บทที่ 154 กบฏและผู้รอดชีวิต
ลึกเข้าไปในรอยแยกมิติ
ภายในซากที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาก่อน ในตอนนี้มีร่างของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์มากมายกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความเคารพ
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเหมือนมนุษย์
แต่พวกมันมีอวัยวะบางส่วนที่เหมือนอสูร ไม่ว่าจะเป็นปีกที่งอกออกมาจากกลางหลังหรือแขนขาที่มีกรงเล็บแหลมคมงอกออกมา บางตนก็มีเขางอกจากหัวด้วย
เบื้องหน้าของพวกมันนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่มีครึ่งตัวด้านล่างเป็นมังกร และครึ่งตัวด้านบนเป็นมนุษย์ ทว่าในตอนนี้ร่างกายของมันถูกฝังไว้ในรากไม้ที่แข็งแกร่งมาก ๆ เมื่อหันมองเหล่าผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า สิ่งมีชีวิตประหลาดก็กล่าวเสียงดัง
“ยี่สิบปี!”
“กว่ายี่สิบปีแล้วที่สำนักหมื่นอสูรของข้าถูกพวกมนุษย์กดลงให้ตกต่ำ! ข้าทำได้เพียงหลบซ่อนตัวอยู่ภายในนี้ โดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือใครในสำนักได้เลย… ตอนนี้ มันถึงเวลาแล้วที่ข้าจะเอาคืน!”
“งานของพวกเจ้าในตอนนี้ คือการนำกองทัพอสูรที่อยู่ภายในรอยแยกมิตินี้บุกเข้ายึดครองฐานจินหลิงให้ได้!”
“จากนั้น…”
“พวกเราจะใช้ฐานจินหลิงเป็นฐานที่มั่น เพื่อที่จะต้อนรับนายเหนือหัว! เมื่อเวลานั้นมาถึง ภายใต้การชี้นำของนายเหนือหัว พวกเราจะสามารถกวาดล้างฐานของพวกมนุษย์ทั้งหมด และยึดเอาโลกใบนี้เป็นของพวกเราได้อย่างแน่นอน!”
พูดเช่นนั้นแล้ว เหล่าครึ่งมนุษย์อสูรก็พากันส่งเสียงร้องคำราม
“กวาดล้างฐานของมนุษย์ทั้งหมด แล้วยึดเอาโลกใบนี้มาเป็นของพวกเรา!”
“กวาดล้างฐานของมนุษย์ทั้งหมด แล้วยึดเอาโลกใบนี้มาเป็นของพวกเรา!”
ด้วยการพูดอย่างพร้อมเพรียงกันของอสูรกว่าร้อยตนนี้ ทำให้เสียงของพวกเขากึกก้องไปทั่วแดนดิน
พวกเขาทั้งหมดนี้เป็นศิษย์สำนักหมื่นอสูร ก่อนหน้านี้แฝงตัวไปกับเหล่ามนุษย์ที่อยู่ในรอยแยกในฐานะคนธรรมดาไม่ก็ผู้ปลุกพลัง พวกมันใช้จังหวะนี้ในการสังหารผู้ที่มาจากโลกภายนอกทีละคนสองคน และเพราะมีการสูญหายและล้มตายเกิดขึ้นทุกวันในมิติรอยแยก จึงทำให้หากมีใครถูกฆ่าไป มนุษย์ก็จะไม่รู้ว่ามีความผิดปกติอยู่ภายในนี้
หลังจากที่ผ่านมาหลายปี
ศิษย์สำนักหมื่นอสูรเหล่านี้ก็เริ่มรวบรวมกำลังคนเพิ่มและพัฒนาความแข็งแกร่งไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็เพาะเลี้ยงเหล่าสัตว์อสูรภายในรอยแยกให้เชื่อฟังคำสั่งตนและรอวันที่จะถูกเรียกรวมพลอีกครั้งจากทางสำนัก
และไม่นานนัก
ผู้ปลุกพลังจากสำนักหมื่นอสูรก็ได้ทำการติดต่อเข้ามาและบอกให้พวกเขาเตรียมการโต้กลับมนุษยชาติได้เลย
ด้วยเหตุนี้ ทัพสัตว์อสูรขนาดใหญ่จึงได้เข้าทำลายที่พักของมนุษย์ที่อยู่ภายในรอยแยกมิตินี้ทันที
อย่างไรก็ตาม แม้จะโจมตีแคมป์ของมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงรอยู่ภายในมิติดังเดิม
นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ!
