บทที่ 125 พลังที่ไร้เทียมทาน และ ไข่พังพอนมายาฟักตัว!
ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขมาเยือนฐานจินหลิง
สิ่งนี้ทำเอาทุกฝ่ายภายในฐานต่างประหลาดใจไม่ต่างกัน
ยึดเอาตามการคาดเดา จากการที่ตระกูลสวี่สูญเสียผู้ปลุกพลังไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาไม่น่าจะอยู่เฉย ได้ และถ้าเป็นไปตามนั้น …ทั่วทั้งฐานจะต้องไม่สงบสุขแน่นอน
ไม่คาดคิดเลยว่าตระกูลสวี่จะเลือกไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะงั้นหากทุกคนจะสงสัย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ในท้ายที่สุด พวกเขาก็สันนิษฐานกันเอาไว้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวี่รอบนี้นั้นหนักหน่วงจนเกินไป และมันทำให้คนเหล่านี้เกิดขาดความมั่นใจในการจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา
“ตระกูลสวี่ไม่ได้มาหาเรื่องฉันเลยงั้นเหรอ?”
แม้แต่ฉู่โม่วเองยังรู้สึกประหลาดใจมาก ๆ
แต่นี่ก็ยิ่งทำให้เขาไม่สามารถผ่อนคลายได้ ตลอดเวลาที่ตระกูลสวี่ ฉู่โม่วก็ระมัดระวังตนเองตลอด
เพราะด้วยธรรมชาติของตระกูลสวี่ คนพวกนี้ไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่ การที่ตลอดหนึ่งเดือนที่พวกเขาไม่ลงมือทำอะไรนั้น เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ทางนั้นต้องเตรียมเปิดบ้านต้อนรับความเล่นใหญ่จากอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
‘แต่…’
‘ไม่ว่าพวกนั้นคิดจะทำอะไร ยังไงตอนนี้ฉันก็คงต้องเร่งฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองไปก่อนล่ะนะ!’
ผ่านมาแล้วยี่สิบวันตั้งแต่ที่เขากลับมาจากเขตแดนลับท้องฟ้าคราม
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่าน ด้วยกระบวนท่าฝึกอณูแห่งชีวิตเมฆาครามและพลังของวัตถุดิบชั้นยอดมากมายรวมถึงสมบัติบรรพกาลกับเลือดอสูร ฉู่โม่วสามารถเร่งเพิ่มพลังกายได้มากถึง 50 ช้างสารต่อวัน
เพราะงั้น
พลังกายของฉู่โม่วในตอนนี้ สูงกว่า 10,000 ช้างสารเข้าไปแล้ว!
ทว่า
ภายหลังจากที่เขาสามารถเร่งฝึกฝนจนได้พลังมาอย่างมหาศาลเป็นเวลายี่สิบวัน ความเร็วในการเพิ่มขึ้นของพลังก็ลดลงไปทีละนิด ๆ จนกลับเข้าสู่ความเร็วปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้มากถึงวันละ 30 ช้างสารอยู่ดี
ยังไงเสีย… ความเร็วระดับนี้ก็ยังเป็นที่น่าหวาดกลัวต่อคนอื่นอยู่ดี
หากเรื่องนี้ถูกพบเจอเข้า
ผู้ปลุกพลังอีกมากมายจะต้องหัวใจวายตายไปเลยแน่ ๆ
“พลังกายของฉันทะลุหลัก 10,000 ช้างสารไปแล้ว นั่นหมายถึง ฉันมีพลังเทียบเท่าได้กับนายพลเมืองระดับกลาง แล้วถ้าใช้ทลายตรวนแห่งกายาก็จะสามารถเพิ่มพลังได้อีก 200 เท่า ด้วยค่าตัวเลขนี้…นั่นหมายถึงฉันจะมีพลังแตะ 2,000,000 ช้างสาร! เทียบเท่าได้กับจ้าวยุทธ์เลย! ไม่สิ แม้แต่จ้าวยุทธ์ทั่วไปก็ไม่สามารถหยุดฉันได้!”
“นอกจากนี้ ฉันยังมีธาตุลมระดับ 4 ความเร็วของฉันเผลอ ๆ จะเร็วเสียยิ่งกว่าผู้ปลุกพลังขั้นจ้าวยุทธ์เสียอีก!”
