บทที่ 258 มุ่งหน้าสู่เขตแดนอัสนีบาตคำรนและกลุ่มคนประหลาด
“คุณฉู่ จะจากไปเร็วถึงเพียงนี้จริง ๆ เหรอครับ? ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักวันสองวัน เมืองหยวนซานแห่งนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างน่าเดินชมอยู่อีกนะครับ”
เช้าวันต่อมา
เมื่อฉู่โม่วกล่าวคำลา เฉียนเหิงก็รีบเข้ามาพูดกับเขา
“ผู้นำตระกูลเฉียน จริง ๆ แล้วผมยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องไปทำอยู่อีกน่ะครับ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ผมก็ใช้เวลาไปเยอะแล้ว เพราะงั้นในเมื่อตอนนี้ตระกูลเฉียนปลอดภัยดี ผมเลยเลือกที่จะไปจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ต่อน่ะครับ”
เขาพูดไปตามตรง
“หากเป็นเช่นนั้น ผมเองก็คงไม่รั้งคุณไว้ให้เป็นการเสียเวลา”
“หากในอนาคตคุณฉู่ได้มายังดินแดนแห่งนี้อีก ได้โปรดแวะเวียนมายังบ้านตระกูลเฉียนได้ตลอดเลยนะครับ”
เฉียนเหิงพูด
“ได้เลยครับ”
ฉู่โม่วพยักหน้า จากนั้นหันหน้าออกไปยังหน้าประตูและกลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
ในตอนนั้น
เฉียนเหิงเดินนำเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลตามไปดู จนกระทั่งพวกเขามองไม่เห็นฉู่โม่วอีก
ผ่านไปสักพักคนเหล่านี้ก็ได้สติอีกครั้ง
“คุณฉู่… คุณน่ะคือผู้สร้างความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด… เสมือนเทพที่ลงมาโปรดมนุษย์”
คำพูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย
และในขณะเดียวกัน
ภายในหัวใจของเฉียนเหิงก็มีความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา ความรู้สึกที่บอกว่า… เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอฉู่โม่วอีกในตลอดช่วงชีวิตนี้
และสิ่งนั้นเองก็ทำให้เขาพลอยรู้สึกเสียใจไปอยู่พักใหญ่ ๆ
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถทำใจยอมรับมันได้
ฉู่โม่วผู้นั้นถือเป็นมังกรหลับใหลที่แท้จริง วันใดที่เขาคิดจะทะยานฟ้า ไม่ว่าเพดานจะสูงแค่ไหนก็ไม่อาจเป็นอุปสรรคได้ ในขณะที่เขานั้นเป็นเพียงผู้ปลุกพลังทั่ว ๆ ไปคนหนึ่งที่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ผูกมิตรกับมังกรหลับใหลอย่างฉู่โม่วเช่นนี้
“ไปกันเถอะ”
เฉียนเหิงหันหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ของตน “กลับไปปรึกษากันเรื่องสิ่งต่าง ๆ ที่ตระกูลเฉียนของฉันต้องทำ แล้วมาร่วมกันพัฒนาตระกูลของพวกเราให้ดียิ่งขึ้น!”
