บทที่ 151 ฐานที่เปลี่ยนไป และรอยแยกสีดำที่อยู่เหนือการควบคุม!
“เวลาผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว สำนักหมื่นอสูรกำลังหวนกลับมาแน่ ๆ ข้าเกรงกลัวว่าสิ่งนี้จะทำให้สงครามนองเลือดเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!”
พูดออกมาเช่นนี้
กู่ชางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เขาคือผู้ปลุกพลังที่ได้เห็นสภาพแผ่นดินสมัยกลียุคเมื่อครั้งสำนักหมื่นอสูรเรืองอำนาจ
เมื่อครั้งที่สำนักหมื่นอสูรออกอาละวาดครั้งแรก แม้ว่าตอนนั้นเขาจะเป็นนายพลเมืองแล้ว แต่ความแข็งแกร่งก็ถือว่ายังต่ำมากนักเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เพราะงั้นกว่าเขาจะมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นั้นก็เป็นภายหลังจากที่สำนักหมื่นอสูรสงบลงแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าสำนักนี้มีความน่ากลัวขนาดไหน
ทว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ครั้งที่สำนักหมื่นอสูรสามารถลอบสังหารผู้แข็งแกร่งไป ในตอนนั้นเขาได้เป็นจ้าวยุทธ์แล้ว และได้เข้าร่วมกับสงครามปราบสำนักหมื่นอสูรเต็มเต็ม เพราะงั้นจึงรู้ดีถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่สำนักนี้มี
ประสบการณ์ทั้งสองครั้งมันช่างตระหนักลึกในใจเขามากนัก
ด้วยเหตุนี้
เขาจึงค่อนข้างกังวลกลัวว่าสำนักหมื่นอสูรจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งภายหลังจากได้ยินข่าวนี้
…
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวบางส่วนจากที่กู่ชาง ฉู่โม่วก็เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของสำนักหมื่นอสูร
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็นึกถึงคำถามอย่างหนึ่งได้ และไม่รอช้าที่จะถามออกไป “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เราจะสามารถแยกแยะผู้ปลุกพลังของสำนักหมื่นอสูรออกจากผู้ปลุกพลังทั่วไปได้ยังไง?”
กู่ชางอธิบาย “สำนักหมื่นอสูรจะบูชาอสูรเป็นหลัก กระบวนท่าของพวกเขาส่วนใหญ่จะได้มาจากพวกอสูร เพราะงั้นในช่วงที่พวกเขากำลังจะออกกระบวนท่า ร่างกายจะมีรูปร่างเหมือนสัตว์อสูรมากขึ้น เพราะท่าพวกนี้จะให้พลังในแบบอสูรมา ดังนั้นหากพบเจอจริง ๆ เราแยกได้ไม่ยากสักเท่าไร!”
“เพียงแต่ว่า…”
“ภายนอกของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาเลย ตราบใดที่คนพวกนี้ไม่แสดงร่างที่แท้จริงออกมา การแยกพวกเขาออกจากคนทั่วไปก็ทำได้ยากมาก ๆ”
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเราจัดตั้งทีมตรวจสอบขึ้นมาน่ะครับ พวกเราหวังว่าจะสามารถควบคุมตัวผู้ปลุกพลังอสูรเหล่านี้ให้ได้เสียก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น!”
ฉู่โม่วพยักหน้า
หลังจากนั้น เขาก็พูดคุยกับกู่ชางต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะกล่าวคำลาและแยกจากไป
ระหว่างทางกลับ ภายในหัวของเขาก็ไม่ได้สงบนัก
เรื่องที่คุยกับจ้าวยุทธ์กู่ชางทำให้เขาตระหนักได้ว่าสำนักหมื่นอสูรนั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ
แต่…
ความแข็งแกร่งของสำนักนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่!
ยังไงเสีย สำนักหมื่นอสูรก็เคยก่อเรื่องวุ่นวายให้กับมนุษยชาติมากถึงสองครั้งสองครา อีกทั้งเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องร้องตะโกนและเข้าสู้ทุกครั้งที่ได้เจอ ดังนั้นคนเหล่านี้ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในความมืด และถ้าหากคิดจะเคลื่อนไหวจริง ๆ มันก็จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวแบบช้ามาก ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตา
“สำนักหมื่นอสูรถือเป็นศัตรูของมนุษยชาติที่รับรู้ได้โดยทั่วกัน แถมในตอนนี้ยังถูกฐานจงไห่คอยจับตามองไว้อีก ลำพังเพียงแค่ดูแลตัวเองไม่ให้เตะตาก็น่าจะหืดขึ้นหน้าแล้ว!”