“จะเหลือก็แต่พลังป้องกันที่ยังน้อยไปนิดหน่อย”
ธาตุดินในตัวของฉู่โม่วปัจจุบันนั้นยังเป็นเพียงระดับ 3 เท่านั้น แม้จะใช้ได้ผลดีเมื่อเจอกับเหล่านายพลเมืองด้วยกันเอง แต่ถ้าศัตรูเป็นขั้นจ้าวยุทธ์นั้นมันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แต่
เขาก็ยังมีธาตุไม้ระดับ 4 อยู่ อย่างน้อย ๆ พลังในการรักษาและฟื้นฟูเขาก็ไม่เป็นรองใคร ต่อให้เขาได้รับบาดเจ็บมาจริง ๆ เพียงแค่เดินลมอณูแห่งชีวิตก็สามารถรักษาบาดแผลเหล่านั้นได้แล้ว ถือได้ว่าสามารถชดเชยพลังของธาตุที่ดินที่ค่อนข้างอ่อนกว่าธาตุอื่นได้
และที่สำคัญที่สุด
เมื่อเทียบกับเหล่าจ้าวยุทธ์ทั่ว ๆ ไปแล้ว ฉู่โม่วยังได้เปรียบมากกว่าเพราะเขามีพลังแห่งห้วงมิติอยู่ในตัว ที่ซึ่งทำให้เขาสามารถหายจากการรับรู้ของอีกฝ่ายและชิงลงมือฆ่าอีกฝ่ายก่อนได้
“นั่นหมายถึง…”
“ความแข็งแกร่งของฉันตอนนี้ สามารถจัดการพวกจ้าวยุทธ์ระดับต้นได้แล้ว หรือบางทีต่อให้เจอจ้าวยุทธ์ระดับกลาง ฉันก็น่าจะพอรับมือได้บ้าง!”
ฉู่โม่วพูดเบา ๆ
เมื่อพูดออกไปแบบนั้นแล้ว แววตาของเขาก็ปรากฏความสดใสขึ้นมาให้เห็น
‘ขั้นต่อไป หันไปถึงกระบวนท่าบ้างน่าจะดีกว่า! คิดไปคิดมาแล้วรีบ ๆ ช่ำชองกระบวนท่าย่างก้าวปีศาจไร้เงากับคมกระบี่สวรรค์เร้นลับน่าจะช่วยให้ชีวิตราบรื่นขึ้นอีกแน่!’
‘ไว้รอให้ระบบกลืนกินคูลดาวน์เสร็จ ฉันค่อยออกไปหาสัตว์อสูรธาตุดินระดับสูง ๆ เพื่อมาอุดรูโหว่ที่ยังเหลืออีกทีหนึ่ง!’
เขาวางแผนและเตรียมตัวที่จะไปฝึกต่อ
“นายท่านคะ ไข่ที่นายท่านฝากฉันคอยดูแลไว้ เริ่มขยับแล้วค่ะ!”
ตอนนั้นเอง เสียงของอาไต๋ก็ดังขึ้นมาในห้วงจิต
ฉู่โม่วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าสิ่งที่นกล่าสมบัติพูดนั้นหมายถึงไข่ของพังพอนมายา
“หรือว่า ไข่กำลังจะฟักแล้วเหรอ?”
คิดได้ดังนั้น ฉู่โม่วก็วางมือทาบไปกับถุงเก็บสัตว์อสูร
จากนั้น ไข่ของสัตว์อสูรขนาดพอ ๆ กับหัวมนุษย์ก็ปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือของเขา มันกำลังสั่นอยู่จริง ๆ! จังหวะของมันนั้นเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจ
เป็นไปได้ว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้เปลือกไข่นี้ อาจจะกำลังกลืนกินอณูแห่งชีวิตที่อยู่ภายนอกอยู่
ทุก ๆ ครั้งที่อณูแห่งชีวิตถูกกลืนกิน ที่เปลือกไข่ก็จะเปล่งแสงจาง ๆ ออกมาเสมือนแสงไฟกะพริบที่สามารถมองเห็นได้ในห้องปิดทึบ
“ไม่ผิดแน่ ไข่กำลังจะฟักแล้ว!”
“อย่างมากก็แค่อีกหนึ่งชั่วโมง!”
เขาคาดเดา
และมันก็เป็นอย่างที่เดาไว้
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ไข่ของพังพอนมายาก็เกิดรอยร้าวขึ้นมาที่เปลือก มันสั่นสะเทือนไปทั้งใบและค่อย ๆ ผลักเอาเปลือกที่แตกร้าวนั้นให้ร่วงหล่นไปทีละชิ้น ๆ
เห็นเช่นนั้น ฉู่โม่วก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่อ
“ในตอนที่มันจะเกิด มิติรอบไข่ใบนี้เกิดการแปรผันจากพลังที่มองไม่เห็นงั้นเหรอ?… ดูท่าเจ้านี่จะแข็งแกร่งใช่เล่นเลยนี่!”