…
บนท้องฟ้า
ฉู่โม่วกำลังบินไปยังทิศทางของเขตแดนลับอย่างรวดเร็ว
ตามที่เฉียนเหิงกล่าวเอาไว้ เขตแดนลับแห่งนี้อยู่ลึกไปในหุบเขาราว ๆ แปดแสนกิโลเมตร
หากจะเข้าไปยังเขตแดนลับแห่งนี้ด้วยเส้นทางธรรมชาติ ต่อให้เป็นผู้ปลุกพลังขั้นราชันย์เทพยุทธ์ก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าถึงได้
แต่ด้วยชั่วลัดนิ้วมือของฉู่โม่วนั้น เพียงแค่หนึ่งก้าวก็ทำให้เขาเดินทางไปไกลกว่าสี่พันกิโลเมตร เขาถึงย่นระยะเวลาการเดินทางไปได้มากเลยทีเดียว
หลังจากที่เดินทางมาแล้วสักพัก
ฉู่โม่วก็ก้าวเข้าสู่เทือกเขาที่ไม่คุ้นเคย
เมื่อมองลงไป เขาก็พบว่าเบื้องล่างนั้นมีรอยแยกเป็นหุบเขาอยู่ลึกลงไปด้านล่าง
มันยาวราว ๆ แสนกิโลเมตร และกว้างราว ๆ สามพันกิโลเมตร
เขาลอยตัวอยู่บนอากาศและมองลงมา มันเหมือนรอยแยกเสียมากกว่าหุบเขา ราวกับโลกถูกผ่าลงมาจนเหลือร่องรอยที่น่าประหลาดใจเช่นนี้ไว้
“ที่นี่สินะ”
ด้วยเสียงพูดเบา ๆ ฉู่โม่วดิ่งลงไปเบื้องล่างและลงไปยืนที่พื้น
ไม่นานนัก
เขาก็ย่นมิติเข้าไปยังจุดที่ลึกที่สุดของหุบเหวนี้
“จากที่เฉียนเหิงพูดไว้ ทางเข้าเขตแดนลับนั้นอยู่ที่แท่นบูชาซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของรอยแยก ฉันแค่ต้องไปยืนอยู่บนแท่นนั้นและเปิดประตูเข้าไปด้วยหินปฐมกาล จากนั้นก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังเขตแดนลับโดยอัตโนมัติ”
ฉู่โม่วเริ่มมองหาสิ่งนั้น
ที่ตั้งของแท่นบูชาดังกล่าวค่อนข้างจะลึกลับ หากเป็นคนธรรมดาคงยากที่จะหาเจอ แต่ด้วยความที่ฉู่โม่วได้ถามรายละเอียดต่าง ๆ มาจากเฉียนเหิงแล้ว จึงทำให้เขาใช้เวลาหาตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ ตามที่ได้รู้มานิดหน่อย ก่อนจะเจอเข้ากับแท่นบูชาดังกล่าว
มันเป็นแท่นบูชาที่มีขนาดกว้างหลายเมตร และมีลวดลายที่ดูน่าสงสัยถูกสลักเอาไว้มากมาย
รอบแท่นที่ถูกยกสูงนี้มีช่องเล็ก ๆ กว่าสิบช่อง ดูเหมือนจะเตรียมไว้สำหรับบรรจุหินปฐมกาล
เขาไม่รอช้า หยิบเอาหินปฐมกาลขึ้นมาและใส่ลงไปในช่องว่างพวกนั้น จากนั้นก็กระตุ้นให้หินปฐมกาลทั้งหมดทำงานพร้อมกัน
ซุ่ม!
ทันใดนั้นเอง
คลื่นที่มองไม่เห็นก็กระจายเป็นวงกว้างออกมา
ทำให้หินปฐมกาลในช่องที่ถูกบรรจุไปหลอมละลายราวกับน้ำแข็งที่ละลายเป็นน้ำ อณูแห่งชีวิตฟุ้งกระจายออกมาจากรอบด้าน อณูแห่งชีวิตเหล่านั้นถูกแท่นบูชานี้ดูดกลืนราวกับธารน้ำวนที่ไหลเข้าสู่จุดศูนย์กลาง
ขณะเดียวกัน
ตัวแท่นบูชาก็เหมือนจะตอบสนองกับอณูแห่งชีวิต มันเริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นมา
ลวดลายบนแท่นนั้นค่อย ๆ เปล่งแสงขึ้นมาจนกระทั่งเติมเต็มรอยแกะสลักที่บริเวณกลางแท่นบูชาจนเกิดลำแสงสว่างจ้าขึ้นมา และลำแสงนั้นก็ห่อหุ้มร่างของฉู่โม่วไว้
เพียงชั่วพริบตา ภาพที่ฉู่โม่วเห็นกลายเป็นเพียงสีดำมืด ทว่าหากเป็นสายตาที่ผู้อื่นมองอยู่ ฉู่โม่วได้หายตัวจากจุดที่อยู่ไปอย่างไร้ร่องรอย
…
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
เมื่อฉู่โม่วกลับมามองเห็นรอบ ๆ ตัวได้อีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองมาอยู่ในที่แปลกประหลาดเสียแล้ว
ที่นี่มีสายฟ้าฟาดและพลังงานสายฟ้ากระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
กระแสไฟฟ้าที่ลอยอยู่ในบรรยากาศเข้าโจมตีฉู่โม่วโดยอัตโนมัติ การโจมตีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องราวกับว่ามันมีชีวิต และจุดประสงค์ของมันคือการฉีกฉู่โม่วเป็นชิ้น ๆ
ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายฉู่โม่ว ต่อให้ไม่มีพลังของอัสนีบาตคงกระพัน กระแสไฟฟ้าระดับนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว
“นี่เหรอ เขตแดนลับนั่น?”
