บทที่ 119 ฝึกฝนอย่างหนักและพังพอนมายาระดับ 5 ปรากฏตัว!
ภายในช่องทางเล็ก ๆ ที่ลึกลับ ภายในนั้นมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาอยู่ บ่อน้ำแห่งนี้กำลังปลดปล่อยอณูแห่งชีวิตรุนแรงออกมา
ฉู่โม่วตามอาไต๋มายังที่แห่งนี้
เพียงแค่หยุดก้าวเดินและสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงอณูแห่งชีวิตที่รุนแรงกำลังหลั่งไหลและเติมเต็มเข้ามาในร่าง สิ่งนี้ทำให้อณูแห่งชีวิตที่อัดแน่นอยู่ในจุดตันเถียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง
“บ่อน้ำปฐมกาลที่เกิดจากการที่อณูแห่งชีวิตทับถมลงมาในน้ำมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ฉันน่าจะใช้ที่นี่ฝึกฝนได้!”
ดวงตาของฉู่โม่วเป็นประกาย เขาไม่รอช้าที่จะกระโดดลงไป
อณูแห่งชีวิตที่ไร้ขีดจำกัดท่วมท้นร่าง ก่อนจะเริ่มทำการรักษาแขนขาและกระดูกไปพลาง ๆ
ขนาดยังไม่ได้ใช้กระบวนท่าฝึกฝนร่างกายยังมีผลด้วยตัวมันเองเช่นนี้ หากว่าได้ฝึกฝนภายในบ่อน้ำนี้ละก็ อยากรู้จริง ๆ ว่าจะได้พลังมามากขนาดไหน!
คิดได้ดังนั้น
ฉู่โม่วก็หยิบเอาคัมภีร์กระดาษหยกที่บันทึกเกี่ยวกับกระบวนท่าฝึกฝนอณูแห่งชีวิตออกมา เขาค่อย ๆ ร่ำเรียนก่อนจะเริ่มปฏิบัติตาม
เพียงแค่ได้เริ่มฝึกฝนไปสัปดาห์หนึ่ง ฉู่โม่วก็รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังดึงดูดอณูแห่งชีวิตปริมาณมากเข้ามา และส่วนใหญ่มาจากของเหลวที่อยู่ภายในบ่อน้ำปฐมกาลนี้ พวกมันเริ่มขัดเกลาสลับกับรักษาร่างกายที่เสียหายจากการฝึกฝนทุกวินาที
ภายในครึ่งชั่วโมง ฉู่โม่วก็ได้พลังกายเพิ่มมาอีก 1 ช้างสารแล้ว!
“สมแล้วที่เป็นกระบวนท่าฝึกฝนร่างกายที่เป็นความลับของสำนัก!”
“พลังในการช่วยกระตุ้นการดูดกลืนอณูแห่งชีวิตนี้สูงกว่าก่อนหน้าเป็นสิบเท่าเลย!”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่โม่ว
แต่เดิมแล้ว ด้วยวิธีฝึกฝนดูดซับอณูแห่งชีวิตแบบเก่า มันทำให้พลังช้างสารของเขาเพิ่มมาวันละ 1 ขั้น ซึ่งนับว่าเร็วมากแล้ว
ทว่าเมื่อเทียบเข้ากับกระบวนท่าฝึกอณูแห่งชีวิตนี้ มันพูดได้เลยว่าคนละขั้น!
“จากแต่เดิมเวลาหนึ่งเดือนสามารถเพิ่มได้ 30 ช้างสาร หากจะเร่งให้ตนเองเป็นนายพลเมืองจริง ๆ และต้องใช้เวลาร่วม ๆ สามปีกว่าจะสำเร็จ”
“แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ บางทีอาจจะใช้เวลาไม่ถึงสามเดือนเลยก็ได้!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฉันยังอยู่ในเขตแดนที่เปี่ยมไปด้วยอณูแห่งชีวิตหนาแน่น แล้วถ้าใช้ควบคู่ไปกับเลือดอสูร… มันน่าจะใช้เวลาสั้นลงไปอีก!”
“เวลาที่ต้องใช้…”
“อาจจะเหลือเพียงแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้นก็จะสามารถไปสู่บั้นปลายปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสูง!”
“ต่อให้จะไม่สามารถขึ้นเป็นนายพลเมืองได้ตั้งแต่ที่ยังอยู่ในเขตแดนลับ แต่ด้วยวิธีฝึกฝนร่างกายนี้จะทำให้ทลายขีดจำกัด และกลายเป็นนายพลเมืองได้อย่างแน่นอน!”