ขณะที่ฉู่โม่วกำลังคาดการณ์ไว้นั้นเอง
เปรี๊ยะ!
เสียงบางสิ่งบางอย่างแตกออกก็ดังชัดเจน บนฟองไข่เกิดรูโหว่ขึ้นมาแล้ว มันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่ไข่ทั้งใบจะแตกออกจนหมด
หลังจากนั้นห้านาที หัวน้อย ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากการขดตัว
“เป็นสัตว์อสูรระดับ 2 ชั้นสูงตั้งแต่เกิดเลยงั้นเหรอ… แข็งแกร่งจริง ๆ ด้วย!”
“นอกจากนี้ก็ยังมีพลังแห่งห้วงมิติติดตัวมาด้วย ในอนาคตจะต้องเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังแน่ ๆ!”
รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพลังของพังพอนตัวน้อยตัวนี้ ฉู่โม่วก็พยักหน้าเบา ๆ เขาดูจะพึงพอใจเอาเสียมาก ๆ
ทว่า
เขาไม่ได้คิดอยากจะเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว
ในตอนนี้เขามีสัตว์เลี้ยงมากถึง 3 ตน
ทั้งนกล่าสมบัติ พญาหงส์ปีกทองคำ แล้วไหนจะยังมีอีกาสามขาทองคำอีก
อสูรรับใช้เหล่านี้ล้วนแต่มีพลังและความสามารถตรงตามจุดประสงค์ที่เขาต้องการทั้งหมด
ถือว่าช่วยฉู่โม่วได้อย่างเพียงพอ
และถึงแม้ว่าพังพอนมายานี้จะมีพลังแห่งห้วงมิติ มันอาจจะเป็นผลดีกับผู้ปลุกพลังคนอื่น แต่สำหรับเขา มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขนาดนั้น
ต่อให้พลังแห่งห้วงมิติที่พัฒนาแล้วจะทรงพลังมากก็ตาม
ในอนาคตนั้น เขาคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าพังพอนมายาเป็นสัตว์อสูรตนหนึ่งที่มีโอกาสขยับขึ้นเป็นสัตว์อสูรระดับ 6 ได้มากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ หรือแม้แต่มันจะฝึกฝนตนจนมีพลังเก่งกล้า ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
แต่ทั้งหมดนี้เมื่อเทียบกับพญาหงส์ปีกทองกับอีกาสามขาทองคำแล้ว มันเทียบกันไม่ได้เลย
เพราะงั้น
พังพอนมายานั้นไม่ได้สำคัญอะไรกับฉู่โม่วขนาดนั้น
‘จะว่าไป ซีเวยยังไม่มีอสูรรับใช้เลยนี่นะ! เอาเจ้านี่ไปให้เธอน่าจะคุ้มค่าที่สุดแล้วล่ะมั้ง’
ฉู่โม่วคิดกับตนเอง
เพราะงั้น ฉู่โม่วจึงรีบไปปลุกเฉินซีเวยที่ยังคงฝึกฝนจิตใจอยู่ แล้วบอกให้เธอไปเจอเขาที่ห้องนั่งเล่นหลังพักเหนื่อยแล้วสักหน่อย
“มีอะไรเหรอ?”
เฉินซีเวยเดินออกมาด้วยสีหน้าที่สงสัยในคำเชิญของฉู่โม่วไม่น้อย
ในตอนนั้น ร่างกายของหญิงสาวปลดปล่อยกลิ่นอายพลังออกมา กลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่ง ดูท่าเธอน่าจะเข้าสู่ขั้นสุดท้ายก่อนจะทลายขีดจำกัดของจอมยุทธ์ได้แล้ว
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอฝึกฝนจิตวิญญาณของตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งเข้าสู่การเป็นจอมยุทธ์ระดับสูง เธอก็ใช้พลังของโล่ลับดาราและกระบวนท่าฝึกดูดซับอณูแห่งชีวิตฝึกฝนตนเองต่อ ทำให้รากฐานของร่างกายแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ในที่สุด
“เจ้านี่เป็นพังพอนมายาที่เพิ่งเกิดใหม่น่ะ มันยังไม่ลืมตาตอนนี้ เพราะงั้นก่อนที่มันจะลืมตา เธอควรจะรีบเอาเลือดมาให้มันจดจำไว้นะ”
เขาชี้ไปยังพังพอนมายาตัวน้อยพลางพูด
“พังพอนมายา!?”
