพูดถึงไปเมื่อครู่นี้เอง!
แต่เดิมแล้วเขาตั้งใจจะมาตรวจดูว่ามีสาขาย่อยอยู่ในฐานเล็ก ๆ ที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้นำคนจากสาขาหลักไปช่วยดูแลที่นั่น
ทว่าเมื่อเขามาถึงสาขาหลัก เขาก็ได้ยินจากเหล่าผู้ปลุกพลังภายในตำหนักพูดกันว่าท่านเจ้าตำหนักฉู่โม่วกลับมาแล้ว เพราะงั้นเขาถึงได้รีบมุ่งหน้ามายังโถงหลักนี้ทันที
“แหม ๆ ทำความเคารพอะไรกัน”
“ฉันไม่ได้เป็นเจ้าตำหนักแล้ว คนที่เป็นเจ้าตำหนักตอนนี้น่ะคือช่ายเฟิงต่างหาก ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้”
ฉู่โม่วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แม้ว่าท่านเจ้าตำหนักจะสละตำแหน่งแล้ว แต่ภายในใจของช่ายเฟิงผู้นี้ ท่านฉู่ยังคงเป็นเจ้าตำหนักตำหนักลับแห่งสวรรค์อยู่เสมอครับ!”
ช่ายเฟิงพูดด้วยความเคารพ
“ช่ายเฟิง ไม่เจอกันนาน ไม่คิดเลยว่านายจะเรียนรู้การเยินยอแบบนี้มาด้วย ดูไม่เหมือนช่ายเฟิงที่ฉันรู้จักเลยนะเนี่ย ฮ่า ๆ ๆ” ฉู่โม่วยังคงยิ้มแย้ม
“เรื่องของท่านฉู่นี้ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วครับ มันเป็นเรื่องจริงที่ผมเองก็ต้องยอมรับ”
ช่ายเฟิงรีบตอบ
“นายนี่มัน…”
ฉู่โม่วชี้ไปที่อีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน ช่ายเฟิงก็ทำได้เพียงยิ้มแล้วก็เกาหัว
ภาพนี้หากเรียกให้ผู้ปลุกพลังนอกตำหนักมาดู พวกเขาคงจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากแน่ ๆ เพราะในสายตาของพวกเขา เจ้าตำหนักผู้นี้มักจะทำสีหน้าหนักแน่นและเงียบขรึมอยู่เสมอ ไม่มีทางเลยที่จะได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ แบบนี้จะไม่ให้ประหลาดใจได้อย่างไร?
ระหว่างที่พูดคุยกัน เวลาก็เดินไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นาน เวลาตกเย็นก็ดำเนินมาถึง
และในตอนนี้
จู่ ๆ ก็มีผู้ปลุกพลังคนหนึ่งนำข่าวเข้ามารายงาน บอกว่าผู้อาวุโสของสามตระกูลใหญ่กับผู้อาวุโสตระกูลหมัวของพันธมิตรการค้าหยกแก้วส่งคำเชิญมายังฉู่โม่วเพื่อเชิญเขาไปงานเลี้ยง
ตอนแรกนั้นฉู่โม่วตั้งใจจะปฏิเสธไป
อันที่จริงเขาก็มักจะปฏิเสธการเข้าร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ อยู่แล้ว
แต่เมื่อมาคิดดูดี ๆ
การที่ตำหนักลับแห่งสวรรค์สามารถเติบใหญ่ขึ้นมาได้อย่างราบรื่นและกลายเป็นหนึ่งในตำหนักที่มีชื่อเสียงในฐานขนาดใหญ่นี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาทั้งหลายช่วยกันสนับสนุน ดังนั้นในเมื่อเจ้าตัวส่งคำเชิญมาถึงขนาดนี้ หากปฏิเสธไปคงจะทำให้เขาเสียหน้า
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบตกลงไป
สถานที่จัดงานเลี้ยงคือชั้นบนสุดของอาคารหอการค้าหยกแก้ว
ในคืนนั้น ฉู่โม่วมุ่งหน้าไปงานเลี้ยงพร้อมกับเฉินซีเวย ช่ายเฟิงและสวี่ชวน
เมื่อฉู่โม่วไปถึง เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก็มาถึงก่อนแล้ว และทันทีที่พวกเขาเห็นฉู่โม่ว ทั้งหมดก็พากันยืนขึ้นและทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกันโดยเร็ว
“พวกเรามารอท่านแล้ว ยินดีที่ได้พบเจอครับ ท่านฉู่โม่ว!”