ภายหลังจากที่ยึดครองรอยแยกมิติแห่งนี้ได้แล้ว หากเป็นตามปกติแล้วสัตว์อสูรเหล่านี้ควรจะรีบหนีออกมานอกมิติทันทีที่มีโอกาส ทว่ามันกลับเฝ้ารออย่างใจเย็น
รอให้มนุษย์ส่งกำลังคนเข้ามา เพื่อที่พวกมันจะได้ดักฆ่าในมิตินี้ได้!
และในตอนนี้…
“ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์ที่น่ารังเกียจ!”
“พวกมันกำลังเข้ามาในนี้แล้ว!”
“สำนักสวรรค์บอกให้พวกเรากำจัดพวกมนุษย์เหล่านี้ให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
ชายลูกครึ่งมนุษย์อสูรตะโกนเสียงดัง
ได้ยินเช่นนั้น เหล่าลูกครึ่งมนุษย์อสูรคนอื่น ๆ ก็กู่ก้องตะโกนออกมาพร้อม ๆ กัน
“เยี่ยมไปเลย!”
“ทำทุกอย่างไปตามแผน!”
มนุษย์มังกรพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มส่งมอบหน้าที่ให้กับอสูรตนอื่น ๆ ศิษย์สำนักหมื่นอสูรนับล้านตนรับทราบคำสั่งต่อ ๆ กัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันออกไปเป็นกลุ่ม ๆ
เมื่อทุกตนแยกย้ายกันไปแล้ว
ครึ่งอสูรผู้เป็นนายใหญ่ ณ ตอนนี้ก็เหม่อมองออกไปด้านหน้า เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ครั้งนี้แหละ ข้าจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้น!”
“มีเพียงอสูรเท่านั้นที่จะมีอนาคตรุ่งโรจน์ในภายภาคหน้าได้!”
…
อีกฟากหนึ่ง
ฉู่โม่วกำลังมองสถานการณ์เบื้องหน้าอยู่เช่นกัน
พื้นที่กว้างด้านหน้าเขานี้ แต่เดิมเคยเป็นที่ตั้งของแคมป์ฐานขนาดเล็กของมนุษย์มาก่อน แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังไปแล้ว บนพื้นดินมีแต่เพียงซากของอดีตมนุษย์กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
“บ้าเอ๊ย!”
“ไอ้พวกสำนักหมื่นอสูร!”
เห็นเช่นนั้น
ผู้ปลุกพลังที่เพิ่งจะมาถึงก็รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ของศัตรูทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ารอยแยกนี้มันหลุดออกจากการควบคุม จุดจบของมนุษย์และผู้ปลุกพลังภายในรอยแยกคงไม่ดีนัก จึงได้ทำใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องมาพบเจออะไรบ้าง
ทว่า…
เมื่อมาเห็นภาพเหล่านี้ด้วยตาของตนเอง หัวใจของพวกเขาก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดหนักหนา
ความร้ายกาจของเหล่าอสูรภายในรอยแยกมิติระดับสีดำนั้น อันตรายยิ่งกว่ารอยแยกระดับสีเหลืองเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ที่ฐานจินหลิงเริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ทรัพยากรที่อยู่ภายในรอยแยกนี้มีมูลค่าสูงมาก ๆ จึงทำให้ผู้ปลุกพลังหลายคนเข้ามาที่นี่เพื่อหาของต่าง ๆ สำหรับไปสร้างรายได้ให้ตนเอง รวมไปถึงคนธรรมดาบางคนเองก็เลือกที่จะมาเปิดร้านค้าภายในฐานที่ตั้งภายในรอยแยกมิตินี้ด้วย
เพราะงั้นแล้ว ฐานภายในรอยแยกแห่งนี้ จึงมีประชากรมนุษย์อยู่ไม่ต่ำกว่าแสนคน!
และในตอนนี้…
ดูเหมือนว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว
“สถานการณ์ที่นี่ย่ำแย่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”
บรรพบุรุษตระกูลหมัวพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและเจ็บปวด “พวกเรา… จะดำเนินตามแผนต่อ แยกย้ายกันไปตามหาศิษย์สำนักหมื่นอสูรให้พบเจอโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือถ้าพบเจอร่องรอยอะไรก็แจ้งมาได้เลย!”
