บทที่ 259 นายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วง ดอกผลึกแก้วอัสนี
เสื้อคลุมปักไหมทองบนร่างของราชันย์ยุทธ์ระดับสูงคนนี้เป็นหนึ่งในของที่มีมูลค่าสูงชิ้นหนึ่ง
ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั้น แสดงให้เห็นว่าเขาคือผู้ว่าจ้างกลุ่มผู้ปลุกพลังเหล่านี้อย่างแน่นอน
คนคนนี้กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับราชันย์เทพยุทธ์ที่มาด้วย
จากนั้น… ราชันย์เทพยุทธ์คนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาหาฉู่โม่วและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกเราคือผู้อาวุโสแห่งสำนักเมฆาม่วง การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราตั้งใจตามนายน้อยแห่งสำนักมาสำรวจเขตแดนอัสนีบาตคำรนเพื่อหาทรัพยากรและสิ่งล้ำค่า ในเมื่อนายมีความสามารถของธาตุสายฟ้ากับพลังของธาตุลมอยู่ นายถือว่ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าร่วมกลุ่มของพวกเรา”
“หลังการเดินทางครั้งนี้จบลงแล้ว นายน้อยจะมอบสมบัติแห่งโลกและสวรรค์บางส่วนให้นายพร้อมกับหินปฐมกาลแสนล้านก้อน!”
หินปฐมกาลระดับต่ำแสนล้านก้อน!
นี่ถือเป็นมูลค่าที่สูงไม่ใช่น้อยเลยสำหรับผู้ปลุกพลังขั้นราชันย์ยุทธ์เช่นนี้
แต่ฉู่โม่วก็ไม่เชื่อเสียทีเดียวว่าคนเหล่านี้จะทำตามอย่างที่พูด ยังไงซะ ตัดสินเอาจากสภาพการณ์ของทีมในตอนนี้ก็มีจำนวนคนกว่าห้าสิบคนไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีเพียงประมาณยี่สิบคนเท่านั้นที่เป็นคนจากสำนักเมฆาม่วง ส่วนผู้ปลุกพลังอีกสามสิบคนที่เหลือน่าจะเป็นคนที่ถูกเชื้อเชิญมาเช่นกัน
เช่นนั้นแล้ว
หากแต่ละคนเหล่านี้ได้คนละแสนล้านหินปฐมกาลระดับต่ำ สำนักเมฆาม่วงจะต้องจ่ายมากถึงสามล้านล้านหินปฐมกาลเลยสำหรับการเดินทางครั้งนี้
ต่อให้เป็นสำนักขนาดใหญ่ แต่การใช้หินปฐมกาลระดับนี้กับคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นก็ถือว่าน่าเสียดายอยู่!
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่ว่าจะแบ่งสมบัติแห่งโลกและสวรรค์ให้อีก… ข้อเสนอนี้ดูจะเป็นการล่อลวงเสียมากกว่า
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้ปลุกพลังมากมายที่ยอมเขาร่วมกับกลุ่มคนพวกนี้
จากการคาดเดาของฉู่โม่ว แสดงว่า… คนเหล่านี้… คงต้องเลือกระหว่างเข้าร่วมกลุ่ม กับถูกสังหารแน่ ๆ
แต่….
ดูจากสีหน้าที่แน่วแน่ของพวกผู้อาวุโสในสำนัก บางทีพวกเขาทั้งหมดนี้อาจจะเจออะไรดี ๆ ในเขตแดนอัสนีบาตคำรนแล้วก็เป็นได้
คิดได้แบบนั้น
ฉู่โม่วเองก็อยากจะตามไปดูด้วยเช่นกัน ยังไงเสียเขาก็เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก มีคนนำทางย่อมดีกว่าไปคนเดียวอยู่แล้ว บางทีไปกับคนพวกนี้ เขาอาจจะเจออะไรมากกว่าเดินสำรวจคนเดียวเป็นไหน ๆ
เมื่อสรุปได้แล้ว
ฉู่โม่วก็ตอบกลับไปด้วยคำถาม “จริงเหรอครับ?”
