บทที่ 178 ความตกตะลึงของบรรพบุรุษตระกูลหมัว และความลับในอดีตกาล
ก่อนจะออกจากที่นี่
เพื่อไม่ให้ต้นทุนที่ลงแรงไปต้องสูญเปล่า ฉู่โม่วจึงฝึกฝนต่ออีกสักพักเพื่อดูดกลืนอณูแห่งชีวิตรอบ ๆ ตัวให้หมด ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาระดับเสถียรภาพของขั้นใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้มานี้ด้วย
ห้าวันให้หลัง
ภายใต้การพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ของฉู่โม่วหลังจากที่ทลายขีดจำกัดขั้นได้ พลังกายของฉู่โม่วก็คงที่อยู่ที่ 850,000 พลังช้างสาร เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเพิ่มได้มากกว่านี้แล้วสำหรับตอนนี้ เขาก็ออกจากที่นี่ไป
ฐานจินหลิง
ฉู่โม่วกลับมายังคฤหาสน์และเห็นว่าเฉินซีเวยกำลังร่ำเรียนกระบวนท่าอยู่ในห้องนั่งเล่น
เมื่อเธอเห็นว่าฉู่โม่วกลับมาแล้ว สีหน้าของสาวเจ้าก็เปี่ยมไปด้วยความสุขในตอนแรก ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอก็อดถามไม่ได้ “เห~ ที่รักของฉันไปทำอะไรมาน้า~ ทำไมถึงรู้สึกได้ว่านายแข็งแกร่งขึ้นกัน…”
“สมแล้วที่เป็นเธอ”
เขาพยักหน้าแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันเพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้น่ะ”
“ว้าว! ยินดีด้วยนะ ฉู่โม่ว!”
เธอยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวคำอวยพรจากหัวใจ
“เธอเองก็เป็นนายพลเมืองได้แล้วนี่นา ยินดีด้วยเหมือนกันนะ”
ฉู่โม่วพูดพลางยิ้มให้
ความผันแปรของห้วงมิติรอบ ๆ ตัวของเฉินซีเวยเปลี่ยนไป ซึ่งเขาสามารถสัมผัสสิ่งนี้ได้ดี และชัดเจนว่าเธอได้พัฒนาเข้าสู่ขั้นนายพลเมืองแล้ว ดังนั้นนี่ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอเป็นนายพลเมืองได้พักหนึ่งแล้ว
หากคิดทบทวนให้ดี
ตั้งแต่ที่เขาเข้าไปในมิติรอยแยกขนาดเล็กเพื่อฝึกฝน
สามเดือนแรกเขาฝึกฝนอยู่ที่นั่น จากนั้นก็ไปขุดหาแร่หินปฐมกาลเพิ่ม และผลลัพธ์ก็ดันไปเผอิญเจอเข้ากับแผ่นศิลารู้แจ้ง ทำให้ต้องจมปลักอยู่ภายในอุโมงค์นั่นร่วมสองเดือน จากนั้นถึงได้กลับมาฝึกต่อในแดนลับอีกเกือบสองเดือน พอรวม ๆ กันแล้ว เขาก็หายไปกว่าครึ่งปีเลย
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วหากเฉินซีเวยจะก้าวขึ้นเป็นนายพลเมืองได้
ยังไงเสีย ก่อนที่ฉู่โม่วจะเข้าไปในเขตแดนลับเพื่อฝึกฝน เธอก็เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสูงอยู่แล้ว และนายพลเมืองก็อยู่แค่เอื้อมมาตั้งแต่ตอนนั้น
“ยังห่างไกลจากนายน่า”
ฟังฉู่โม่วชื่นชมแล้ว เฉินซีเวยก็กัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ แล้วหลุดยิ้มออกมา เธอตอบกลับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
เมื่อฉู่โม่วเห็นท่าทีนั้นของเธอ เขาก็อดหัวใจเต้นแรงไม่ได้
ทั้งสองลงไปนั่งพูดคุยกันทีโซฟาภายในห้องนั่งเล่นอีกพักใหญ่ ๆ เพียงไม่นานกลางวันก็มาถึง
ฉู่โม่วพูดขึ้น “วันนี้ฉันอารมณ์ดีมาก ๆ เลย เพราะงั้นเดี๋ยวฉันจะทำมื้อใหญ่ให้เธอเอง!”