“นอกจากนี้…”
เขาพูดเสริมหลังเงียบไปครู่หนึ่ง “หากพบเจอผู้รอดชีวิต พยายามช่วยพวกเขาไปยังที่ปลอดภัยให้ได้!”
ถึงแม้ว่าตามปกติแล้ว หากพบเจอกับผู้ปลุกพลังคนอื่น ๆ ในรอยแยกมิติเช่นนี้ พวกเขาจะฆ่ากันเองเพื่อแย่งทรัพยากร จะมีก็แต่คนธรรมดาเท่านั้นที่ได้รับข้อยกเว้น เว้นแต่ว่าคนธรรมดาพวกนั้นจะทำตัวยั่วยุก่อน
นอกจากนี้แล้ว มันยังมีกฎพิเศษที่ฐานจินหลิงตั้งขึ้นมาเพื่อคอยควบคุมอีกด้วย
นั่นก็คือ หากผู้ปลุกพลังสู้กันเอง ตราบใดก็ตามที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือประเจิดประเจ้อมากเกินไป ทางฐานจะหลับตาข้างเดียวในการพิจารณาเรื่องนี้
ทว่าหากเป็นคดีที่ผู้ปลุกพลังหันไปทำร้ายคนธรรมดาโดยไม่มีเหตุผล ผู้ปลุกพลังคนนั้นจะถูกนำไปสอบสวนและตรวจสอบอย่างเคร่งครัดทันที
เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ
ภายหลังจากที่โลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประชากรของมนุษย์ก็เหลือรอดมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
แม้ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะไม่ได้มีบทบาทอะไรในการสู้กับสัตว์อสูรก็จริง
แต่พวกเขาก็ถือเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สำคัญ
การที่จะยืนหยัดสู้กับสัตว์อสูรและทวงคืนแผ่นดินคืนมา ผู้ปลุกพลังจำเป็นต้องมีจำนวนและความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พวกคุณคิดว่าพวกเขาจะหาคนเหล่านี้ได้จากอะไรกัน?
แน่นอน ว่าต้องมาจากฐานที่มีประชากรหนาแน่นอยู่แล้ว!
หากไร้ซึ่งกฎสำหรับควบคุมการใช้พลังกับคนธรรมดาแล้ว เพียงแค่ระเบิดพลังสูงสุดออกมา บางครั้งมันก็สามารถทำให้คนธรรมดาถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย
และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้
ภายในเวลาไม่กี่ปี คนธรรมดาได้สูญพันธุ์กันหมดแน่ ๆ ผลกระทบของมันก็จะยิ่งทำให้อัตราการเกิดใหม่ของผู้ปลุกพลังมีน้อยลงไปด้วย
เพราะงั้นแล้ว
ยามที่ได้ยินคำสั่งของบรรพบุรุษตระกูลหมัว พวกเขาก็พยักหน้าและเข้าใจถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจจุดประสงค์แล้ว บรรพบุรุษตระกูลหมัวก็เริ่มมอบหมายงานต่าง ๆ ต่อ
ภายในรอยแยกมิตินี้ มีฐานขนาดเล็กใหญ่รวม ๆ กันแล้วก็ประมาณเจ็ดถึงแปดฐานกระจายตัวกันอยู่ ทุก ๆ ฐานจำเป็นต้องมีการสำรวจ ดังนั้นแล้วเขาจึงจะแบ่งกลุ่มจ้าวยุทธ์และนายพลเมืองไปยังตำแหน่งที่ตั้งฐานเหล่านี้
หลังจากที่มอบหมายตำแหน่งของฐานเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาแบ่งคน
ฉู่โม่วเองก็ได้รับมอบหมายให้ไปประจำตำแหน่งฐานหนึ่งฐานเช่นกัน และฐานนั้น ก็คือฐานของมนุษย์ที่อยู่ไกลจากปากทางเข้ารอยแยกมากที่สุด
พร้อมกันนั้น
ได้นายพลเมืองจำนวนห้าคนคอยติดตามไปด้วย
ในเวลานี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นที่สุดก็คงไม่พ้นนายพลเมืองทั้งห้าคนนี้
อย่างที่เป็นที่รู้กันดี ท่ามกลางจ้าวยุทธ์ทั้งหมด ฉู่โม่วถือว่าแข็งแกร่งที่สุด และไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าอยู่กับคนที่แข็งแกร่งระดับนี้ พวกเขาจะปลอดภัยหรือเปล่า มันจึงเป็นเรื่องปกติเลยที่พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขที่ได้มากับฉู่โม่วเช่นนี้
นายพลเมืองทั้งห้าคนนี้ได้กลายเป็นเป้าสายตาให้คนอื่นอิจฉายามที่มองมาไม่น้อย
แต่สายตาเหล่านั้นก็อยู่เพียงไม่นาน เพราะจ้าวยุทธ์คนอื่น ๆ ได้เริ่มออกเดินทางไปยังทิศทางของตนกันแล้ว
“พวกเราเองก็ไปกันเถอะ!”