“แน่นอน ฉันเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักเมฆาม่วงเลยนะ ทำไมนายถึงคิดว่าฉันต้องหลอกลวงนายด้วยล่ะ เจ้าหนุ่มราชันย์ยุทธ์ตัวจ้อย” ราชันย์เทพยุทธ์ผู้มาสอบถามพูดด้วยท่าทียิ่งใหญ่
“ถ้างั้นผมเข้าร่วมทีมด้วย!”
ฉู่โม่วจงใจทำให้ดูเหมือนว่าตนเองกำลังดีใจ
เห็นแบบนั้นแล้ว ราชันย์เทพยุทธ์ก็เย้ยหยันฉู่โม่วขึ้นมาในใจแม้ว่าสีหน้าของเขาจะนิ่งเฉยเหมือนเดิม เขาพูดต่อ “หากนายคิดจะเข้าร่วมละก็ นายต้องถูกทดสอบความแข็งแกร่งเสียก่อน!”
กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
ดังนั้นฉู่โม่วจึงไม่ลังเล เขาแสดงให้เห็นถึงพลังของธาตุสายฟ้าที่เขามี ทว่าก็ไม่ได้แสดงออกไปทั้งหมด เผลอ ๆ อาจไม่ถึงหนึ่งในสิบของพลังด้วยซ้ำ
นอกจากนี้
ฉู่โม่วยังใช้พลังของธาตุลมที่ควบคุมให้เพิ่มความเร็วเพียงยี่สิบเท่าเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น
มันก็ยังมากพอที่จะทำให้ราชันย์เทพยุทธ์พึงพอใจอย่างมาก
พลังของธาตุสายฟ้าและธาตุลมเพียงเท่านี้ เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาสามารถเข้าร่วมทีมภายในนี้ได้
จากข้อมูลที่สำนักเมฆาม่วงให้ไว้
ที่นี่มีอันตรายมากมายรออยู่ และในบางพื้นที่ก็มีเพียงผู้ปลุกพลังที่มีพลังของธาตุสายฟ้าเท่านั้นที่จะสามารถย่ำเท้าเข้าไปได้ ภายในกลุ่มที่มาด้วยกันนี้ นอกจากนายน้อยของสำนักแล้ว ก็มีเพียงผู้ปลุกพลังที่เชิญเข้ามาเพียงสองคนเท่านั้นที่มีพลังของธาตุสายฟ้า
กับการเดินทางเช่นนี้ ตัดเรื่องการให้นายน้อยของพวกเขาเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยตนเองได้เลย
ดังนั้นมันก็จะเป็นหน้าที่ของสองคนนี้… กับฉู่โม่ว ซึ่งเป็นผู้ปลุกพลังที่เชิญมาทั้งหมด
เมื่อเห็นความสามารถของฉู่โม่วแล้ว
เขาก็กระแอมหัวเราะในลำคอ “ความสามารถของนายนั้นไม่เลวเลย เพราะงั้นนายผ่าน!”
ด้วยคำพูดนี้ ฉู่โม่วจึงเดินเข้าไปรวมกลุ่มด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
สิ่งนี้ไม่พูดถึงคงไม่ได้
เหล่าผู้ปลุกพลังที่ถูกจ้างมาก่อนหน้า พวกเขามองไปยังสีหน้าของฉู่โม่ว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและแสดงความสมเพชออกมา
‘โง่ชะมัด คิดว่าพวกคนจากสำนักเมฆาม่วงจะยอมมอบสมบัติกับหินปฐมกาลให้ตามที่พูดหรือไงกัน!?’