เฉินซีเวยยิ้มรับด้วยความดีใจ
อันที่จริง ด้วยขั้นผู้ปลุกพลังที่ทั้งฉู่โม่วและเฉินซีเวยเป็นอยู่นั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องกินอะไรเลยก็ได้ เพราะสามารถนำอณูแห่งชีวิตที่อยู่ในอากาศมาเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานให้ร่างกายได้
แต่ในยามที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอยากจะใช้ชีวิตเหมือนคนปกติดูบ้าง
ดังนั้นแล้ว เมื่อตัดสินใจว่าจะหยุดฝึกไปสักพัก พวกเขาก็ไปช่วยกันทำอาหาร พูดคุยกันระหว่างทำอาหารซึ่งทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมา รวมไปถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่เองก็พลอยพัฒนาขึ้นไปด้วย
ส่วนเรื่องคุณภาพของอาหารไม่ต้องเป็นกังวลเลย
เพราะภายในมิติพกพาของฉู่โม่วไม่เพียงแต่มีสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่ยังมีวัตถุดิบหายากราคาแพงปะปนอยู่ด้วย ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีรสชาติดีเท่านั้น ทว่ายังช่วยมอบความแข็งแกร่งภายหลังจากที่ทานเข้าไปได้อีกนิด ๆ หน่อย ๆ
มื้อกลางวัน
ฉู่โม่วเสิร์ฟอาหารจำนวนมากมายไว้บนโต๊ะอาหาร ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารเหล่านั้น หนุ่มสาวก็นั่งคุยกันไปด้วย
หัวข้อสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวกับสารทุกข์สุขดิบของแต่ละฝ่าย เหตุการณ์ที่ต้องเจอระหว่างฝึกฝนอะไรทำนองนี้
เฉินซีเวยเล่าเรื่องอุปสรรคที่ต้องพบเจอเมื่อตอนขณะจะทลายขั้นให้ฟัง และเล่าถึงวิธีที่เธอใช้ในการทลายขั้นเมื่ออดีต
ส่วนฉู่โม่วก็เล่าเรื่องที่เขาขาดหินปฐมกาลเป็นอย่างมาก เลยต้องออกไปตามล่าหาหินปฐมกาลและพบเจอเข้ากับมนุษย์ถ้ำ
ทั้งสองพูดคุยกับด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความสดชื่น แม้จะนั่งกันอยู่คนละฝั่ง ทว่าทั้งคู่สามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจของกันและกันได้อย่างชัดเจน
ความรู้สึกห่างหายอันเกิดจากการที่ทั้งสองไม่ได้พบกันมานานกว่าครึ่งปีถูกหลอมละลายทิ้งไปช้า ๆ จนกระทั่งหายไปหมด
ภายหลังจากมื้ออาหาร
เฉินซีเวยอยากออกไปด้านนอกเพื่อหาซื้อสิ่งของมาช่วยสำหรับการฝึกฝนเสียหน่อย
ซึ่งฉู่โม่วเองก็ไม่ปฏิเสธและเดินทางไปยังหอการค้าหยกแก้วกับเธอด้วย
เมื่อฉู่โม่วปรากฏตัวเข้าไปในอาคารหลังใหญ่นี้ เหล่าบุคลากรภายในอาคารหอการค้าหยกแก้วก็คิดว่าฉู่โม่วมีเรื่องใหญ่อะไรให้ช่วย เพราะงั้นเรื่องการมาเยือนของฉู่โม่วจึงแพร่กระจายไปทั่วหอการค้าอย่างรวดเร็ว ทำให้บรรพบุรุษตระกูลหมัวถึงกับต้องออกจากการฝึกฝนมาพร้อมกับหมัวหย่งอันและหมัวซานซานเพื่อทักทาย
“คุณฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่ในวันนี้กัน?”
ด้วยเสียงหัวเราะที่หนักแน่น บรรพบุรุษตระกูลหมัวก็ปรากฏตัวขึ้นภายในโถงขนาดใหญ่
“ยินดีที่ได้พบครับ คุณฉู่!”
“ยินดีที่ได้พบค่ะ พันธมิตรฉู่!”
หมัวหย่งอันและหมัวซานซานเองก็เข้ามาทำความเคารพด้วยเช่นกัน
เห็นทั้งสามคนปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ ฉู่โม่วก็รู้สึกช่วยไม่ได้
อันที่จริงเขาแค่อยากจะมาจับจ่ายซื้อของกับเฉินซีเวยเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้
ดังนั้นแล้วเขาจึงเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “ท่านบรรพบุรุษหมัว คุณหมัวแล้วก็คุณหนูหมัวซานซาน ผมไม่ได้จะมารบกวนอะไรหรอกครับ”
“คุณฉู่ผู้ยิ่งใหญ่อุตส่าห์มาหาพวกเราทั้งทีจะไม่ให้ข้าออกมาต้อนรับได้อย่างไร?”
