บทที่ 220 ผู้ใช้จิตวิญญาณระดับ 2 และที่อยู่ของผลึกทองพิสุทธิ์หมื่นดารา!
วิหารราชันย์เทพยุทธ์
ภายในห้วงมิติของแผ่นศิลารู้แจ้ง
ฉู่โม่วกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน ดวงตาปิดสนิทและหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนกระบวนท่าฝึกวิญญาณจิตสังหาร
ภายในสมอง
ตลอดเวลาที่ฝึกฝนนี้ กลุ่มก้อนของหมอกทองคำจะถูกสร้างขึ้น และทุกครั้งที่หมอกทองคำเกิดขึ้นมาจะรู้สึกได้ว่าพลังจิตวิญญาณพลอยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้ดำเนินอยู่ถึงสามสิบวัน ใช่แล้ว สามสิบวันผ่านไปในพริบตา
ในวันนี้
ตู้ม!
ขณะที่กำลังฝึกฝนเหมือนดั่งทุกวัน เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นรุนแรงบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในสมองของตนเอง
จากนั้นพบว่าบริเวณรอบ ๆ สมองเกิดเป็นระลอกหมอกมากมายที่ก่อตัวคล้ายมวลเมฆ คลื่นหมอกเหล่านี้กระเพื่อมเหมือนคลื่นความไม่สงบบนผิวน้ำที่พอเกิดบ่อยขึ้นมันก็ค่อย ๆ เกิดคลื่นเบาลงจนกระทั่งหายไปทั้งหมด
ครู่หนึ่ง
สิ่งที่เหมือนกับเมฆหมอกหายไปจนหมดแล้ว จากนั้นแทนที่ด้วยหยดของเหลวสีทองที่หยดลงบนสมองก่อเกิดเป็นแสงสีทองสว่างจ้า
“นี่มัน… สายธารจิตวิญญาณ!”
“แสดงว่าฉันก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใช้จิตวิญญาณระดับ 2 แล้ว!”
ชายหนุ่มลืมตาตื่นและพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสุข
การฝึกฝนวิญญาณจิตสังหารนี้ยากเสียยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ซะอีก!
ด้วยการเพิ่มความเข้าใจจากแผ่นศิลารู้แจ้ง ประกอบกับพรสวรรค์แห่งห้วงเวลา ทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นได้อีกสี่เท่า ดังนั้นทำให้ทักษะในการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เร็วกว่าผู้ปลุกพลังคนอื่นถึงหนึ่งต่อสี่วัน
แต่ถึงอย่างนั้นยังต้องใช้เวลากว่าสามสิบวันถึงจะผ่านระดับแรกมาได้อยู่ดี
หากเปลี่ยนปริมาณวันเหล่านี้เป็นแต้มคะแนนราชันย์เทพยุทธ์ละก็ จะต้องใช้มากถึง 1,500 แต้มเลยทีเดียว
ราคาที่แลกมานั้นถือว่ามากมายอยู่
ทว่า
“คุ้มค่า!”
เมื่อตระหนักได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่กลั่นกรองอยู่ภายในห้วงจิต ฉู่โม่วก็พูดเบา ๆ
ไม่อยากจะคิดว่านี่เป็นเพียงขั้นแรก
ด้วยวิธีการใช้งานของพลังแห่งจิตวิญญาณนั้นค่อนข้างแปลกและยากเกินกว่าจะคาดเดา ในตอนนี้ ฉู่โม่วสามารถรับรู้ได้ว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของตนนั้นสูงกว่าเดิมอย่างน้อย ๆ ก็ 10 เท่าเข้าไปแล้วจากระดับแรกสุด
อิงจากที่ฉู่โม่วคาดเดา
ในตอนนี้ ต่อให้เขาจะไม่ใช้พลังกายหรือพลังปราณ เขาก็สามารถรับมือกับจ้าวยุทธ์ได้ เผลอ ๆ ราชันย์ยุทธ์ทั่ว ๆ ไปก็ไม่ต้องกังวลด้วย หากเขาได้มาซึ่งผลึกทองพิสุทธิ์หมื่นดารา เขาก็จะสามารถสร้างอาวุธพลังจิตของตนเองได้ และนั่นก็จะยิ่งทำให้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เมื่อเวลานั้นมาถึง
มันจะเพิ่มพลังให้ฉู่โม่วแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งได้มากกว่านี้อีกมากมายแน่ ๆ
‘การใช้บริการของแผ่นศิลารู้แจ้งสามสิบวันใช้แต้มคะแนนราชันย์เทพยุทธ์ถึง 1,500 คะแนน ฉันคงใช้ต่อเนื่องมากไม่ได้แน่’
‘ในตัวเหลือแต้มคะแนนราชันย์เทพยุทธ์แค่ 1,300 คะแนนเท่านั้น ถ้างั้นต่อไปคงจะต้องเปิดใช้งานจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่าเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แทนแล้ว’
คิดได้ดังนั้น
ฉู่โม่วก็ออกจากที่แห่งนี้ไป และเดินไปคุยกับร่างเสมือน เพื่อขอให้ช่วยเปิดจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่าให้ตนหน่อย
[คุณฉู่โม่วที่เคารพ ท่านผู้เป็นผู้สืบทอดแห่งวิหารราชันย์เทพยุทธ์ จารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่าใช้แต้มคะแนนราชันย์เทพยุทธ์ 20 คะแนนต่อวันสำหรับสั่งเปิดใช้งาน และจำเป็นต้องเปิดใช้งานอย่างน้อยสามวันต่อหนึ่งรอบ ต้องการให้เปิดหรือไม่?]