พวกเขาคิดในใจ
แน่นอนว่าฉู่โม่วรับรู้ถึงสายตาเหล่านี้ได้อยู่แล้ว เพียงแค่เขาไม่ใส่ใจเฉย ๆ
ใครจะเป็นเหยื่อ ใครจะเป็นผู้ล่า เดี๋ยวได้รู้กันหลังจากนี้แหละ
จากนั้น
ทั้งทีมนี้ต่างก็ค่อย ๆ ทำตามแผนด้วยความใจเย็น
เพียงชั่วพริบตา หนึ่งวันก็ผ่านไป
ในวันนี้
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระหว่างทาง ผู้ปลุกพลังจากสำนักเมฆาม่วงก็จะส่งคนนอกสำนักอย่างฉู่โม่วไปสู้แทนตลอด หรือไม่ก็ยามที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคระหว่างทาง พวกเขาก็จะให้คนนอกไปสำรวจก่อนเป็นคนแรก
ท่ามกลางเหล่าคนนอก ฉู่โม่วเป็นผู้ที่ถูกส่งไปสำรวจบ่อยที่สุด
แต่เมื่อเทียบกับความดื้อดึงของผู้ปลุกพลังคนอื่นแล้ว ฉู่โม่วเลือกที่จะแสดงความยินดีออกมาเสียมากกว่า
เพราะการกระทำเช่นนี้
ทำให้เหล่าผู้ปลุกพลังจากสำนักเมฆาม่วงค่อย ๆ มองฉู่โม่วอย่างไม่ตั้งแง่ไปด้วย
พวกเขามองว่าฉู่โม่วเป็นแค่เด็กน้อยที่กำลังฝันกลางวันว่าจะได้รับการตอบแทนตามที่ว่าไว้เท่านั้น
ขณะนั้นเอง
ทีมสำรวจได้เดินทางเข้ามายังป่าหนาทึบที่เต็มไปด้วยสายฟ้าฟาด
ก่อนที่พวกเขาจะได้ส่งใครสักคนเข้าไปสำรวจ เสียงของสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ก็ดังกังวานออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุด
“โฮกกกกกกก!”
ไม่ทันสิ้นเสียง
อสูรอัสนีกว่าร้อยตัวก็พากันวิ่งออกมาจากในป่าทึบนี้ พวกมันส่วนมากเป็นถึงสัตว์อสูรระดับ 7 ที่เทียบเท่าได้กับราชันย์ยุทธ์ แถมยังมีระดับ 8 มาถึงสามตนเลยด้วย!
เห็นเช่นนั้น
สีหน้าของทุกคนต่างก็เปลี่ยนไป
สัตว์อสูรระดับ 7 ก็มีร่วมร้อยตนแล้ว ไหนจะระดับ 8 ที่เทียบเท่าได้กับราชันย์เทพยุทธ์อีกตั้งสามตนนั่นอีก สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าหายนะเลยก็ว่าได้!
“ทุกคน เตรียมรับมือและกันพวกมันเอาไว้!”
ราชันย์เทพยุทธ์คนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดัง
จังหวะนั้น
ผู้ปลุกพลังกว่าสิบคนก็พากันออกมาและทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์เช่นนี้
ราชันย์เทพยุทธ์ทั้งห้าเข้าไปรับมือกับสัตว์อสูรระดับ 8 ทั้งสามตน ในขณะที่ผู้ปลุกพลังคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปรับมือกับสัตว์อสูรระดับ 7 ที่เหลือแทน
พักหนึ่ง แสงสีของการโจมตีกระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ ตามด้วยเสียงระเบิดอันเกิดจากการปะทะกันที่ดังไม่หยุดหย่อน
สัตว์อสูรระดับ 8 ทั้งสามตนนั้นแข็งแกร่งมาก ๆ ร่างกายของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยกระแสไฟฟ้า แม้จะต้องเจอกับราชันย์เทพยุทธ์ถึงห้าคนก็ไม่ได้ทำให้มันเสียเปรียบเลยสักนิด
ในส่วนของราชันย์ยุทธ์อีกนับสิบคนที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับ 7 ถึงหลักร้อยตน พวกเขาเองก็รับมือยากเช่นกัน หลายคนพ่ายแพ้ให้กับการโจมตีของพวกมันโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
เพียงไม่นาน
ก็มีผู้คนจำนวนมากบาดเจ็บและล้มตายให้เห็น
โชคยังดีที่ตอนนั้น
นายน้อยในชุดคลุมปักไหมทองเองก็ทำอะไรสักอย่างด้วยเช่นกัน
ร่างของเขาทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า จากนั้นสายฟ้าฟาดที่รุนแรงก็ถูกปลดปล่อยลงมา มันแปรสภาพเป็นโซ่สีทองอร่ามและกระจายไปทั่วบริเวณ ทุกครั้งที่โซ่อัสนีเหล่านี้สัมผัสโดนเข้ากับผิวหนังของสัตว์อสูร มันจะเกิดระเบิดรุนแรงและดีดร่างของสัตว์อสูรเหล่านั้นออกไป
“กรรรร! โฮกกก!”