“ต่อให้เจ้าพวกนั้นจะรู้ว่าฉันช่วยชีวิตหลี่โย่วเวยกับหลี่เสวียนจีเอาไว้ ก็คงจะไม่มีเวลามาหาเรื่องฉันหรอกมั้ง”
“ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีสัตว์อสูรที่เทียบเท่าราชันย์ยุทธ์ปรากฏตัวขึ้นมา มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร!”
ฉู่โม่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่…
นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสบายใจได้เสียทีเดียว
พูดกันตามตรง การที่สำนักหมื่นอสูรไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกนี้จะไม่เคลื่อนไหว
ดังนั้นเขาไม่อาจจะนิ่งนอนใจได้
ในสายตาของฉู่โม่ว ยังไงเสียสำนักหมื่นอสูรก็ยังถือเป็นศัตรูที่ร้ายกาจอยู่ดี!
“ฉันต้องเร่งทำให้ตัวเองแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด ความแข็งแกร่งจะช่วยจัดการทุกอย่างให้ได้!”
เขาคิดกับตนเอง
ตราบใดก็ตามที่เขามีเวลาในการฝึกฝนเพิ่ม ต่อให้เป็นสัตว์อสูรระดับ 7 ก็ไม่คณามือเขาอย่างแน่นอน!
เมื่อตอนนั้นมาถึง
ต่อให้สำนักหมื่นอสูรจะรู้ว่าเขาช่วยลูกหลานตระกูลหลี่เอาไว้ แล้วพวกนั้นจะทำอะไรได้?
ถ้าอยากจะบุกมาหาถึงหน้าประตูก็เชิญเลย ถึงจะเป็นสำนักหมื่นอสูรฉันก็ไม่รังเกียจที่จะจับถอนรากถอนโคนด้วยหรอกนะ!
กลับมายังคฤหาสน์
ฉู่โม่วก็พบว่าเฉิยซีเวยยังไม่กลับมาจากป่า
ภายหลังจากที่ติดต่อกับทางเสี่ยวจินแล้ว เขาก็โล่งใจที่อสูรรับใช้ที่ไว้ใจได้นี้บอกกับว่าทุกอย่างปกติดี ไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเธอ
เพราะงั้น ถึงเวลาที่ฉู่โม่วจะต้องฝึกฝนบ้างแล้ว
“เพิ่มความแข็งแกร่งก่อน!”
“ฝึกฝนคัมภีร์มังกรคชสารอมตะ!”
…
ในขณะที่ฉู่โม่วกำลังฝึกฝนอยู่นั้นเอง
ทางตำหนักลับแห่งสวรรค์ก็ส่งผู้ปลุกพลังเข้าร่วมกับสามตระกูลใหญ่และพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้ว เพื่อออกลาดตระเวนทั่วทั้งฐานด้วย
ช่วงเวลาเช่นนี้จำเป็นที่จะต้องจับตาดูเอาไว้
สิ่งที่เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักหมื่นอสูรนี้ จะให้คนทั่วไปรู้ไม่ได้
เพราะพวกเขายังคงจดจำได้ดีถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นก่อนที่จะมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หากมีข่าวหลุดไปก่อน มันจะทำให้คนหมู่มากเกิดความหวาดกลัว และจะทำให้สถานการณ์ควบคุมได้ยาก
ทว่าเมื่อเหล่าทีมสำรวจที่เกิดจากความร่วมมือกันของหลาย ๆ ฝ่ายเริ่มลงพื้นที่ในฐาน
ผู้ปลุกพลังและชาวบ้านทั่วไปต่างอดที่จะตกใจไม่ได้
“นี่ฉันกำลังตาฝาดหรือเปล่าเนี่ย?”
“หลาย ๆ กำลังหลักร่วมมือกันเดินลาดตระเวนงั้นเหรอ? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“หรือว่าข้างนอกนั่นจะมีทัพสัตว์อสูรก่อตัวอีกแล้ว!?”