ฉู่โม่วพูดเบา ๆ โดยที่แววตาของเขาแสดงความประหลาดใจออกมา
ไม่ใช่ว่าเพราะเขาคิดว่าตนเองมาผิดที่
แต่เพราะ…
ในความคิดของเขา ที่นี่ดูไม่เหมือนเขตแดนลับเสียเท่าไหร่ มันเหมือนกับ…
“มิติทับซ้อน?”
ฉู่โม่วเอ่ยออกมา
เมื่อตอนที่แท่นบูชาทำงาน พลังในการรับรู้คลื่นมิติของชายหนุ่มเองก็ทำงานตลอดเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้จากที่เขาได้เข้ามาในเขตแดนลับ มันจะเหมือนกับเขาได้เดินผ่านกำแพงที่มองไม่เห็นเข้าไป ซึ่งถ้าอิงตามความเข้าใจของฉู่โม่ว สิ่งนั้นน่าจะเป็นเกราะป้องกันเขตแดน
ผิดกับครั้งนี้ที่เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น
กลับกัน เขายังรู้สึกเหมือนว่าตนเองไม่ได้เคลื่อนย้ายที่ไปไหนเลยแม้แต่น้อย
แต่มันก็ชัดเจนว่าสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวเขามาจากหุบเขานี่จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือการรับรู้ที่ผิดพลาด สายฟ้าเหล่านี้มีอยู่จริงแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ก็ตาม
‘เขตแดนลับอัสนีบาตคำรน… แท้จริงแล้วเป็นมิติทับซ้อน!’
‘ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของโลกใบนี้ แต่หากถูกซ่อนไว้ในโลกโดยการเขียนทับลงไปด้วยพลังที่แกร่งกล้า! คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้… ต้องมีพลังมากพอที่จะสร้างและซ่อนมันเอาไว้บนโลกใบนี้!’
ฉู่โม่วคิดกับตนเอง
เมื่อหาข้อสรุปได้แล้ว เขาก็เลิกประหลาดใจแล้วเดินตรงไปด้านหน้า
ทั้งที่มีพลังหลบซ่อนจากคนทั่วไปได้ขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้ลึกลับจนคนไม่อาจค้นพบ
ผนวกกับยังมีตรานี่ไว้สำหรับเชื้อเชิญให้เข้ามา
หลักฐานสองอย่างนี้มันง่ายมากสำหรับการทำให้ฉู่โม่วคิดว่าสถานที่แห่งนี้คือดินแดนโบราณ
“บางทีถ้าฉันฝึกฝนอยู่ที่นี่ พลังของฉันจะต้องเพิ่มขึ้นแน่ ๆ !”
ฉู่โม่วพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
จากนั้น
เขาไม่ลังเลและเริ่มเดินเข้าไปสำรวจตามซอกมุมต่าง ๆ ที่มีกระแสไฟฟ้ากระจัดกระจายออกไป
พลังของกระแสไฟฟ้าภายในพื้นที่แห่งนี้ค่อนข้างรุนแรงและแข็งแกร่ง ยิ่งเดินลึกเข้าไป เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นและรุนแรงของสายฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น
ท่ามกลางกระแสไฟฟ้าที่โหมกระหน่ำในพื้นที่แห่งนี้ ยังมีพลังวิญญาณอัดแน่นแฝงอยู่ด้วย
เหตุผลที่ฉู่โม่วสามารถสร้างร่างกายอัสนีบาตคงกระพันได้ ก็เพราะเขาเคยเอาตัวเองไปฝึกฝนอยู่ในสระอัสนี ทว่าสระอัสนีในครั้งนั้นไม่ได้มีพลังสูงถึงขนาดนี้ แถมยังมีพลังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตอนนี้
ราวกับสัตว์ตัวเล็กที่เอาไปเทียบชั้นกับสัตว์ที่มีสติปัญญา
ความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
พลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในที่แห่งนี้เองก็เป็นส่วนช่วยทำให้พลังสายฟ้าแข็งแกร่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เพราะการมีอยู่ของพลังวิญญาณที่หนาแน่นเกินไป มันก็พลอยทำให้ผู้ปลุกพลังดูดกลืนพลังสายฟ้าเข้าไปได้ยากด้วย
ฉู่โม่วเพียงแค่ลองดูดกลืนพลังสายฟ้าเข้าไปนิดหน่อย ก่อนที่จะหยุดไป
ถึงแม้ว่าพลังของสายฟ้านี้จะแข็งแกร่ง ประสิทธิภาพในการดูดกลืนถูกลดต่ำลง แต่มันก็ยังดึงดูดฉู่โม่วได้เหมือนเดิม
“คงต้องเข้าไปลึกกว่านี้อีก”
เขาคิดกับตนเอง
จากนั้นก็เริ่มเดินตรงเข้าไปลึกขึ้น
ไม่นานนัก
สัตว์อสูรตนหนึ่งก็ออกมาขวางทางไว้
ร่างของมันเต็มไปด้วยสายฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วจนเหมือนกับว่ามันเปล่งแสงออกมา ด้วยผิวที่เป็นสีม่วงนั้นเอง ทำให้มันดูอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างอันมหาศาล
“อสูรอัสนีระดับ 7 ชั้นกลางงั้นเหรอ?”