ฉู่โม่วหยิบแผนที่ขึ้นมาดู จากนั้นเขาก็หันมามองนายพลเมืองทั้งห้าและเริ่มเดินทางไปยังตำแหน่งฐานของตนเองทันที
…
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
ฉู่โม่วมาถึงฐานของมนุษย์ที่ได้รับมอบหมายแล้ว
อย่างที่คาดไว้
ฐานแห่งนี้เองก็ถูกทำลายไม่ต่างกัน อาคารต่าง ๆ พังทลาย ภายใต้ซากเหล่านี้มีศพมากมายถูกทับเอาไว้ และท่ามกลางศพเหล่านี้ แม้แต่เด็กก็ยังไม่ละเว้น สีหน้าของพวกเขาดูจะหวาดกลัวกับสิ่งที่พรากชีวิตตนไปมาก ๆ
ในสายตาของพวกเขา
ยามที่ทัพสัตว์อสูรบุกเข้ามาภายในฐาน มันคงเป็นอะไรที่สิ้นหวังจนสุดขั้วหัวใจจริง ๆ
“เราแยกกันไปตรวจสอบแล้วก็ค้นหาดูรอบ ๆ นี้ก็แล้วกัน เผื่อว่าจะมีร่องรอยของผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง”
ฉู่โม่วสั่งการ
นายพลเมืองที่ตามมาได้รับฟังและพยักหน้ารับก่อนจะแยกย้ายกันไปหาร่องรอยทันที
แม้จะสั่งการไปแล้ว แต่ฉู่โม่วก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เขาใช้พลังจิตสัมผัสกระจายตัวเป็นวงกว้างเพื่อหาร่องรอยสัญญาณชีพภายใต้ซากปรักหักพังเหล่านี้
เขาสัมผัสได้ถึงความแปรผันของอณูแห่งชีวิตในอากาศได้หลายแห่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นจากความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้น ทว่ากลับไม่มีร่องรอยของชีวิตอยู่เลย
“ไม่มีใครรอดชีวิตเลยงั้นเหรอ?”
ฉู่โม่วคิดกับตนเอง
ทันใดนั้นเอง
นายพลเมืองคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาทางเขาพร้อมกับพูดด้วยหน้าตาตื่น “ท่านฉู่ครับ ผมพบร่องรอยของผู้รอดชีวิตครับ!”
“ร่องรอยของผู้รอดชีวิตงั้นเหรอ?”
สติของฉู่โม่วกลับมา
“ท่านฉู่คงยังไม่รู้สินะครับ ภายในฐานผู้อยู่อาศัยในรอยแยกมิติที่ฐานจินหลิงสร้างนั้น แต่ละฐานจะมีทางออกฉุกเฉินถูกติดตั้งเอาไว้ เผื่อในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น พวกคนที่อยู่ในนี้จะได้ใช้หลบหนีได้”
“ตอนนี้ ผมเพิ่งไปสำรวจมาแล้วพบว่ามีช่องทางออกฉุกเฉินถูกเปิดใช้งาน นั่นหมายถึงยังมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่จากการใช้ทางออกนี้ครับ!”
นายพลเมืองอธิบายต่อ “พวกเราสามารถใช้เส้นทางเดียวกันนี้เพื่อตามผู้ที่รอดชีวิตไปได้!”
“ถ้าเป็นอย่างงั้นเราก็รีบตามไปเถอะ เผื่อว่าจะยังมีอันตรายรอพวกเขาอยู่อีก!”