ร่างเสมือนถาม
“เปิดครับ”
ฉู่โม่วตอบโดยไม่ลังเล
[เชิญตามมา]
ได้รับคำตอบเช่นนั้น ร่างเสมือนก็เปิดรอยแยกมิติและเดินเข้าไปด้านในกับชายหนุ่ม
ในตอนแรก ภายในนั้นเป็นเพียงสถานที่มืดดำเท่านั้น แต่ทุกสิ่งอย่างดูจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปอยู่ภายใต้ความมืดมิดนี้
“ยังมีมิติลับอยู่อีกแห่งเหรอเนี่ย?”
เขาค่อนข้างประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อภาพทุกอย่างปรากฏขึ้นอีกครั้งก็พบว่าภายในมิติเล็ก ๆ แห่งนี้ มีพื้นที่ร่วมสิบหกกิโลเมตร ที่นอกจากทุ่งหญ้ากับบ่อน้ำเล็ก ๆ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอยู่เลย
ขณะนั้น แม้แต่บ่อน้ำเองก็ไม่มีร่องรอยว่ามันเคยมีน้ำเติมเต็มอยู่เลยด้วยซ้ำ
“ร่างเสมือนวิหารราชันย์เทพยุทธ์ สิ่งที่ผมอยากให้ช่วยเปิดใช้งานคือจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่านะครับ ทำไมถึงไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของอณูแห่งชีวิตจากที่แห่งนี้เลยล่ะ?”
ฉู่โม่วถามด้วยความสงสัย
[ได้โปรดรอสักครู่ จิตวิญญาณกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อเปิดใช้งานจารึกแห่งนี้อยู่ อย่าได้กังวล]
ร่างเสมือนกล่าว
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงรอเงียบ ๆ อย่างใจเย็น
ครู่หนึ่ง
จู่ ๆ ร่างเสมือนก็พูดขึ้นมา [เขตแดนมนตราหลอมรวมวิญญาณได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นขอตัวก่อน หากคุณต้องการออกจากที่นี่เมื่อไรให้ตะโกนเรียกดัง ๆ แล้วผมจะมาพาออกไปในทันที]
พูดจบ
ร่างของร่างเสมือนก็หายไปจริง ๆ
ฉู่โม่วมองการผลุบ ๆ โผล่ ๆ ของเหล่าราชันย์เทพยุทธ์เหล่านี้ด้วยความไม่ชินตาเสียที
ในขณะเดียวกัน ภายในใจยังรู้สึกสับสน…
ที่แห่งนี้ไม่มีกลิ่นอายของอณูแห่งชีวิตอยู่เลย แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่านี้เสร็จสมบูรณ์แล้วงั้นเหรอ?
หรือว่ามันจะเสียหาย?
เขาคิดกับตนเอง
แต่ในขณะที่คิดเช่นนั้น
ซู่!