ยิ่งพูด แววตาของฉู่โม่วยิ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้า
ด้วยเวลาเพียงเดือนกว่า ๆ เขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับสูงได้
หากความเร็วในการพัฒนาตนเองที่ล้ำหน้ากว่าใคร ๆ ถูกแพร่สะพัดออกไปละก็ เขามั่นใจเลยว่าฐานจินหลิงจะต้องไม่สงบสุขแน่!
“ยังเหลือเวลาอยู่อีกเดือนหนึ่งก่อนที่เขตแดนลับแห่งนี้จะจบลง”
“ฉันต้องส่งตัวเองให้เข้าใกล้ขั้นนายพลเมืองให้ได้มากที่สุด!”
ฉู่โม่วตั้งเป้าหมาย!
เมื่อปณิธานตั้งมั่นแล้ว
เขาจึงหยิบเอาขวดเลือดอสูรระดับ 5 ระดับสูงจำนวนสิบขวดออกมา และดื่มลงไปทั้งหมดในอึกเดียว
พลังที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดพลันแผ่ซ่านไปทั่วกายา!
เสมือนว่าเส้นลมปราณกำลังจะระเบิดออก
รู้สึกเช่นนั้น
ฉู่โม่วก็รีบใช้กระบวนท่าฝึกฝนอณูแห่งชีวิตทันที ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้ของเหลวที่อุดมไปด้วยอณูแห่งชีวิตหลั่งไหลอาบร่าง เพื่อที่จะได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการใช้เลือดสัตว์อสูรจำนวนมากนี้ไปพร้อม ๆ กัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว
ในวันนี้
ฉู่โม่วลืมตาขึ้น เขายังคงไม่ออกไปพบใคร
“พลังกายของฉันมีมากถึง 1,200 ช้างสารแล้ว แต่ยังไม่ถึงขีดจำกัดร่างกาย ฉันยังพัฒนาได้อีก!”
เขาบ่นพึมพำ
ปรมาจารย์ยุทธ์ทั่ว ๆ ไป พลังเพียงแค่ 200 ช้างสารก็ต้องเตรียมตัวทลายขีดจำกัดร่างกายแล้วขยับขึ้นเป็นนายพลเมืองกันแล้ว
แต่ตัวเขาที่พลังสูงถึง 1,200 ช้างสารกลับยังพัฒนาต่อไปได้
เท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่ารากฐานของฉู่โม่วและขีดจำกัดของเขานั้นสูงขนาดไหน
“ต้องพยายามฝึกต่อไป!”
ด้วยความตั้งใจนี้ ฉู่โม่วลงมือฝึกฝนต่อเพื่อที่จะบรรลุระดับสูงของปรมาจารย์ยุทธ์
ทว่า…
ขณะที่หันมองไปรอบ ๆ ตัว
เขาก็พบว่าบ่อน้ำปฐมกาลที่ใช้ในการฝึกฝนมาร่วมยี่สิบวันนี้ดูดกลืนอณูแห่งชีวิตไปจนหมดเรียบร้อยแล้ว มันมอบพลังให้แก่เขามาถึง 300 ช้างสาร!
“ดูเหมือนต้องลองหาบ่อน้ำปฐมกาลบ่อใหม่ซะแล้วสิ”
ฉู่โม่วพูด
ภายหลังจากบอกอาไต๋ไปแล้ว เขาก็ออกมาจากบ่อน้ำบ่อเดิมและเตรียมตัวไปหาสถานที่สำหรับฝึกฝนแห่งใหม่
แต่…
เพียงแค่คิด จิตสัมผัสของฉู่โม่วก็ตรวจจับคลื่นแปรปรวนที่อยู่ห่างจากเขาไปราว ๆ ยี่สิบกิโลเมตรได้!
“มีคนกำลังสู้กันเหรอ?”
จากคลื่นแปรปรวนนี้ มันค่อนข้างจะบอกชัดเจนเลยทีเดียว เพราะงั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะตรงไปยังจุดที่ตรวจเจอคลื่นดังกล่าว
ในเวลาไม่นาน
ฉู่โม่วก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงของที่หมาย ที่ซึ่งเมื่อมองไปแล้วจะเห็นได้ว่ามีผู้ปลุกพลังหลายคนเกาะกลุ่มกันอยู่เบื้องหน้า นอกจากนี้ยังมีซากศพอีกหลายร่างกองอยู่บนพื้นด้วย
“นั่นมัน… คนจากเครือหอการค้าหยกแก้วนี่?”