“นายจะไปกลัวทำไม ต่อให้มีพวกสัตว์อสูรคิดจะบุกเข้ามา พวกเราก็มีค่ายกลเวทขนาดใหญ่ที่คอยปกป้องฐานของพวกเราอยู่แล้ว ไม่มีอสูรตัวไหนพังมันเข้ามาได้หรอก!”
“ใช่ ๆ”
“ยังไงก็เถอะ การที่กองกำลังหลักของฐานมาร่วมมือกันเช่นนี้ ฉันว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ… แต่ก็เดาไม่ออกเลยแฮะว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อีก”
หลายคนเริ่มปรึกษากันเอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มชินกับภาพนี้
จนกระทั่ง…
เรื่องราวบทใหม่ได้ถูกเขียนทับลงมาท่ามกลางความสงบสุขนี้ ข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วภายในฐานจินหลิงราวกับไฟลามทุ่ง!
ข่าวใหญ่ที่ไม่อาจจะทำให้ผู้ดูแลฐานแต่ละคนนั่งเฉยอยู่ได้
ตามปกติแล้ว ฐานขนาดใหญ่จะมีรอยแยกมิติมากมายเกิดขึ้นที่ภายนอกฐาน และภายในรอยแยกมิติเหล่านี้ก็มีสัตว์อสูรมากมายอาศัยอยู่ ซึ่งฐานขนาดใหญ่มีหน้าที่รับผิดชอบและป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรเหล่านี้ออกมาสร้างปัญหาให้กับฐานอื่น ๆ
ยึดตามความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่อยู่ภายในรอยแยก มนุษย์ได้แบ่งพวกมันไว้เป็นสี่ระดับ จากสูงไปต่ำ ได้แก่ ‘สวรรค์ โลก สีดำ และสีเหลือง’
ท่ามกลางระดับเหล่านี้ รอยแยกที่มีสัตว์อสูรระดับ 5 อยู่เป็นจำนวนมากจะถูกตีไปว่าเป็นสีเหลืองโดยปริยาย
ในขณะที่รอยแยกที่มีสัตว์อสูรระดับ 6 อยู่จะถือเป็นสีดำ
หากรอยแยกนั้นมีสัตว์อสูรระดับ 7 อยู่ด้วยจะตีเป็นระดับปฐพี
ในส่วนของรอยแยกที่ปรากฏอยู่ด้านนอกฐานลู่หยางก่อนหน้านั้น เป็นเพียงระดับสีเหลืองที่ถือว่าต่ำที่สุดเท่านั้น
ผิดกับรอบ ๆ ฐานจินหลิงที่รอยแยกส่วนใหญ่จะมีตั้งแต่ระดับสีดำและระดับปฐพีกันเสียส่วนใหญ่
ภายหลังจากการพัฒนามาหลายปี รอยแยกมิติระดับสีดำรอบ ๆ ฐานจินหลิงได้ถูกฐานสะกดไว้ได้ทั้งหมดแล้ว แถมพวกเขายังสร้างแคมป์ไว้ภายในรอยแยกนั้นและส่งผู้ปลุกพลังเข้าไปตรวจสอบอยู่ทุก ๆ อาทิตย์
ความปลอดภัยในรอยแยกค่อนข้างสูงขนาดที่สามารถให้คนทั่วไปเข้าไปเยี่ยมชมทัศนียภาพภายในได้เลย
แต่แล้ว
ไม่กี่วันก่อน จู่ ๆ สัตว์อสูรภายในรอยแยกสีดำเหล่านั้นก็เกิดบ้าคลั่งกันขึ้นมา สัตว์อสูรที่ทรงพลังเหล่านั้นรวมตัวกันและเข้าจู่โจมแคมป์อยู่อาศัยของมนุษย์ที่สร้างไว้ในรอยแยก พวกมันฆ่าทั้งผู้ปลุกพลังและผู้อยู่อาศัยคนอื่น ๆ ไปเกือบหมด
มีเพียงผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หนีออกมาได้
ยึดตามคำบอกเล่าของพวกเขา
ท่ามกลางสัตว์อสูรที่ดุร้ายเหล่านั้นมีสัตว์อสูรที่รูปร่างคล้ายกับมนุษย์ปะปนอยู่ด้วย และสัตว์อสูรรูปร่างมนุษย์พวกนี้เองก็เป็นตัวการที่สั่งให้สัตว์อสูรตนอื่น ๆ เข้าโจมตีแคมป์ของมนุษย์ที่ถูกสร้างไว้แบบพิเศษสำหรับรับมือจากการโจมตีของสัตว์อสูร
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกมา
ทั่วทั้งฐานก็สั่นสะเทือน ผู้ปลุกพลังมากมายต่างตกตะลึงกันหมด
สิ่งนี้ทำให้เหล่ากองกำลังหลักภายในฐานต่างมั่นใจว่า …สำนักหมื่นอสูรต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องในครั้งนี้แน่ ๆ!