ภายในบ่อน้ำเล็ก ๆ ตรงหน้า มีน้ำนมสีขาวปริมาณมากค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นมาจนกระทั่งท่วมท้นทั้งบ่อ มันส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ไปทั่ว
และตลอดเวลาที่ของเหลวสีขาวนี้ค่อย ๆ เติมเต็มขึ้นมา มันก็สร้างอณูแห่งชีวิตให้ก่อตัวหนาขึ้นภายในจารึกแห่งนี้ด้วย
เพียงชั่วพริบตา
ปริมาณของอณูแห่งชีวิตภายในก็ถึงจุดสูงสุดที่ฉู่โม่วจะสามารถประเมินค่าได้แล้ว
ถึงอย่างนั้นแล้ว อณูแห่งชีวิตเหล่านี้ยังไม่หยุดเพิ่มตนเอง และยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง
ราวครึ่งชั่วโมง อณูแห่งชีวิตเหล่านี้ถึงค่อยหยุดเพิ่มจำนวนไป
และในตอนนั้น
ระดับปริมาณของอณูแห่งชีวิตภายในจารึกแห่งนี้ก็จัดอยู่ในขั้นที่สูงจนน่ากลัวไปเป็นที่เรียบร้อย
ระหว่างโลกและสวรรค์ อณูแห่งชีวิตที่เพิ่มมาจนเห็นชัดด้วยตาเปล่าก่อตัวเป็นหมอกหนา ซึ่งบางส่วนก็กลายสภาพเป็นหยาดฝนโปรยปรายลงไปในดินให้กลืนกินเข้าไป
“ปริมาณมหาศาลจนน่าเหลือเชื่อเลยแฮะ!”
ฉู่โม่วอุทานออกมา ก่อนจะเผลอใช้การปรับแต่งพลังงานดั้งเดิมของยีนไปโดยไม่รู้ตัว
ในทันที
อณูแห่งชีวิตที่ท่วมท้นอยู่ในห้วงอากาศเริ่มถูกกระตุ้นราวกับได้รับคำสั่ง มันรวมตัวกันก่อนจะโถมเข้าใส่หัวของฉู่โม่วและหลั่งไหลไปทั่วทั้งร่าง
‘แค่ดูดกลืนหมอกนี้เข้ามาก็ได้อณูแห่งชีวิตสูงกว่าปกติถึงห้าสิบเท่าแล้ว!’
เขาคิดกับตนเอง
จากนั้น
สายตาของฉู่โม่วก็เหลือบไปมองที่บ่อน้ำเบื้องหน้า
ของเหลวสีขาวขุ่นที่อยู่ภายในบ่อแท้จริงแล้วไม่ใช่น้ำตามธรรมชาติแต่อย่างใด แต่เป็นของเหลวที่เกิดจากการกลั่นของอณูแห่งชีวิตที่เข้มข้นมากจนสามารถปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมได้
เขาจึงเห็นว่า
ของเหลวที่ทรงพลังเหล่านี้สามารถเพิ่มพลังให้กับชายหนุ่มได้อย่างรวดเร็ว!
“เริ่มฝึกฝนเลยก็แล้วกัน!”
เขาตัดสินใจกระโดดลงไปในบ่อน้ำ
ผิวน้ำที่เคยเงียบสงบ ตอนนี้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนมากมายและกลายสภาพเป็นคลื่นน้ำขนาดใหญ่โถมเข้าใส่ราวกับเป็นผืนทะเลเกรี้ยว
ภายใต้การโถมใส่ของอณูแห่งชีวิตที่หนาแน่นเหล่านี้ เขารู้สึกได้ถึงทุกอณูเซลล์บนร่างกายที่กำลังดูดกลืนอณูแห่งชีวิตเหล่านี้ ซึ่งพัฒนาร่างกายของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สมชื่อจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่าจริง ๆ !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในร่างกาย แววตาของฉู่โม่วก็เป็นประกายขึ้นมา
จากนั้นเริ่มคิดต่อภายในใจ
‘ด้วยความเร็วสี่เท่าจากพรสวรรค์แห่งห้วงเวลา ผนวกกับการเพิ่มพลังแบบห้าเท่าจากการปรับแต่งพลังงานดั้งเดิมของยีน ฉันจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งได้มากถึงยี่สิบเท่า ทำให้ระยะเวลาร้อยปีที่ต้องใช้กับการฝึกฝนเพื่อไปถึงขั้นจ้าวยุทธ์ระดับสูงเหลือเพียงห้าปีเท่านั้น!’