เขาจำได้ดีเพราะชุดที่คนเหล่านั้นสวมใส่ พวกเขาเป็นผู้ปลุกพลังของเครือหอการค้าหยกแก้ว
นอกจากนี้ยังมีคนที่หน้าคุ้นตาผู้หนึ่ง ซึ่งเมื่อครั้งนั่งยานบินมายังเขตแดนลับนี้ เขานั่งอยู่ข้าง ๆ ฉู่โม่วเลย
คนคนนี้เป็นนายพลเมืองระดับต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความแข็งแกร่งไม่น้อยหน้าใคร ทว่าในตอนนี้สีหน้าของเขากลับดูเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง มันซีดเผือดโดยที่ตามร่างกายก็มีบาดแผลปรากฏให้เห็นด้วย
“บ้าเอ๊ย …สัตว์อสูรระดับ 5 หกตัว ส่วนที่เหลือเป็นระดับ 4 หมดเลยนี่หว่า!”
ภายหลังจากที่สังเกตสถานการณ์ ฉู่โม่วก็รีบวิ่งออกไปทันที
ในเมื่อคนคนนี้เป็นผู้ปลุกพลังจากเครือหอการค้าหยกแก้ว การที่เขาจะปล่อยทิ้งดูดายอยู่ตรงนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
ฉั้วะ!
ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว สัตว์อสูรระดับ 5 ที่กำลังเกรี้ยวกราดตัวหนึ่งก็ตายลงทันทีเพราะโดนจุดตายเข้าเต็มเปา มันไม่มีโอกาสจะส่งเสียงสักแอะ!
“คุณฉู่โม่ว!?”
“ใช่คุณฉู่จริง ๆ ด้วย!”
“พวกเราปลอดภัยแล้ว!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าผู้ปลุกพลังที่เหลือของพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้วต่างงุนงงกันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นฉู่โม่วที่เข้ามาช่วย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยหวาดกลัว
เมื่อตอนที่เสาะหาบุปผามังกรคำรามก่อนหน้า ทักษะวิชากระบี่ของฉู่โม่วที่ทำลายค่ายกลได้นั้น สร้างความประทับใจให้แก่คนเหล่านี้เป็นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อได้เห็นว่าฉู่โม่วอยู่ที่นี่ด้วย ใจของพวกเขาก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมา
และมันก็เป็นอย่างที่พวกเขาคิด
ภายหลังจากที่ฉู่โม่วยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว เหล่าสัตว์อสูรที่แม้จะเป็นถึงระดับ 5 ก็ไม่ต่างอะไรกับมดหนอน พวกมันถูกเขาไล่ฆ่าทีละตัว ๆ พริบตาพวกมันทั้งหมดก็ล้มตายกันไป
แทบจะเพียงชั่วพริบตา
สัตว์อสูรกว่าสิบตนถูกฆ่าไปหมดแล้ว!
“สะ… สุดยอดไปเลย!”
เหล่าผู้ปลุกพลังมากมายจากพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้วยืนมองพลังของฉู่โม่ว ร่างแข็งค้างแทบจะลืมหายใจทีเดียว!
“พวกนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ตอนนั้นฉู่โม่วเก็บกระบี่ลงแล้วหันไปถามคนที่อยู่ใกล้ ๆ
“ไม่ ไม่เป็นไรครับ!”
พวกเขาโบกมืออย่างรวดเร็วคล้ายกับตื่นจากภวังค์ คนเหล่านี้กล่าวขอบคุณฉู่โม่วพร้อม ๆ กัน “ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณฉู่มาก ๆ เลยที่มาช่วยชีวิตพวกเราไว้!”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
ชายหนุ่มโบกมือไม่ใส่ใจก่อนจะเอ่ยเตือน “ที่นี่อันตรายมาก ถ้าไม่มีอะไรต้องทำ ฉันแนะนำให้พวกนายกลับไปอยู่แถว ๆ หอคอยวรยุทธ์จะดีกว่านะ ยังไงซะอีกไม่นานเขตแดนลับนี่ก็จะปิดแล้วด้วย”
หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น เขาก็หันหน้าออกและเตรียมจะจากที่นี่ไป
แต่ตอนนั้นเอง
ผู้ปลุกพลังที่เคยนั่งข้างฉู่โม่วพลันพูดขึ้น “ยังไงก็เถอะ… คุณฉู่โม่ว ผมมีเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะบอกคุณดีหรือเปล่าน่ะครับ…”
“ว่ามา”
ฉู่โม่วชะงักฝีเท้าลง
“ผมได้ยินมาว่าภายในเขตแดนลับนี้มีพังพอนมายาระดับ 5 อยู่น่ะครับ ผู้ปลุกพลังจากทางฝั่งเราหลายคนที่รู้ข่าวนี้เลยพยายามจะสกัดกั้นมันออกไป เป็นไปได้ก็อยากจะกำจัดให้สิ้นซาก คุณฉู่โม่วแข็งแกร่งขนาดนี้… พอจะมีวิธีกำจัดมันไหมครับ? หรือว่าคุณอยากจะกำจัดมันเอง?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
“พังพอนมายาระดับ 5 งั้นเหรอ!?”