ทันทีที่เห็นเจ้าสัตว์อสูรตัวเล็กที่เพิ่งเกิดหมาด ๆ เฉินซีเวยก็แอบตกใจ สีหน้าของเธอแสดงความเหลือเชื่อออกมาชัดเจน
แน่นอนว่าหญิงสาวรู้จักชื่อเสียงของมันดีอยู่แล้ว
สัตว์อสูรผู้ครอบครองพลังแห่งห้วงมิติ ตัวอันตรายระดับต้น ๆ หากผู้ปลุกพลังที่ไม่แข็งแกร่งพอเผชิญหน้ากับมันเข้าล่ะก็ ก็มีเพียงแต่ต้องกลายเป็นเหยื่อของมันเท่านั้น
“ในเมื่อมันเป็นสัตว์อสูรที่ร้ายกาจขนาดนั้น…ทำไมนายไม่ทำพันธสัญญาไว้เองล่ะ?”
เฉินซีเวยถามด้วยความตื่นเต้น
“ฉันมีอสูรรับใช้ตั้งสามตนแล้ว เพราะงั้นเจ้านี่ไม่จำเป็นแล้วล่ะ… เร็วเข้า! เดี๋ยวเจ้านี่ก็ลืมตาแล้วนะ รีบมาเป็นเจ้านายมาก่อนที่มันจะกลายเป็นศัตรูไปแทน!!”
ฉู่โม่วถือโอกาสกดดันอีกฝ่าย
ได้ยินเช่นนั้น
เฉินซีเวยก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเปิดปากแผลขนาดเล็กที่ปลายนิ้วด้วยพลังอณูแห่งชีวิต จากนั้นก็หลั่งเอาแก่นโลหิตของตนเองเพียงหนึ่งหยดและแตะลงไปที่ปากเล็ก ๆ ของพังพอนมายาตัวน้อย
เพราะพังพอนมายาตัวนี้ยังคงเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับ 2 ที่เพิ่งเกิดเท่านั้น ดังนั้น นอกจากมันจะอ่อนแรงและไม่รู้ด้วยว่าสิ่งใดควรต่อต้านบ้าง
ภายหลังจากการทำพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว
สัตว์อสูรวัยแรกเกิดนี้ก็ลืมตาตื่น และเมื่อมันเห็นเฉินซีเวย ร่างเล็กนั้นก็ดิ้นเข้าไปหาและกอดแขนเธอเอาไว้อย่างเป็นมิตร
ขนของมันขาวดังหิมะ ด้วยใบหน้าขนาดเล็ก และใบหูที่เล็กกว่า จมูกสีแดง รวมถึงหนวดที่ยาวเหมือนแมว มันเป็นอะไรที่น่ารักน่าชังเกินกว่าสาว ๆ จะอดใจไหวจริง ๆ
“เจ้านี่ น่ารักสุด ๆ ไปเลยนี่นา!”
สีหน้าของเฉินซีเวยแดงระเรื่อ เธอโอบพังพอนมายาตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนพลางลูบหัวมันไปด้วยความเอ็นดูขณะที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสุข
“ถ้าเธอชอบมันก็ดีแล้ว”
ฉู่โม่วยิ้ม
อย่างไรก็ตาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบมองไปยังบริเวณส่วนนั้นพังพอนมายาไปด้วย
เจ้านี่เป็นตัวเมีย!
เขาโล่งใจที่สุด!
ชายหนุ่มปล่อยให้เฉินซีเวยและพังพอนมายาฝึกฝนร่วมกันไปเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างนั้นตัวเขาก็แยกไปฝึกฝนตนเองตามแผนที่วางไว้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้เริ่มฝึกฝน ฉู่โม่วก็ส่งข้อความให้หมัวซานซาน เพื่อขอให้ทางหอการค้าหยกแก้วช่วยตรวจสอบดูเผื่อว่าพวกเขาจะมีรายการสัตว์อสูรธาตุดินที่ทรงพลังอยู่ หรือถ้าทางนั้นมีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้อง ก็ช่วยส่งมาให้เขาที
แน่นอนว่าหมัวซานซานไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
‘ถ้าเกิดโชคดีได้สัตว์อสูรธาตุดินระดับ 6 มา ฉันก็จะสามารถกลืนกินธาตุดินเพิ่มได้ และถ้ามันเป็นแบบนั้น แม้แต่จ้าวยุทธ์ก็ไม่อาจทำอะไรฉันได้! แบบนั้นคงไม่ต้องกลัวอะไรอีก!’