ในตอนนั้น เป้าหมายของสัตว์อสูรกว่าสิบตนได้เปลี่ยนไปเป็นนายน้อยสำนักเมฆาม่วงกันแล้ว
พวกมันวิ่งตรงไปหาเป้าหมายและโจมตีอีกฝ่ายด้วยสายฟ้าที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างเกรี้ยวกราด
นายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงกำลังแสยะยิ้มกับสถานการณ์ ทว่าเมื่อเห็นสัตว์อสูรเบื้องล่างหมายจะโจมตีตน อณูแห่งชีวิตและเลือดภายในร่างของเขาก็ถูกกระตุ้น คลื่นพลังก่อตัวขึ้นเหนือฟากฟ้าก่อนจะกลายสภาพเป็นมือสีทองขนาดใหญ่และตะปบลงมาท่ามกลางกลุ่มสัตว์อสูรที่เกรี้ยวกราด
เพียงชั่วพริบตา สัตว์อสูรกว่าสิบตนก็ถูกฝ่ามือทับจนตายไปอย่างง่ายดาย
ไม่เพียงเท่านั้น
ร่างของเขาพลันกลายเป็นกระแสไฟฟ้า มันพุ่งผ่านร่างของสัตว์อสูรตนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องล่าง ไม่ว่าร่างนี้ผ่านอะไรไป กระแสไฟฟ้าที่รุนแรงก็จะเข้าจู่โจมอสูรอัสนีให้ล้มลงไปกับพื้น ไม่ต่างอะไรกับคนโดนไฟฟ้าชอร์ต
ด้วยพลังที่มหาศาลเช่นนี้ ทำให้หลายคนที่ได้เห็นกับตาตนเองถึงกับตะลึงงัน
“ความแข็งแกร่งเทียบเท่าราชันย์เทพยุทธ์ระดับ 2 ดาว!”
ฉู่โม่วที่กำลังง่วนอยู่กับการกักพลังไม่ให้ระเบิดออกมามากเกินไปหันไปมองการโจมตีของผู้เป็นนายน้อยแห่งสำนัก แล้วคิดกับตนเอง
ดูท่านายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงคนนี้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ในระดับสุดยอดอยู่เหมือนกันสินะ
ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นนี้ อยู่เหนือฉางจื่อเฉิน เย่ควงและลู่เฟิ่งชิงกับคนอื่น ๆ ไปมากนัก
แต่ถ้าเทียบกับอวี่เฟิงแล้ว เขายังอ่อนกว่าในระดับหนึ่งเลย
แน่นอน
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ความสามารถทั้งหมดของนายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงแน่ ๆ ผู้มีพรสวรรค์ทุกคนนั้นล้วนมีไพ่ตายของตนเอง หากลองสมมติดูละก็ ฉู่โม่วคิดว่าคนคนนี้น่าจะยังตามหลังอวีเฟิงอยู่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น
และในขณะที่ฉู่โม่วกำลังคิดเช่นนั้น
จากการช่วยเหลือของนายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วง เหล่าผู้ปลุกพลังกลับกลายมาเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนืออสูรอัสนีอีกครั้งราวกับได้รับพลังในสมรภูมิรบ พวกเขามุ่งหน้าไปยังกลุ่มของราชันย์เทพยุทธ์และห้อมล้อมอสูรอัสนีระดับ 8 เหล่านั้นไว้
ครืน! ครืน! ครืน!