นัยน์ตาของฉู่โม่ววูบไหว เช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
ตั้งแต่แรก ๆ เขาได้พลังแห่งห้วงมิติมาก็เพราะเผชิญหน้ากับตัวพังพอนมายาที่โผล่มาระหว่างการเดินทางนั่นแหละ ภายหลังจากที่กำจัดมันได้ เขาถึงได้พลังแห่งห้วงมิติมา
หลังจากนั้นมา เขาก็ใช้พลังแห่งห้วงมิตินี้ในการสังหารสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านับไม่ถ้วน
ไหนจะใช้พลังนั้นเปิดมิติพกพาสำหรับเก็บของอีก
พูดได้ว่า…
ภายในบรรดาพลังที่ได้รับมา พลังแห่งห้วงมิติถือเป็นสิ่งที่สำคัญกับเขามากที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่เพราะ…
เขาไม่มีวิธีที่จะเพิ่งระดับให้กับพลังนี้ มันเลยทำให้พลังแห่งห้วงมิติของเขายังคงอยู่แค่ระดับ 2 เท่านั้น
ทว่าตอนนี้เหมือนจะมีหนึ่งทางแล้ว
ถ้าเขาสามารถฆ่าพังพอนมายาได้…
พอคิดแบบนั้นแล้ว ฉู่โม่วก็แทบจะอดทนรอไม่ไหวอีกต่อไป
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ได้ถูกกับการใคร่ครวญสิ่งใดนาน ๆ อยู่แล้วด้วย ดังนั้นหลังจากที่ถามข้อมูลต่าง ๆ เสร็จ ฉู่โม่วก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ดังกล่าว ราวกับตนเป็นพังพอนมายาที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไปมา
ตอนนั้น…
ผู้ปลุกพลังที่บอกข่าวฉู่โม่วทำได้เพียงมองเขาหายวับไปเท่านั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดเบา ๆ “แต่เดิมฉันคิดว่าคุณฉู่โม่วน่ะเป็นแค่ปรมาจารย์ยุทธ์เท่านั้น ต่อให้จะเก่งจริง ๆ ก็น่าจะแค่มากกว่าฉันไม่มากนัก ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเขาจะเก่งถึงระดับนี้!”
“ด้วยความสามารถระดับนี้ เขาต้องกลายเป็นเสาหลักคนใหม่และเป็นจ้าวยุทธ์ในอนาคตได้แน่ ๆ!”
แม้จะเป็นถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความชื่นชม แต่ยังมีความอิจฉา
แต่ความอิจฉานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่อะไร
เพราะรู้ตัวดีว่าถึงแม้ตนเองจะเป็นถึงนายพลเมือง ทว่าด้วยความสามารถและความเชี่ยวชาญ หากไม่พลาดท่าตายกับเหตุการณ์ไหนเสียก่อน ชั่วชีวิตนี้ได้ขึ้นเป็นนายพลเมืองระดับสูงก็คงตายตาหลับ คนอย่างเขาไม่มีทางเป็นจ้าวยุทธ์ได้อย่างแน่นอน
“เอาเถอะ… เฮ้ กลับกันได้แล้ว พวกเราไปรอกันที่หอคอยวรยุทธ์ดีกว่า!”
เมื่อได้สติกลับมา เขาก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“กลับเหรอ? นายจะไม่หาของต่อแล้วหรือไง?”
ผู้ปลุกพลังคนอื่นถามด้วยความที่เขายังไม่อยากจะกลับไปสักเท่าไหร่
“ไม่เอาแล้ว ที่นี่อันตรายเกินไปหากลำพังเพียงพลังของพวกเรา ต่อให้พวกเราจะเจอสมบัติบรรพกาลขึ้นมาจริง ๆ แต่การเอาชนะสัตว์อสูรที่ปกป้องมันอยู่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี!”