‘และด้วยพลังของจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่าจะช่วยเพิ่มพลังให้อีกขั้นหนึ่ง ด้วยการเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าภายในที่แห่งนี้ นั่นหมายถึงความแข็งแกร่งและความเร็วในการฝึกจะเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่าจากปกติ’
‘เวลากำลังจะสั้นลงอีกจนเหลือราว ๆ …’
‘ครึ่งปี!’
‘เพียงแค่ครึ่งปี ฉันสามารถไปสู่ขั้นจ้าวยุทธ์ระดับสูงได้อย่างแน่นอน!’
‘หรือถ้า… ฉันใช้สมบัติแห่งโลกและสวรรค์กับเลือดอสูรช่วยด้วยอีกแรง เวลาที่ต้องเสียไปก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก บางทีอาจจะใช้แค่สี่เดือนเท่านั้นด้วย!’
สี่เดือนกับการเข้าถึงจ้าวยุทธ์ระดับสูง ช่างเป็นความเร็วที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้?
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปละก็…
ต้องมีผู้ปลุกพลังจำนวนมากที่ทั้งหวาดกลัวและอิจฉาฉู่โม่วอย่างแน่นอน
“เอาละ ฝึกฝนต่อเลย!”
“เพื่อให้ไปถึงจ้าวยุทธ์ระดับสูงให้เร็วที่สุด หรือไม่ถ้าเป็นไปได้ก็ไปให้ถึงขั้นราชันย์ยุทธ์ให้ได้ก่อนที่เขตแดนศักดิ์สิทธิ์จะเปิด!”
ฉู่โม่วตัดสินใจ
เขายังจำได้ดีถึงสิ่งทดแทนที่ราชันย์เทพยุทธ์ชิงชางพูดไว้หลังจากเลือกที่จะไม่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์คนไหนเลย นั่นคือการเป็นตัวแทนเข้าไปในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่จะเปิดในอีกหกเดือนข้างหน้าภายในนามของราชันย์เทพยุทธ์แห่งฐานจงไห่
เขาไม่รู้ว่าอะไรคือเขตแดนศักดิ์สิทธิ์?
แต่ถ้าชื่อนี้ออกมาจากปากของราชันย์เทพยุทธ์ชิงชางแล้วละก็ ต้องไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างแน่นอน และภายในนั้นน่าจะมีอันตรายมากมายที่กำลังรออยู่
เพราะอย่างนั้นแล้ว
ตอนนี้ทำได้เพียงเพิ่มความแข็งแกร่งจนสามารถรับมือกับอันตรายทุกอย่างได้อย่างใจเย็นเท่านั้น
และเพื่อการนั้น
เขาจะเสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นก็หยิบเอาเลือดสัตว์อสูรระดับ 7 ออกมาจากมิติพกพาและดื่มมันลงไปหนึ่งอึก
พลังงานที่น่ากลัวแผ่ซ่านไปตามเส้นลมปราณกระจายไปสู่แขนและขา เขาหลับตาลงโดยไม่ลังเลเพื่อเข้าสู่การฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
เวลาไหลผ่านไปช้า ๆ
เพียงชั่วพริบตา เวลาสองเดือนก็ผ่านไป
ในวันนี้
ขณะที่กำลังฝึกฝนอยู่นั้น จู่ ๆ กำไลข้อมือที่เป็นบัตรประจำตัวก็เกิดการสั่นสะเทือนออกมา
เมื่อตอนจะเข้ามาฝึกในที่แห่งนี้ ฉู่โม่วได้ตั้งค่าไม่ให้ใครก็ตามส่งข้อมูลอะไรมารบกวนสมาธิของเขาระหว่างฝึกฝนแล้ว
แต่ยกเว้นเฉินซีเวย
ดังนั้นแล้ว ในตอนนี้ที่กำไลข้อมือสั่นสะเทือน บางทีอาจจะเป็นข้อความจากเธอก็ได้
“หรือว่าจะกลับมาจากการฝึกฝนกับราชันย์เทพยุทธ์เยือกแข็งแล้วนะ?”
คิดได้เช่นนั้น ฉู่โม่วก็ลืมตาตื่นและยกเอากำไลข้อมือขึ้นมาดู
อย่างที่คิด…
เป็นข้อความจากเฉินซีเวยจริง ๆ
เขาเพ่งมองเนื้อความ
“ผลึกทองพิสุทธิ์หมื่นดารา?”