เสียงทักทายอย่างสามัคคีกันดังขึ้น
“พวกเราต่างก็ล้วนเห็นหน้าค่าตากันบ่อย ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรกันมากก็ได้… นั่งลงเถอะ”
ฉู่โม่วรีบโบกมือให้พวกเขานั่งลงทันที
ด้วยท่าทีใจเย็นและสบาย ๆ ของฉู่โม่วนี้ ทำให้เหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้พากันโล่งอก และรู้สึกสนิทใจกับฉู่โม่วมากกว่าเดิม
พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งกันและกัน
โดยที่มีฉู่โม่วนั่งอยู่ ณ ตำแหน่งหลักที่ทุกคนสามารถพูดคุยได้
ส่วนเฉินซีเวยนั่งอยู่ข้าง ๆ
ผู้อาวุโสตระกูลหมัว หมัวหย่งอันและผู้อาวุโสอีกสามตระกูลนั่งขนาบซ้ายขวา ตามด้วยช่ายเฟิงและสวี่ชวนนั่งปิดท้าย
ผู้คนดื่มด่ำไปกับอาหารและการพูดคุย
หัวข้อสนทนาหลัก ๆ ที่ทุกคนอยากจะถามคือประสบการณ์ของฉู่โม่วที่ได้มาจากสุดยอดฐานจงไห่ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเรื่องให้ถามมากมาย ซึ่งฉู่โม่วก็ไม่ได้ปิดบังอะไร แต่เลือกที่จะสุ่ม ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาออกมาพูดแทน
ถึงแม้ว่าเขาจะเล่าเรื่องมากมายราวกับมันเป็นเรื่องสบาย ๆ
แต่เรื่องเหล่านั้นกลับไม่ต่างอะไรกับนวนิยายที่เกินกว่าเหล่าผู้อาวุโสตระกูลใหญ่จะคาดคิด ภายในใจของเขา เสมือนว่าตนกำลังหลุดไปในโลกที่กว้างใหญ่ โดยที่ทุก ๆ แห่งบนโลกใบนั้นมีฉู่โม่วฝากรอยเท้าไว้หมดแล้ว ความอิจฉาในความสามารถของฉู่โม่วปรากฏขึ้นในใจของพวกเขาทุกคน
ชายชราเหล่านี้รู้กันดี
ว่าฉู่โม่วนั้นมีพรสวรรค์เลิศล้ำ และในอนาคตของเขา จะต้องมีเรื่องให้เชิดชูมากขึ้นไปอีกแน่
ผิดกับพวกเขาที่เหมือนจะเห็นบั้นปลายชีวิตของตนเองแล้ว ต่อให้พวกเขาจะหันมาฝึกฝนอีกครั้ง เต็มที่ก็เป็นได้แค่ขั้นราชันย์ยุทธ์เท่านั้น
เมื่อเทียบกับฉู่โม่วแล้ว มันต่างกันราวกับฟ้ากับเหวแบบสุดเลย ๆ
หากจะพูดง่าย ๆ
การที่ฉู่โม่วมานั่งเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เจ้าตัวได้พบเจอมาด้วยรอยยิ้มได้เช่นนี้ ก็ทำให้เหล่าชายชรารู้สึกชื่นชมขึ้นมาในใจแล้ว
ยังไงเสีย
พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอยู่แล้ว
แค่ตอนนี้ฉู่โม่วเป็นถึงราชันย์ยุทธ์ พวกเขาก็ไม่สามารถเทียบชั้นได้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…
สถานะที่ยิ่งใหญ่ของฉู่โม่วอีก!
แม้ผู้อาวุโสตระกูลคนอื่น ๆ จะยังไม่รู้ แต่สำหรับผู้ที่มีพี่ชายอยู่ในตำหนักสุดขอบฟ้าภายในสุดยอดฐานจงไห่อย่างผู้อาวุโสตระกูลหมัว เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ชายของตนอยู่เป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องมากกว่าคนอื่น ๆ
โดยเฉพาะ… เรื่องที่ฉู่โม่วเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของวิหารราชันย์เทพยุทธ์ในสุดยอดฐานจงไห่!