การต่อสู้ทางฝั่งราชันย์เทพยุทธ์นั้นรุนแรงขนาดที่พื้นดินโดยรอบแตกสลายกันเป็นแถบ ๆ แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของพลังที่ถูกงัดออกมาห้ำหั่นกัน
ถึงแม้ว่าอสูรอัสนีระดับ 8 ทั้งสามตนนี้จะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชันย์เทพยุทธ์ถึงห้าคนผนวกกับพลังของนายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วง มันก็ยังยากที่จะไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ
พวกมันในตอนนี้นั้น
ต่างก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย จังหวะนั้นเอง นายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงก็ฉวยโอกาสชิงฆ่ามันลงได้ก่อนหนึ่งตนด้วยการโจมตีครั้งเดียว
อสูรอัสนีอีกสองตนที่เริ่มตระหนักได้แล้วว่าอยู่ต่อไปไม่ดีแน่ ต่างฝ่ายต่างก็ร้องคำรามออกมาแล้ววิ่งหนีกันออกไป ก่อนที่อสูรอัสนีตนอื่นจะทยอยหนีไปทีหลัง
แม้ว่าผู้ปลุกพลังอยากตามล่ามันต่อก็จริง แต่พวกเขาก็โดนนายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงห้ามไว้
“อย่าไล่ตามไป รักษาบาดแผลของตัวเองให้หายเร็วที่สุด แล้วฟื้นฟูพลังซะ”
เขาออกคำสั่ง
ในตอนนั้น เหล่าราชันย์เทพยุทธ์ทั้งห้าเองก็บาดเจ็บหนักไม่ต่างกันนัก พวกเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนำยาขึ้นมากินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
“พวกเรารอดตาย!”
กลุ่มของราชันย์ยุทธ์ดีอกดีใจ
ก่อนหน้านี้ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรอัสนีร่วมร้อยตนนั้น ถึงแม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากนายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วง แต่ก็มีหลายชีวิตที่ต้องตายไป
พวกเขาเหลือเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น และเกือบจะทุกคนได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
มีเพียงฉู่โม่วเท่านั้นที่ไร้บาดแผลใด ๆ
“ไอ้หนุ่มนี่มีความแข็งแกร่งแค่ราชันย์ยุทธ์ระดับต้นเท่านั้น แต่กลับไม่มีบาดแผลอะไรเลย เป็นไปได้หรือเปล่าที่เขาจะซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงไว้?”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น อย่าลืมสิว่าเจ้านี่มีพลังของธาตุลมด้วยนะ บางทีเขาอาจจะหนีไปหลบซ่อนอยู่ก็ได้!”
“บางทีอาจจะแค่โชคดี”
“แค่รอดตายไม่ได้หมายความว่างานจบแล้วนะ ไว้ถึงที่หมาย พวกเราค่อยช่วยกันหาดอกผลึกแก้วอัสนีอีกทีหนึ่ง!”
“ได้ยินว่าที่นายน้อยจะมาเขตแดนอัสนีบาตคำรนในครั้งนี้ จุดประสงค์อย่างหนึ่งก็คือการตามหาดอกผลึกแก้วอัสนีเพื่อมาพัฒนาพลังธาตุสายฟ้าของตนเองสินะ… ถ้าที่แห่งนั้นมีดอกผลึกแก้วอัสนีงอกงามขึ้นมาหลายดอก บางทีพวกเราอาจจะได้ดอกผลึกพวกนั้นด้วยก็ได้!”
“อยากให้ถึงเร็ว ๆ จังเลยน้า แบบนี้จะต้องเสี่ยงตายอีกมากขนาดไหนก็ไม่รู้”
เหล่าผู้ปลุกพลังจากสำนักเมฆาม่วงต่างพากันแอบมองฉู่โม่วและคุยกันอย่างลับ ๆ
แต่ถึงพวกเขาจะแอบคุยกันด้วยเสียงเบา ๆ รวมถึงใช้วิชากักเก็บเสียงแล้วก็จริง แต่มันก็ไม่อาจจะรอดพ้นหูของฉู่โม่วที่มีพลังแห่งห้วงมิติไปได้
“ดอกผลึกแก้วอัสนีที่สามารถเพิ่มพลังให้กับธาตุสายฟ้าได้งั้นเหรอ?”