ฉู่โม่วรีบพูด
ทางออกฉุกเฉินถูกสร้างให้ลึกลงไปใต้ฐานราว ๆ ร้อยเมตรเป็นทางเดินยาว ช่องทางนี้จะมีหินลงมาปิดทับทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อกันให้ผู้ใช้เส้นทางออกนี้ปลอดภัยจากสิ่งที่ไล่ตามมาด้วย
ฉู่โม่วรีบไปยังเส้นทางลับนั้นและใช้พลังจิตสัมผัสตรวจสอบร่องรอยพร้อมกับนำนายพลเมืองตามเขาไปติด ๆ
…
ภายในหุบเขา
กลุ่มมนุษย์กว่าพันคนกำลังรวมตัวกันอยู่ ณ ตอนนั้น หลายคนในกลุ่มนี้เป็นหญิงชราสูงวัยกับเด็กเล็ก พวกเขาเดินเบียดเสียดกันด้วยความกลัว ความสิ้นหวังประจักษ์แจ้งอยู่บนใบหน้าของคนเหล่านี้
ที่ด้านนอกนั้นมีสัตว์อสูรอีกนับร้อยตนที่กำลังพยายามโจมตีพวกเขา แต่เพราะมีค่ายกลเวทคอยปกป้องเส้นทางนี้อยู่ คนที่มาหลบอยู่ภายในนี้จึงยังไม่เป็นอะไร
แต่ก็แค่ตอนนี้
เพราะจากการโจมตีของสัตว์อสูรกว่าร้อยตน มันก็ทำให้ค่ายกลเวทเริ่มสั่นสะเทือนและเกิดรอยร้าวราวกับว่าจะไม่สามารถทนการโจมตีไปได้นานกว่านี้แล้ว
หากเวลานั้นมาถึงละก็ บางทีอาจจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตกลับออกไปเลยก็ได้
“ค่ายกลเวทกำลังจะแตกออกแล้ว!”
“สู้!”
“เราต้องสู้กับสัตว์อสูรพวกนี้!”
ภายในความวุ่นวาย
ผู้ปลุกพลังส่วนใหญ่เริ่มจะหน้าถอดสีกันแล้ว พวกเขายังคงพยายามกัดฟันข่มความกลัวไว้
ท่ามกลางจำนวนคนที่รอดทั้งหมด มีผู้ปลุกพลังราว ๆ สิบสองคนเท่านั้น แถมระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดยังเป็นเพียงระดับปรมาจารย์ยุทธ์เท่านั้นด้วย
แต่ในเมื่อเป็นผู้ปลุกพลังแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะให้เขาไปหลบอยู่หลังเด็ก สตรี และคนชราได้อย่างไร?
ตู้ม!!
ด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้อง
ในที่สุดค่ายกลที่คอยปกป้องพวกเขาก็แตกออก
สัตว์อสูรที่ร้ายกาจกว่าร้อยตนบุกเข้ามาทันที พวกมันอ้าปากกว้างขณะพุ่งเข้าใส่มวลมนุษย์
ในสายตาของพวกมัน
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านับพันก็คืออาหารชั้นยอด!
เมื่อเห็นเช่นนั้น
เหล่าคนธรรมดาต่างก็พากันหลับตาด้วยความสิ้นหวัง
ในส่วนของผู้ปลุกพลังที่อยู่ด้วย พวกเขากระตุ้นความกล้าที่เหลืออยู่ของตนเองทั้งหมด แล้วโถมเข้าใส่เพื่อปกป้องคนที่อยู่ด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเช่นกัน
ทว่า…
ตอนนั้นเอง!
ตู้ม!
ทันใดนั้น
เสียงระเบิดก็ดังขึ้นอีก
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูร
“นั่นมัน…”
ทุกสายตามองตามเสียงด้วยความประหลาดใจ พวกเขาลืมตาขึ้นมาโดยไม่ต้องสั่งด้วยซ้ำ
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
คือร่างร่างหนึ่งที่ทำให้สัตว์อสูรไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้
ชายหนุ่มผู้นี้ ชายผู้สวมชุดสีดำกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ
ทั่วร่างของเขามีกระแสไฟฟ้าสีม่วงปรากฏขึ้น และทุกครั้งที่กวาดฝ่ามือ ก็จะเกิดสายฟ้าฟาดเข้าโจมตีสัตว์อสูรจนกลายเป็นเถ้าธุลีไปด้วย
“นี่มัน…”
“กำลังเสริม!”
“กำลังเสริมของพวกเรามาแล้ว!”
หลังจากที่ได้สติกลับคืนมา มนุษยชาติก็เริ่มยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
พวกเขากอดกันเองอย่างแน่นแฟ้นพร้อมทั้งหลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา
ได้กลายเป็นผู้รอดชีวิตจริง ๆ แล้ว!
MANGA DISCUSSION