ภายในอนาคต คนคนนี้มีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าวิหารราชันย์เทพยุทธ์ที่มีสถานะสูงที่สุดในสุดยอดฐานจงไห่!
เมื่อครั้งที่ผู้อาวุโสตระกูลหมัวรู้เรื่องนี้จากพี่ชายของเขา เขาถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเลย หัวใจของเขามันเต้นเร็วจนแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ
เพราะงั้นแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้อาวุโสตระกูลหมัวถึงได้เคารพฉู่โม่วมาก ๆ รวมถึงช่วยดูแลตำหนักลับแห่งสวรรค์ให้หลังจากที่ฉู่โม่วไม่อยู่
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อผูกมิตรกับฉู่โม่วนั่นแหละ!
หากทำได้
มันจะช่วยทำให้พันธมิตรการค้าหยกแก้วและตระกูลหมัวสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นใจภายในฐานจินหลิงในอนาคต หรือบางทีอาจจะสามารถก้าวเข้าไปฝากรอยเท้าไว้ในสุดยอดฐานจงไห่ได้ด้วย!
แต่ทว่า
สถานการณ์บางอย่างก็ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลหมัวผู้นี้รู้สึกเสียดาย
ฉู่โม่วแต่งงานไปแล้ว
ในตอนนั้น เขามองว่าหลานสาวของเขาอย่างหมัวซานซาน เหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฉู่โม่ว แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่สามารถไปต่อได้ ไม่เช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหมัวและฉู่โม่วคงจะแน่นแฟ้นกันมากกว่านี้แน่ ๆ
เขาได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ บอกใครไม่ได้
ในตอนนี้ ภายในงานเลี้ยงย้อนวันวานนี้ ความสุข ความงดงาม ก่อตัวขึ้นจนถึงขีดสุด และดำเนินต่อไปเช่นนี้โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย
งานเลี้ยงไม่เลิกราจนกระทั่งรุ่งสางมาถึง
สองวันถัดมา
ผู้อาวุโสตระกูลหมัว หมัวหย่งอัน กู่ชางและคนอื่น ๆ ต่างก็มากล่าวคำอำลากับฉู่โม่ว
“พอแล้ว ๆ พวกท่านกลับเข้าฐานกันไปเถอะ”
ฉู่โม่วยกมือเชิงปรามไม่ให้พวกเขาตามมาส่งไกลกว่านี้ จากนั้นก็จูงมือเฉินซีเวยและขึ้นไปบนหลังเสี่ยวจิน
ด้วยเสียงร้องกังวานของพญาหงส์ทองคำ ปีกสีทองอร่ามตาก็แผ่กว้างราวกับจะบดบังดวงตะวัน ร่างที่เสมือนเป็นรูปสลักทองคำสะท้อนแสงแดดจนเปล่งประกายแวววาวนั้นทะยานขึ้นฟ้าและหายไปจากสายตาของทุกคนในชั่วพริบตา
มองตามไปยังทิศทางที่ฉู่โม่วจากไป
ผู้อาวุโสตระกูลหมัว ช่ายเฟิง หรือแม้แต่หมัวซานซาน ทุกคนต่างก็รู้สึกเสียดายกันอยู่เล็กน้อย
พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนด้วยความรู้สึกที่ยังไม่จางหาย
…
เมื่อออกมาจากฐานจินหลิงแล้ว
ฉู่โม่วก็ไม่ได้ปล่อยเวลาสูญเปล่า เขารีบมุ่งหน้ากลับไปยังฐานลู่หยางต่อทันที
ไม่ได้กลับมาเยือนถิ่นเดิมนานนับปี
ต้องขอบคุณรอยแยกมิติที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ ฐานเมื่อครั้งก่อนนู้น มันทำให้ฐานลู่หยาง ณ ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ที่ฉู่โม่วจากมา ไม่เพียงแต่ฐานแห่งนั้นจะได้ติดต่อกับฐานจินหลิงมากขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดถนนแห่งธุรกิจที่รวมเอาฐานเล็ก ๆ หรือแม้แต่ฐานขนาดกลางเข้ามารวมกันในถนนเส้นนี้ด้วย ถือว่าเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