พูดไปเช่นนั้นแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ก็เป็นอย่างที่คุณฉู่โม่วว่าไว้นั่นแหละ”
“พวกเราควรจะคิดได้กันตั้งนานแล้ว ว่าสถานที่อย่างเขตแดนลับพวกนี้ มันเป็นสนามสำหรับให้เหล่าผู้ปลุกพลังตัวท็อปมาแสดงศักยภาพ ไม่ใช่ผู้ปลุกพลังทั่ว ๆ ไปอย่างพวกเรา สิ่งเดียวที่ทำได้ก็มีแต่เชื่อฟังและรอคำสั่งเท่านั้น บางครั้งอาจจะโชคดีได้ชิมน้ำนิด ๆ หน่อย ๆ …แต่ถ้าเมื่อไหร่หวังจะกินเนื้อละก็… เราก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาตัวเองเข้าไปโยนให้สัตว์อสูรกินเลย!”
เมื่อฟังเช่นนั้นแล้วผู้ปลุกพลังคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ แม้มันจะไม่น่ายอมรับนัก แต่นี่คือเรื่องจริง
นี่คือความห่างชั้นกันของพลังและพรสวรรค์
ยิ่งศักยภาพสูงก็จะยิ่งแข็งแกร่ง แล้วถ้ายิ่งแข็งแกร่งก็จะยิ่งไต่เต้าได้สูงขึ้น!
สิ่งที่เรียกว่าเขตแดนลับนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้เปิดมัน ไม่ว่าจะส่งผู้ปลุกพลังเข้าไปมากขนาดไหนในแต่ละครั้ง…
…ท้ายสุดทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตมาทิ้งไว้
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเป็นความหวังของกองกำลังได้ และคนเหล่านั้นหากไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่เก่งมาก ๆ เท่านั้น!
“ขะ… เข้าใจแล้ว กลับกันเถอะ!”
“กลับไปที่หอคอยวรยุทธ์เพื่อไปทดสอบกัน บางทีเราอาจจะได้อะไรดี ๆ กลับมาบ้าง!”
พวกเขาช่วย ๆ กันแบกร่างของสหายร่วมรบที่ยังไม่ตายจากการต่อสู้เพื่อกลับไปยังจุดปลอดภัย ส่วนบางคนก็แยกไปเก็บร่างของผู้เสียชีวิตเพื่อนำกลับไปยังโลกภายนอกด้วย
…
อีกฟากหนึ่ง
ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากผู้ปลุกพลัง ฉู่โม่วก็ออกเดินทางด้วยความเร็วสูงที่สุด
สองชั่วโมงต่อมา
ตู้ม!
ภายในระยะการรับรู้ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังกังวานขึ้นมา
เพียงแค่ได้ยินเสียงนั้น เขาก็สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่ามีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้น
ฉู่โม่วรีบกระตุ้นพลังของธาตุความมืดแล้วเบนทิศทางไปหาต้นเสียงทันที
ไม่นานนักก็เข้ามาถึงบริเวณใกล้เคียง เขาเห็นร่างนับร้อยอยู่ไม่ไกลนัก คนเหล่านั้นกำลังร่วมมือกันจัดการกับบางสิ่งบางอย่างที่มีลำตัวสีขาว
ไม่ผิดแน่!
พังพอนมายา!
ผู้ปลุกพลังกว่าร้อยคนนั้นมาจากหลายฝ่าย แต่ในตอนนี้จำเป็นต้องร่วมมือกันไปก่อน
“แปลกดีแฮะ”
“จู่ ๆ แต่ละฝ่ายก็มาร่วมมือกันเองงั้นเหรอ?”
สิ่งนี้ทำให้ฉู่โม่วประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ขณะนั้นเอง
เขาเห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองกำลังควบคุมกองกำลังจากทุกฝ่ายอยู่
เธอถือแผ่นหยกเล็ก ๆ ไว้ในมือ แล้วให้ผู้ปลุกพลังทุกคนช่วยตีกรอบล้อมพังพอนมายา ขณะตัวเธอกำลังร่ายเวทสร้างค่ายกลสำหรับจับสัตว์อสูรตนนี้
ค่ายกลเวทขนาดใหญ่นี้กำลังทำให้พังพอนมายาจนแต้ม!
เพราะแม้ว่าพลังพิเศษของมันจะเป็นการแหวกมิติออกมาเพื่อหลบหนีก็จริง แต่ด้วยค่ายกลเวทที่ตีกรอบไม่ให้ออกจากเขตแดนได้ พลังก็พลอยถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบ และไม่ว่าเค้นพลังขนาดไหน มิติที่เปิดได้ก็มีพื้นที่จำกัดอยู่ในค่ายกลเวทนี้เท่านั้น!
พักหนึ่งเจ้าสัตว์อสูรที่โดนต้อนก็ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง!
MANGA DISCUSSION