พวกเขารีบแจ้งไปยังฐานจงไห่เพื่อขอกำลังสนับสนุนในทันที เพราะถึงแม้ว่าพวกรอยแยกมิติระดับสีดำที่หลุดจากการควบคุมนั้นจะทำให้กลับมาอยู่ในความสงบได้ในเวลาไม่นานนัก
แต่ยังเหลือรอยแยกมิติระดับปฐพีที่อยู่ในการดูแลฐานจินหลิงอีก รอยแยกนี้มีสัตว์อสูรระดับ 7 อยู่มากมายเลยทีเดียว
หากที่นี่หลุดการควบคุมมาด้วย ลำพังเพียงฐานจินหลิงคงจะสยบไม่ไหว พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพลังของฐานจงไห่เท่านั้น
ในครั้งนี้ พวกสำนักหมื่นอสูรเลือกที่จะเคลื่อนไหวอยู่ภายในรอยแยกระดับสีดำ แต่เพียงแค่นี้ก็มากพอจะสร้างปัญหาได้แล้ว ลองคิดว่าหากเป้าหมายต่อไปของพวกมันเป็นการปลดปล่อยรอยแยกมิติระดับปฐพี พวกเขาจะรับมือกันได้อย่างไร?
การเฝ้าระวังต้องหนาแน่นขึ้น!
นอกจากนั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นกับรอยแยกระดับสีดำที่หลุดจากการควบคุมเองก็ต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีสัตว์อสูรอีกมากมายที่หลุดออกมา และสัตว์อสูรเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาของฐานจินหลิงไปด้วยได้
เพราะงั้น กองกำลังทั้งหมดจึงต้องจัดการประชุมเร่งด่วนในทันที
…
ภายในห้องที่เงียบสงบ
ตู้ม!
ฉู่โม่วรวบรวมอณูแห่งชีวิตและกระตุ้นกล้ามเนื้อจากทั่วทั้งร่างกาย ก่อนจะปลดปล่อยพลังหมัดอันมหาศาลเข้าใส่เครื่องวัดพลังกายที่อยู่เบื้องหน้า
สิ้นเสียงปะทะของกำปั้น เครื่องวัดพลังกายขนาดใหญ่ก็สั่นสะเทือนก่อนจะวิเคราะห์เป็นค่าตัวเลขออกมาที่จอด้านบน
20,157!
พลังเกิน 20,000 ช้างสารแล้ว!
เมื่อเห็นตัวเลขที่ปรากฏ ฉู่โม่วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ตั้งแต่ที่รับรู้ถึงเรื่องของสำนักหมื่นอสูร ฉู่โม่วก็รู้สึกหนักใจมาโดยตลอด เขากลับมาฝึกฝนต่อที่คฤหาสน์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด
จนกระทั่งถึงวันนี้
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาใช้ทั้งกระบวนท่าฝึกอณูแห่งชีวิตเมฆาคราม รวมถึงใช้สมบัติแห่งโลกและสวรรค์มากมายหลายชิ้น ควบคู่ไปกับเลือดอสูรมากมายจนสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งกว่า 30-40 พลังช้างสารได้ในแต่ละวัน
ในที่สุด วันที่เขาสามารถแข็งแกร่งได้มากกว่า 20,000 พลังช้างสารก็มาถึง!
‘ด้วยพลังกายอย่างเดียวก็เกิน 20,000 พลังช้างสารไปแล้ว พลังของฉันก้าวเข้าสู่ขั้นนายพลเมืองระดับสูงแล้วไม่ผิดแน่ หากเป็นผู้ปลุกพลังทั่วไปก็คงจะพยายามทลายขีดจำกัดและก้าวขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์กันแล้ว!’
‘แต่…’
‘ฉันยังรู้สึกว่า 20,000 พลังช้างสารนี้ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น… ยังไม่ถึงขีดจำกัดเลยแม้แต่น้อย!’