สายตาของฉู่โม่วหรี่ลงขณะพูดด้วยเสียงเบา
สิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘อสูรอัสนี’ นี้ ไม่ใช่สัตว์อสูรที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าแต่อย่างใด …ไม่ใกล้เคียงด้วย
มันคือสัตว์อสูรทั่วไปที่อาศัยอยู่ในเขตแดนที่มีสายฟ้าปกคลุมไปทั่วและโดนสายฟ้าเหล่านี้โจมตีอยู่ตลอดหลายปี จนในท้ายที่สุด ร่างกายของพวกมันก็เริ่มปรับตัวให้สามารถรับและนำพลังงานสายฟ้ามาใช้ได้ ถือเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรทั่วไปอีกระดับ
เหตุผลที่เฉียนเหิงบาดเจ็บสาหัสในครั้งนั้น ก็เพราะเขาโดนสัตว์อสูรอัสนีร่วมร้อยตัวรุมทำร้ายยังไงล่ะ
“กรรร!”
อสูรอัสนีรูปร่างคล้ายสิงโตพุ่งเข้าใส่ฉู่โม่ว
ร่างนั้นคล่องแคล่วราวกับสายฟ้าฟาด เพียงชั่วพริบตามันก็เข้ามาถึงฉู่โม่วด้วยปากที่อ้ากว้างนั้นแล้ว
เปรี๊ยะ!
ลำแสงที่เต็มไปด้วยพลังงานสายฟ้าถูกพ่นออกมาจากปาก
ชิ้ง!
โดยปราศจากความลังเล ฉู่โม่วชักเอากระบี่สารทสังหารขึ้นมา เขาเลือกที่จะไม่ถอยและตั้งท่ารับมือแทน คมกระบี่เชือดเฉือนลำแสงนั้นขาดราวกับเป็นขนม ก่อนจะปลดปล่อยปราณกระบี่รุนแรงพุ่งทะยานสูงเสียดฟ้า
ฉัวะ!
ปราณกระบี่พาดผ่านไป
อสูรอัสนีตัวนี้ไม่สามารถต้านทานสิ่งใดได้เลย ร่างของมันขาดเป็นสองท่อนก่อนจะร่วงลงไปนอนกับพื้นจนแน่นิ่งไป
ในตอนนี้
สำหรับฉู่โม่วแล้ว สัตว์อสูรระดับ 7 ไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป
เขาไม่เกรงกลัวมันอีกแล้ว
ตลอดทางที่เดินเข้าไปนั้น ฉู่โม่วยังพบเจอกับสัตว์อสูรที่เข้ามาโจมตีเรื่อย ๆ และแม้ว่าพวกมันบางตัวจะแข็งแกร่งเทียบเท่าราชันย์เทพยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้คณนามือฉู่โม่วเลยแม้แต่น้อย
หลายชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป
ในตอนนี้
เขาได้พบเจอกับกลุ่มของผู้ปลุกพลังกลุ่มหนึ่ง
ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหล่านี้จัดอยู่ในระดับไม่ธรรมดา มองแล้วน่าจะมีราว ๆ ห้าสิบคนได้ ประกอบด้วยผู้ปลุกพลังขั้นราชันย์เทพยุทธ์ห้าคน และที่เหลือเป็นราชันย์ยุทธ์ โดยที่ราชันย์ยุทธ์ทั้งหมดอยู่เหนือกว่าระดับกลางทั้งสิ้น
และที่ไม่ควรมองข้าม
ราชันย์เทพยุทธ์ทั้งห้าคนนี้ห้อมล้อมผู้ปลุกพลังวัยเยาว์คนหนึ่งที่มีพลังระดับสูงสุดในขั้นราชันย์ยุทธ์ เสมือนว่าคนเหล่านี้กำลังคอยป้องกันและรับคำสั่งด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความเคารพ
“หรือว่าราชันย์ยุทธ์คนนั้นจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของคนพวกนี้นะ?”