ฉู่โม่วคิดกับตนเองและตั้งความหวังไว้
…
ตระกูลสวี่
เกือบหนึ่งเดือนเต็มที่ตระกูลสวี่ขาดการประชุมหารือกันเพราะความแข็งแกร่งที่หดหาย
แม้จะเป็นเพียงผู้ปลุกพลังที่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ก็ยังถูกเรียกตัวกลับมายังคฤหาสน์หลัก พร้อมกับกำชับไม่ให้ออกไปด้านนอกเลยในช่วงนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครสามารถนำตัวคนจากตระกูลเขาไปสอบสวนหาความจริงได้
สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้ปลุกพลังหลายคนในตระกูลงุนงงไม่ใช่น้อย
และมีอีกหลายคนที่แอบวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งแปลก ๆ ของผู้เป็นเจ้าตระกูลคนปัจจุบันนี้อย่างลับ ๆ
อย่างไรก็ตาม
ความอึดอัดและความสงสัยก็พลันหายไปในวันนี้
นั่นเพราะ เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง พลังงานอันแก่กล้าผุดขึ้นมาราวกับพายุใหญ่จากส่วนที่ลึกที่สุดของคฤหาสน์ตระกูลสวี่ มันทำให้สมาชิกตระกูลสวี่แทบจะทั้งตระกูลขนลุกซู่ไปพร้อม ๆ กัน
แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลยังต้องเดินออกมาดู เพราะถูกพลังงานลึกลับนี้รบกวน
ทว่าภายหลังจากที่ทำการแกะคลื่นพลังดังกล่าวแล้ว เขาก็สามารถตระหนักได้ว่า เจ้าของพลังนี้คือประมุขสวี่หล่าง ผู้ที่ซึ่งทลายขีดจำกัดร่างกายในระดับสูงของนายพลเมืองและก้าวเข้าสู่การเป็นจ้าวยุทธ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทุก ๆ คนในตระกูลสวี่ก็แสดงสีหน้ามีความสุขออกมา
ทุกวันนี้ ภายในฐานจินหลิง บรรดาเหล่ากำลังหลักของฐาน พวกเขาจะมีจ้าวยุทธ์อยู่กันฝ่ายละหนึ่งคน และทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่เป็นจ้าวยุทธ์ระดับต้นกันด้วย
เพราะฉะนั้น ความแข็งแกร่งของแต่ละฝ่ายจึงไม่ได้ห่างกันมากนัก จะต่างก็คงจะมีเพียงจำนวนของนายพลเมืองที่มีเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพันธมิตรพ่อค้าหยกแห้วจึงสามารถข่มเหล่ากำลังหลักแห่งจินหลิงได้อยู่หมัด พวกเขามีบางสิ่งบางอย่างที่ฝ่ายอื่นไม่มี นั่นก็คือ บรรพบุรุษของพันธมิตรหอการค้าหยกแก้วนี้ เป็นถึงจ้าวยุทธ์ระดับกลาง ที่ถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วภายในฐานจินหลิง!
แต่ตอนนี้
เจ้าตระกูลสวี่หล่างเองก็สามารถทลายขีดจำกัดและขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้เช่นกัน
นั่นหมายถึง ตระกูลสวี่มีจ้าวยุทธ์มากถึงสองคน!
ดังนั้นความจริงนี้ ทำให้ตระกูลสวี่ขยับขึ้นมาเป็นผู้ที่อยู่เหนือสี่กองกำลังหลักแห่งจินหลิงทันที คราวนี้ต่อให้ศัตรูเป็นพันธมิตรพ่อค้าหยกแก้ว พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ หากเหล่าผู้ปลุกพลังภายในตระกูลไม่ตื่นเต้น พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นคนของตระกูลสวี่ได้อย่างไร?
“ยินดีด้วยครับ ท่านเจ้าตระกูล ยินดีกับท่านด้วยจริง ๆ ที่สามารถก้าวขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้แล้ว!”
สวี่เจินเข้ามาหาสวี่หล่างเพื่อแสดงความยินดีกับเขาเป็นคนแรก
ในขณะเดียวกัน เขาก็ถามสวี่หล่างถึงเวลาที่จะเริ่มแผนการขั้นต่อไปด้วย
“ขอฉันปรับพลังภายในกายให้เสถียรกว่านี้อีกสักหน่อย!”
“อีกสามวัน ฉันจะไปจัดการฆ่าฉู่โม่วด้วยตัวข้าเอง!”
สวี่หล่างพูดตอบด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า
MANGA DISCUSSION