บรรพบุรุษตระกูลหมัวพูดพร้อมกับโบกมือ
ภายหลังจากที่ได้พูดกันไปแล้ว เขาก็เพ่งมองไปยังกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของฉู่โม่ว ดวงตาของเขาสั่นสะท้านพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความตกตะลึง ก่อนจะกล่าวถาม “ทะ… คุณฉู่… สามารถก้าวขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้สำเร็จแล้วงั้นหรือ?”
“ครับ ผมเผอิญโชคดีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”
ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม
แม้จะเป็นการตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดคุยกันปกติ ทว่าภายในหูของบรรพบุรุษตระกูลหมัว หมัวหย่งอันและหมัวซานซานกลับเหมือนได้ยินเป็นเสียงสายฟ้าฟาดผ่าลงมา
เฮือก!?
บรรพบุรุษตระกูลหมัวถึงกับอดหายใจติดขัดไม่ได้
เขาจำได้ดีว่าครั้งล่าสุดที่เขตแดนลับเมฆาครามเปิดออก ฉู่โม่วยังเป็นเพียงปรมาจารย์ยุทธ์เท่านั้น
เวลามันผ่านมานานเท่าไหร่กันเชียว?
เจอกันอีกที ฉู่โม่วก็ได้ก้าวข้ามขั้นนายพลเมืองและกลายเป็นจ้าวยุทธ์ไปแล้ว!
ความเร็วในการพัฒนาระดับนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย!
ยิ่งไปกว่านั้น
เมื่อตอนที่ฉู่โม่วยังเป็นนายพลเมือง เขาสามารถสังหารจ้าวยุทธ์ตระกูลสวี่อย่างสวี่หล่างและบรรพบุรุษตระกูลสวี่ได้ด้วยตนเอง
ในตอนที่เข้าไปจัดการเรื่องรอยแยกมิติระดับสีดำนั่น เขาก็สังหารจ้าวยุทธ์ของสำนักหมื่นอสูรไปมากกว่าสิบคนอีก
และในตอนนั้น
ความแข็งแกร่งของเขาก็ถือเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า คนคนนี้คืออันดับหนึ่งแห่งฐานจินหลิง!
เช่นนั้นแล้วในตอนนี้ ยามที่ฉู่โม่วกลายเป็นจ้าวยุทธ์จริง ๆ เขาจะแข็งแกร่งระดับไหนกันนะ?
เขาจะสังหารจ้าวยุทธ์ระดับสูง… หรือว่าสู้กับพวกราชันย์ยุทธ์ได้อย่างสูสีเลยหรือเปล่า?
ตัวเขาไม่สามารถคาดเดาได้เลย
สิ่งนี้ทำให้บรรพบุรุษตระกูลหมัวหยุดคิดนู่นคิดนี่ในใจมากมายไม่ได้เลยจริง ๆ
‘บางที… คนคนนี้อาจจะเป็นผู้มีพรสวรรค์จริง ๆ !’
ชายชราคิด
ในขณะที่เขากำลังตกตะลึง
“ฉู่โม่ว ถ้ายังไงนายคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอตัวไปดูของก่อน”
เฉินซีเวยที่ยืนดูสถานการณ์เอ่ยกระซิบออกมาเสียงเบา
“อ๊ะ… นี่คงเป็นท่านหญิงฉู่สินะ สมแล้วที่เป็นคุณฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ เลือกสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยพลังและใบหน้างดงามได้เหมาะสมกับตนเองยิ่งนัก… เช่นนั้น แสดงว่าท่านหญิงฉู่ต้องการจะมาหาซื้ออะไรบางอย่างที่หอการค้าหยกแก้วสินะครับ?” บรรพบุรุษตระกูลหมัวได้สติกลับมา เขารีบหันกลับไปถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามประสาผู้สูงอายุ
หญิงสาวเพียงพยักหน้าเบา ๆ “ค่ะ ฉันอยากมาหาซื้อวัตถุดิบสำหรับกลับไปฝึกสักหน่อยน่ะค่ะ”
“โอ้ งั้นเลือกมาได้ถูกที่แล้วละ ซานซาน… หลานพาเธอไปดูรอบ ๆ ว่าต้องการอะไรบ้าง และไม่ว่าเธออยากได้อะไร หอการค้าของพวกเราจะไม่คิดเงินเลย!”
ชายสูงวัยผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ได้ยินเช่นนั้น
เฉินซีเวยก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉู่โม่ว และเมื่อเห็นว่าฉู่โม่วเองก็พยักหน้า ดังนั้นเธอจึงยิ้มหวานออกมา “ถ้างั้นต้องขอบคุณท่านบรรพบุรุษตระกูลหมัวมาก ๆ เลยค่ะ!”
พูดจบเธอก็เดินตามหมัวซานซานและออกจากที่นี่ไป
“คุณฉู่ ทำไมพวกเราไม่หาสถานที่สงบ ๆ แล้วนั่งดื่มชากันสักหน่อยล่ะ?”
บรรพบุรุษตระกูลหมัวเสนอขึ้นมา
“ผมไม่ขัดข้องหรอกนะครับ”
ฉู่โม่วยิ้มให้
จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายไปด้วยกัน
…
อีกฟากหนึ่ง
หมัวซานซานที่ได้รับมอบหมายให้มาเดินเลือกซื้อของกับเฉินซีเวย อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองยังฉู่โม่วที่ออกไปกับบรรพบุรุษประจำตระกูลด้วยแววตาเศร้าสร้อย
ภาพจำยังชัดเจนถึงเมื่อคราที่เธอเจอกับฉู่โม่วครั้งแรก คนคนนี้เป็นเพียงผู้ปลุกพลังทั่ว ๆ ไปคนหนึ่ง อีกทั้งความแข็งแกร่งและเบื้องหลังของเขาไม่สามารถเทียบเท่าเธอได้เลย
เธอที่เป็นถึงคุณหนูแห่งพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้ว ที่ซึ่งมีพรสวรรค์และพลังอยู่ในระดับสูง
ในตอนนั้นเธอคิดเพียงแค่ว่าฉู่โม่วมีพรสวรรค์ที่น่าสนใจจึงเชิญมาเป็นพันธมิตรของหอการค้าหยกแก้ว
แต่ไม่เคยคิดเลยจริง ๆ
เพียงชั่วพริบตา
ฉู่โม่วจะเติบโตและพัฒนาจนกลายเป็นกำลังที่สำคัญให้กับฐานจินหลิงได้ และดูเหมือนว่าอนาคตของเขาจะยังไปได้ไกลกว่านี้อีก เขาแข็งแกร่งเสียจนบรรพบุรุษของเธอยังต้องมาคอยดูแลและยอมที่จะเป็นพันธมิตรด้วย
‘ในวันนี้…’
‘ฉันคงตามหลังนายไม่ได้อีกแล้วหรือเปล่านะ?’
ขณะที่มองฉู่โม่วพูดคุยกับบรรพบุรุษของตนอย่างสนุกสนาน เธอก็อดคิดเช่นนั้นไม่ได้
“คุณหนูหมัวคะ… คุณหนูหมัว? เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่าคะ?”
เฉินซีเวยที่หันไปพบว่าหมัวซานซานยืนนิ่ง ๆ มาพักหนึ่งแล้วจึงอดถามออกมาไม่ได้
“อ๊ะ… ไม่มีอะไรค่ะ”
หมัวซานซานได้สติกลับมา เธอรีบสลัดเรื่องที่คิดไว้ทันที
ยามที่เธอหันกลับมามองยังสตรีผู้เลอโฉมจนไม่สามารถหาใครมาทัดเทียมได้ตรงหน้า หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์ซับซ้อนภายในใจ
เธอทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ลึก ๆ แล้วพูดขึ้น “ฉู่… เอ่อ คุณนายฉู่คะ มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษอยู่อย่างงั้นสินะคะ? ถ้ายังไง ลองเปรยออกมาดีไหมคะ เผื่อฉันจะช่วยแนะนำได้?”
…
ภายในห้องที่เงียบสงบ
ฉู่โม่ว บรรพบุรุษตระกูลหมัวและหมัวหย่งอันต่างนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันและกัน พวกเขาดื่มชาและพูดคุยกันไปด้วย
ชายหนุ่มนึกถึงมนุษย์ถ้ำที่พบเจอก่อนหน้านี้ และคิดว่าบรรพบุรุษตระกูลหมัวน่าจะมีประสบการณ์มากที่สุดในกลุ่มนี้ เขาจึงถามออกไป “จริงสิ ผมมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย ท่านบรรพบุรุษตระกูลหมัวพอจะเคยได้ยินชื่อของ ‘มนุษย์ถ้ำ’ บ้างไหมครับ?”
“มนุษย์ถ้ำงั้นหรือ?”