“ราชันย์เทพยุทธ์ทั้งห้านั้นเป็นผู้ติดตามเหรอ?”
ฉู่โม่วแอบประหลาดใจเล็กน้อย
มีราชันย์เทพยุทธ์เป็นผู้ติดตามได้ ต้องเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
แต่นี่ก็ทำให้ฉู่โม่วรู้สึกแปลกใจ
นอกจากราชันย์เทพยุทธ์ทั้งห้า กับราชันย์ยุทธ์อีกร่วมหลายสิบคนที่ออกมาเกาะกลุ่มกันแล้ว ราชันย์ยุทธ์คนอื่น ๆ ก็อยู่ในแคมป์ของตนเองกันหมด กระนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ดูเหมือนจะมีความอิจฉาซึ่งกันและกัน ทำให้ดูน่าประหลาดใจ
“หรือว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาจากฝ่ายเดียวกัน?”
ฉู่โม่วคิดกับตนเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะแสดงตัวออกมาและเดินเข้าไปหากลุ่มคนเหล่านี้
“หยุดนะ!”
การมาของฉู่โม่วทำให้ราชันย์ยุทธ์ขั้นราชันย์ยุทธ์ระดับสูงตะโกนขึ้นมา
“เหวอ!? จ… จะทำอะไรผมเหรอครับ!?”
ฉู่โม่วแสร้งทำเป็นตกใจและหันมองทุกคนด้วยความหวาดกลัว
“นั่นมันคำถามของพวกฉัน! พวกฉันกำลังมุ่งหน้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของเขตแดนอัสนีบาตคำรนนี่ ส่วนแก… เป็นแค่ราชันย์ยุทธ์ระดับต้น แอบสะกดรอยตามพวกเรามาแบบนี้คิดจะทำอะไรกันแน่!” ราชันย์ยุทธ์ระดับสูงถาม
ได้ยินแบบนั้นฉู่โม่วก็เถียง “ผมไม่ได้สะกดรอยตามสักหน่อย! ก็แค่มาหาสมบัติเอง!”
“มาหาสมบัติ… แกหมายถึง สมบัติแห่งโลกและสวรรค์น่ะเหรอ?”
ราชันย์ยุทธ์คนเดิมแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “เป็นแค่ระดับต้นแต่คิดจะมาหาสมบัติในนี้งั้นเหรอ? กระแสไฟฟ้าในอากาศจะทำให้แกตายได้ ไม่ต้องพูดถึงอสูรอัสนีเลย ลำพังเพียงสัตว์อสูรระดับล่าง ๆ ก็พอจะฆ่าแกได้แล้ว!”
“เรื่องนั้นไม่กลัวหรอกครับ! ยังไงซะผมก็เข้ามาที่นี่เพื่อจะจัดการกับอสูรอัสนีอยู่แล้ว!”
ฉู่โม่วแสร้งทำเป็นภาคภูมิใจในตนเองและเผยไต๋ออกมา “ผมไม่อยากจะอวดหรอกนะ แต่ผมน่ะมีพรสวรรค์ธาตุสายฟ้าอยู่ เพราะงั้นกระแสไฟฟ้าในบรรยากาศที่นี่ทำอะไรผมไม่ได้ทั้งนั้น! ไหนจะยังมีพรสวรรค์ธาตุลมอีก ไว้เดี๋ยวเจออสูรอัสนีที่สู้ไม่ไหวจริง ๆ ค่อยวิ่งหนีก็ยังทำได้เลย!”
“โอ้?”
ได้ยินเช่นนั้น
ราชันย์ยุทธ์ระดับสูงผู้กล่าวคำดูถูกในตอนแรกก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย
ในขณะที่ราชันย์เทพยุทธ์ทั้งห้าก็หันมองหน้ากันเอง ก่อนจะหันกลับไปมองราชันย์เทพยุทธ์ระดับสูงที่พวกเขาห้อมล้อมไว้
…
…
MANGA DISCUSSION