สำหรับฉู่โม่วแล้ว 20,000 พลังช้างสารนี้ยังไม่เข้าระดับกลางของนายพลเมืองเลยด้วยซ้ำ
หรือถ้าพูดให้ง่ายขึ้น
เขายังไม่สามารถทลายขีดจำกัดร่างกายได้!
ถึงแม้ว่า…
20,000 ช้างสารนี้ ภายหลังจากที่กระตุ้นพลังอีกสองร้อยเท่าจะมีค่าสูงถึงระดับ 4 ล้านช้างสารก็ตาม!
“ว่ากันว่า พลังของเหล่าจ้าวยุทธ์ระดับสูงใกล้เคียงกับ 5 ล้านช้างสาร นั่นหมายถึงความแข็งแกร่งของฉันตอนนี้เทียบเท่าได้กับจ้าวยุทธ์ระดับสูงกันแล้ว!”
ฉู่โม่วคิดกับตนเอง
แม้ว่าค่าพลังเหล่านี้จะเป็นค่าพลังสูงสุดที่พบเจอได้ในจ้าวยุทธ์ แต่ถ้าปราศจากการกระตุ้นด้วยพรสวรรค์ของแต่ละคน พลังของพวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งห่างอะไรกับจ้าวยุทธ์ระดับต้นนัก
ทางฉู่โม่วก็เช่นกัน!
หากฉู่โม่วกระตุ้นพรสวรรค์ทั้งหมดที่มี เขามั่นใจเลยว่าตัวเขาจะมีความแข็งแกร่งไม่น้อยหน้าไปกว่าจ้าวยุทธ์ระดับสูงที่กระตุ้นพลังแล้วเลยด้วยซ้ำ!
อันดับแรกเลย
พลังกายกว่า 4 ล้านช้างสารนี้ มันมากพอที่จะทลายเกราะป้องกันของจ้าวยุทธ์ได้
และด้วยความเร็วที่ธาตุลมสามารถกระตุ้นเพิ่มให้ได้อีกห้าสิบเท่า มันก็ทำให้ฉู่โม่วได้เปรียบจ้าวยุทธ์ที่ไม่มีธาตุลมช่วยเป็นไหน ๆ
นอกจากนี้
เขายังมีพลังของธาตุไม้ที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บกับธาตุดินระดับ 5 ที่เสริมพลังป้องกันให้อีก
พลังแห่งห้วงมิติระดับ 4 เองก็ช่วยทำให้เขาไร้เทียมทาน
สิ่งเหล่านี้เมื่อเขาจำเป็นต้องใช้มันอย่างเต็มกำลัง มันจะเป็นหลักฐานชั้นดีว่าต่อให้ศัตรูเป็นจ้าวยุทธ์ระดับสูง เขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน!
คิดได้เช่นนั้น
บนใบหน้าของฉู่โม่วก็เกิดรอยยิ้มขึ้นมา
‘ฝึกต่อไปอีกสักหน่อยดีกว่า’
ฉู่โม่วตัดสินใจที่จะกลับไปฝึกฝนต่อหลังจากพักมาครู่ใหญ่ ๆ
แต่ตอนนั้นเอง
จู่ ๆ กู่ชางก็ส่งสารมาหาเขา
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ มีการพบเจอผู้ปลุกพลังของสำนักหมื่นอสูรภายในรอยแยกมิติระดับสีดำที่พวกเราเฝ้าระวังไว้ครับ ตอนนี้รอยแยกนั้นอยู่นอกการควบคุมของพวกเราแล้ว และสถานการณ์ค่อนข้างอันตราย ได้โปรดมายังชั้นบนสุดของอาคารสาขาใหญ่ของพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้วเพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้กันด้วยครับ”
จากเนื้อความ ชายหนุ่มเดาได้เลยว่ากู่ชางค่อนข้างจะกระวนกระวายไม่น้อย
…พบเจอผู้ปลุกพลังของสำนักหมื่นอสูรงั้นเหรอ?
รอยแยกมิติระดับสีดำหลุดจากการควบคุม?
ได้ยินเช่นนั้น ฉู่โม่วก็ผงะไปชั่วขณะหนึ่ง เขารีบตั้งสติแล้วตอบกลับ “โอเค ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย!”
พูดจบ
เขาก็รีบลุกขึ้นออกไปจากคฤหาสน์ และเดินทางไปยังอาคารสาขาหลักของพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้วทันที
MANGA DISCUSSION