ผู้สูงอายุคนเดียวภายในกลุ่มขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับด้วยความประหลาดใจ “ข้าไม่ทราบว่าคุณฉู่ไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหนกันงั้นหรือ?”
คำถามของเขาฟังดูอยากรู้ ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความหนักใจ
เห็นเช่นนั้น ฉู่โม่วจึงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ผมบังเอิญไปเจอในหนังสือโบราณ ๆ ที่อ่านมาก่อนหน้านี้น่ะครับ ก็เลยอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้นิดหน่อย… ท่านบรรพบุรุษตระกูลหมัวพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมนุษย์ถ้ำเหล่านี้ไหมครับ?”
ชายหนุ่มหาคำลวงมาพูดก่อนจะถามกลับไป
“จะเรียกว่ารู้ก็ไม่เชิง ที่ฉันจำชื่อนี้ได้เพราะพี่ชายของฉันที่รับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสในกองกำลังของฐานจงไห่ เผอิญรับรู้ถึงความลับและการมีอยู่ของมนุษย์ถ้ำ เพราะงั้นเขาจึงบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ จากนั้นก็จากไป”
ชายชราพูด
“เช่นนั้นแล้ว ถ้าผมขอให้ท่านผู้อาวุโสช่วยชี้แจงจะได้ไหมครับ?”
ด้วยความอยากรู้ ฉู่โม่วจึงรีบพูดทันที
ได้ยินเช่นนั้น
บรรพบุรุษตระกูลหมัวก็สูดหายใจเข้าลึกและไม่ได้พูดตอบไปตรง ๆ เขาเลือกที่จะถามคำถามฉู่โม่วกลับไปก่อน “ท่านรู้หรือเปล่าว่าเมื่อตอนที่โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ สัตว์อสูรมากมายบุกเข้ามาทุกหนแห่ง ท่านคิดว่ามนุษย์อย่างพวกเราเริ่มใช้วรยุทธ์กันได้อย่างไรกันล่ะ? คิดว่าพวกเราสร้างมันขึ้นมาหรือเปล่า?”
ณ จุดนี้ ฉู่โม่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ
อย่างที่ทราบกันดี
ว่าเมื่อปี 2200 ตามศักราชดาวเคราะห์สีฟ้ามีรอยแยกมิติมากมายเปิดขึ้นทั่วโลก รอยแยกเหล่านั้นปลดปล่อยสัตว์อสูรที่ทรงพลังออกมานับไม่ถ้วน รวมถึงทำให้เกิดปรากฏการณ์พิสดารต่าง ๆ ขึ้นมากมายอีกด้วย
หนึ่งในเหตุการณ์เหล่านั้น คือการที่มีสสารประหลาดมาทำลายเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ทำให้เหล่าอาวุธที่ต้องใช้ไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้ มนุษยชาติทำได้เพียงพึ่งพาอาวุธพื้นฐานเพื่อให้สามารถรับมือกับสัตว์อสูรได้
ทว่าเมื่อเจอกับความทรงพลังของสัตว์อสูรที่พร้อมจะระเบิดภูเขาทลายผืนน้ำ อาวุธเหล่านั้นแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเหตุให้พวกเขาทำอะไรมากไม่ได้
สิ่งนั้นเองก็ถือเป็นช่วงที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ด้วย
เพียงแค่ไม่กี่ปี ประชากรของมนุษย์ก็ลดลงไปหลายสิบเท่า
โชคยังดีที่มนุษย์บางกลุ่มค้นพบถึงวิธีที่จะนำสสารลึกลับเหล่านั้นซึ่งลอยปะปนอยู่ในอากาศมาหลอมรวมเข้ากับร่างกาย และสร้างเป็นพลังอันมหาศาลออกมา ควบคู่ไปกับการพัฒนาและทดลองทางวิทยาศาสตร์อีกมากมาย ในท้ายที่สุดก็นำสิ่งนี้ไปรวมเข้ากับวรยุทธ์
วันนี้
ประวัติศาสตร์ถูกบันทึกลงในหน้าหนังสือ และเกือบทุกคนได้เรียนรู้มันมาจากโรงเรียนตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งถือเป็นความรู้ที่ทุกคนจะต้องมี
ทว่าด้วยสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลหมัวกล่าวออกมา ทำให้ฉู่โม่วรู้สึกว่า เรื่องที่พวกเขารู้มามันไม่ใช่ทั้งหมด เผลอ ๆ อาจจะไม่ใช่เลยก็ได้!
เพราะแบบนี้ ภายในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้เต็มไปหมด!
MANGA DISCUSSION