“รู้ที่อยู่ผลึกทองพิสุทธิ์หมื่นดาราแล้วเหรอ?”
ข้อความที่พ่วงมาด้วยทำเอาคนอ่านหนาวไปทั้งใจ
“ซีเวย… เจอที่อยู่ของผลึกทองพิสุทธิ์หมื่นดาราแล้ว!?”
ผลึกทองพิสุทธิ์หมื่นดาราถือเป็นวัตถุดิบที่ควรค่ามากที่สุดแก่การสร้างอาวุธพลังจิต ฉู่โม่วตามหาสิ่งนี้มาตลอดตั้งแต่ได้กระบวนท่าฝึกวิญญาณจิตสังหารมา ทว่าก็ไม่เจอร่องรอยของมันเลย
ในตอนนี้ ข่าวคราวเรื่องนี้กลับมาจากเฉินซีเวย จึงทำให้แทบจะคุมสติให้นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้
“ต้องหาสิ่งนี้มาให้ได้เร็วที่สุด!”
เช่นนั้นแล้ว
ฉู่โม่วรีบลุกขึ้นยืนตะโกนเรียกร่างเสมือนของวิหารราชันย์เทพยุทธ์และปิดจารึกหลอมวิญญาณร้อยเท่านี้ จากนั้นก็รีบออกจากวิหารราชันย์เทพยุทธ์ไป
…
ภายในคฤหาสน์
ทันทีที่กลับมาถึงก็ได้ยินเสียงของเฉินซีเวยดังขึ้น
“ฉู่โม่ว!”
เธอนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาแล้ว ใบหน้าสวยจึงเกิดความปีติยินดี
ทั้งสองไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
อุณหภูมิรอบกายของเธอในครานี้เย็นกว่าเดิมเสียจนจำแทบไม่ได้เลย ขนาดอยู่ไกล ๆ ยังรู้สึกได้ราวกับว่าเธอคนนี้เป็นดอกบัวที่ถูกแกะสลักขึ้นจากก้อนน้ำแข็งอันงดงาม ทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม
ทว่า…
ความเยือกเย็นกับความน่าเกรงขามพลันมลายหายไปหมดยามที่ได้เห็นฉู่โม่วและแทนที่ด้วยความคุ้นเคยแทน
“ซีเวย!”
ชายหนุ่มกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มและเข้าไปโอบกอดหญิงสาวไว้ตามปกติ
ตอนนั้นเองตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
“เธอ… เป็นจ้าวยุทธ์ได้แล้วเหรอ?”
กลิ่นอายของเฉินซีเวยเปลี่ยนไปจนฉู่โม่วยังอดตะลึงไม่ได้
“ฉันคิดว่านายจะไม่รู้ซะอีกนะเนี่ย”
หญิงสาวอมยิ้มแล้วค่อย ๆ เล่าเหตุการณ์ทางฝั่งเธอให้ฟังอย่างมีความสุข “กระบวนท่าต่าง ๆ ที่ท่านอาจารย์นำมาสอนเหมาะสมกับฉันมาก ๆ เลยน่ะ แถมยังใช้วัตถุดิบมากมายรวมถึงสมบัติแห่งโลกและสวรรค์มาช่วยฝึกให้ฉันด้วย เพราะงั้นความเร็วในการฝึกฝนจึงเพิ่มแบบทวีคูณเลย เมื่อห้าวันก่อนก็เพิ่งจะทลายขีดจำกัดและขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้!”
ระหว่างที่ฟังเธอเล่า
ฉู่โม่วไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ถึงแม้ว่าพอจะสังเกตความเร็วในการพัฒนาความแข็งแกร่งที่เร็วขึ้นได้ตั้งแต่ที่ปลุกพรสวรรค์ตนเองให้ตื่นขึ้นมาก็จริง แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะเร็วน่ากลัวระดับนี้
โชคดี…
ที่สติของเขากลับมาได้ทันเวลา พร้อมกับรอยยิ้มที่กลับมาปรากฏบนใบหน้า
เฉินซีเวยคือคนรัก และการที่เธอเติบโตได้รวดเร็วเช่นนี้ย่อมต้องทำให้เขาดีใจไปกับเธออยู่แล้ว
ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นอีกสักพักเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างที่แยกจากกันไปพักใหญ่ ๆ
MANGA DISCUSSION