แม้แต่ที่ด้านนอกฐานเองก็ยังมีการติดตั้งค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย
ถึงแม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก เต็มที่ก็รับการโจมตีของผู้ปลุกพลังระดับจอมยุทธ์ได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันเลย ทำให้ผู้คนธรรมดาไม่ต้องกังวลเวลาจะเดินทางไปไหนมาไหนแล้วจะต้องพบเจอกับสัตว์อสูรระหว่างทางเหมือนแต่ก่อน
บนท้องถนน
ทุกซอกทุกมุม มีทั้งคนธรรมดาและผู้ปลุกพลังเดินกันไปมาพลุกพล่าน ไม่ว่าจะเดินเล่น หรือแค่เดินผ่านด้วยความเร่งรีบก็ตาม
ฉู่โม่วและเฉินซีเวยเดินจับมือกันไปตามถนนหนทางเฉกเช่นคู่รักทั่วไปที่พากันมาเดินเล่นบนท้องถนน
ถึงแม้ว่าฐานลู่หยางจะเปลี่ยนแปลงไปมาก
แต่บรรยากาศเดิม ๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ
อย่างเช่น บ้านที่เขาและเธอเคยอยู่ด้วยกัน หรือแม้แต่ตึกสูงรอบข้างที่ยังคงมีอยู่เช่นเดิม รวมถึงผู้ปลุกพลังบางคนที่เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อก่อนด้วย
เห็นได้ชัดเลยว่าส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย
“ที่รัก ฉันอยากกลับบ้านไปดูของข้างในน่ะ”
เฉินซีเวยพูดขึ้นด้วยความคาดหวัง
“ฉันเองก็อยากเหมือนกัน”
แน่นอนว่าฉู่โม่วนั้นไม่ปฏิเสธคำขอของเธออยู่แล้ว เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าบ้านที่เคยอยู่ด้วยกันไป
ทุกสิ่งอย่างภายในนั้นยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนที่จะจากไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อพวกเขาเข้าไปในตัวบ้าน ความทรงจำมากมายต่างก็หลั่งไหลเข้ามาภายในจิตใจ
“อ๊ะ ดูสิ ดอกไม้ที่ฉันปลูกไว้ มันยังไม่ตายเลยแฮะ”
“นั่น! โต๊ะที่พวกเรามานั่งกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรก แต่ตอนแรกเลยนายไม่มีทีท่าว่าจะกินอาหารที่ฉันทำเลยสักนิด นี่! ตรงนี้ที่นายเคยปาจานข้าวที่ฉันทำใส่โต๊ะจนมันแตกแล้วก็ทิ้งรอยไว้ อ๊า! ดูสิ รอยมันยังชัดอยู่เลย!”
“แล้วก็นี่ ที่รัก จำได้หรือเปล่า? ฉันเป็นคนซ่อมมันด้วยตัวเอง ตอนที่ย้ายเข้ามา… ตอนนั้นนายทำเจ้านี่พังไม่เป็นท่าเลย เพราะงั้นฉันเลยซ่อมแล้วเอากลับมาวางไว้ตรงนี้”
“แล้วก็โน่น…”
เฉินซีเวยระลึกความทรงจำต่าง ๆ ได้มากมาย ทุก ๆ ที่ที่เธอเดินผ่านไปภายในบ้าน และเจอสิ่งที่คุ้นเคย เธอก็จะเล่าเรื่องที่จำได้ออกมา รวมถึงแสดงแววตาที่หวนนึกถึงอดีตออกมาอย่างชัดเจนด้วย
ฟังสิ่งที่เธอเล่า ฉู่โม่วก็ไม่ได้พูดอะไร
เพียงแค่จับมือของเธอไว้ให้แน่น ๆ ราวกับว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากเธอไปอีก
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงบีบที่ฝ่ามือ เฉินซีเวยก็หันมามองฉู่โม่ว
ในยามที่ดวงตาสองคู่สบมองกันเอง
แม้จะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดอะไรก่อน
แต่ในตอนนี้
ทั้งสองก็เข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้เพียงแค่สบตา
MANGA DISCUSSION