ได้ยินดังนั้น แววตาของฉู่โม่วก็เป็นประกายขึ้นมา
เขาไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อนเลย เพราะงั้นจึงไม่รู้ด้วยว่าพลังของมันทำอะไรได้บ้าง
แต่ดูจากพลังสายฟ้าที่นายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงใช้เมื่อครู่แล้ว อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะอยู่ในระดับ 5 แต่ก็ยังอยากจะหาดอกไม้ดอกนี้เพื่อไปพัฒนาพลังของตนเองอยู่… แสดงว่า ดอกผลึกแก้วอัสนี น่าจะสามารถพัฒนาระดับพลังของธาตุสายฟ้าได้ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะ 1 ระดับแน่ ๆ !
‘ฉันต้องได้มันมาแล้ว!’
ฉู่โม่วคิดกับตนเอง
พักใหญ่ หลังจากที่ทุกคนเสร็จจากการฟื้นฟูร่างกายตนเองแล้ว พวกเขาก็กลับไปรวมกลุ่มกันเพื่อเดินทางต่อ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉู่โม่วคาดการณ์ไว้
คนเหล่านี้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทำให้การเดินทางตลอดเส้นทางผ่านพ้นไปโดยปราศจากอันตรายใด ๆ แม้ว่าพวกเขาจะพบเจอกับดักบ้าง แต่นั่นคือกับดักที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ ทว่าสามารถหลบหลีกได้
แน่นอนว่าแม้จะมีบางแห่งที่ไม่เคยผ่านมาก่อน คนเหล่านี้ก็จะให้ฉู่โม่วออกไปสำรวจทางก่อนอยู่บ่อยครั้ง
นั่นก็เพราะ หากเส้นทางนั้นมีอุปสรรครออยู่ และถ้าคนที่ไปเป็นราชันย์ยุทธ์คนอื่น ต่อให้คนคนนั้นจะมีระดับสูงสุดแล้วในขั้นก็อาจจะยากที่จะหนีออกมา ผิดกับฉู่โม่วที่ยังสามารถหนีออกมาได้อย่างราบรื่น
สิ่งนี้เองก็ทำให้ผู้ปลุกพลังจากสำนักเมฆาม่วงต่างสงสัยในตัวฉู่โม่วมากยิ่งขึ้น เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาเท่านั้น
ไม่ว่าฉู่โม่วจะเก็บซ่อนความแข็งแกร่งทั้งหมดเอาไว้หรือไม่ ยังไงเสียพวกเขาก็มีราชันย์เทพยุทธ์ถึงห้าคนกับนายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วง ดังนั้นแล้วต่อให้ฉู่โม่วจะหันเขี้ยวเล็บใส่ พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เวลาจึงดำเนินไปอีกหนึ่งวันกว่าจะมาพบทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ไม่สิ… เรียกทะเลสาบคงจะไม่ได้แล้ว
สถานที่แห่งนี้… มีขนาดใหญ่ไม่ต่างอะไรกับมหาสมุทรเลย!
ขนาดของมัน
น่าจะใกล้เคียงกับมหาสมุทรแล้ว เป็นมหาสมุทรที่มีสายฟ้าสีเหลืองทองกระจายตัวไปทั่วราวกับเป็นแผ่นปกคลุมผืนน้ำเอาไว้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบแต่กระแสไฟฟ้าอัดแน่นเต็มไปหมด!
“จากบันทึก ที่นี่แหละที่น่าจะเป็นสถานที่ที่มีดอกผลึกแก้วอัสนี!”
นายน้อยแห่งสำนักเมฆาม่วงหยุดเดินและพูดด้วยเสียงเบา
…
…
MANGA DISCUSSION