บทที่ 102 จ้าวยุทธ์
“หรือมันจะเป็นพวกหอการค้าหยกแก้วที่รู้ก่อนว่าพวกเราจะเล่นงานฉู่โม่ว ก็เลยแอบส่งคนที่แข็งแกร่งมาก ๆ ไปคอยปกป้องเจ้านั่นไว้?”
“ไม่เช่นนั้นแล้ว มันไม่ทางเลยที่อวี่ป๋อจะพลาดได้!”
ผู้อาวุโสตระกูลสวี่คนหนึ่งอดคาดเดาไม่ได้
ทันทีที่เขาพูดออกไป เหล่าอาวุโสคนอื่นภายในโถงนี้ก็พากันพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็คิดเช่นกัน
“มันต้องเป็นฝีมือของพวกหอการค้าหยกแก้วแน่ ๆ เจ้าพวกนั้นยิ่งเขม่นตระกูลของพวกเรามาพักใหญ่ ๆ แล้วด้วย!”
“ไอ้พวกหอการค้าจอมแส่!”
“ถ้าไม่ใช่ฝีมือเจ้าพวกนั้น คนของตระกูลสวี่ของพวกเราคงจะฆ่าเจ้านั่นได้ตั้งนานแล้ว!”
คนเหล่านี้ต่างพากันพูดเอาดีเข้าตัวและต่อว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างแค้นเคือง
พันธมิตรพ่อค้าหยกแก้วนั้นถือเป็นหอการค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในฐานจินหลิง มีผู้ปลุกพลังขั้นต่าง ๆ อยู่ภายใต้การดูแลมากมายนับไม่ถ้วน การที่ตระกูลสวี่เพิ่งไปมีเรื่องมากับกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พวกเขามองว่านี่เป็นฝีมือของหอการค้าหยกแก้ว
แม้ว่าสวี่หล่างจะโกรธแค้นอยู่ภายในใจมากขนาดไหน
แต่เมื่อคิดถึงสีหน้าของเหล่าบรรพบุรุษที่ดูจะไม่พอใจในการกระทำของเขาก่อนหน้าเอาเสียมาก ๆ จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีอีก
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามข่มความโกรธเอาไว้ให้ดี แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ช่างมันไปก่อน ตอนนี้เขตแดนลับเมฆาครามกำลังจะเปิดแล้ว”
“เราน่าจะมีโอกาสให้ลงมืออีกในเขตแดนลับนี้ ให้เด็กตระกูลสวี่ของฉันเข้าไป หากพวกเราได้ของดี ๆ กลับมา ตระกูลสวี่จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่!”
ได้ยินดังนั้น
แววตาของเหล่าผู้อาวุโสในห้องก็ดูจะเปี่ยมไปด้วยไฟ
พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไป
พักหนึ่ง มีเพียงสวี่หล่างเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในห้องนี้
เขาทุบโต๊ะระบายอารมณ์กับการพังข้าวของในห้องอยู่พักใหญ่
หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้างแล้ว สวี่หล่างก็ค่อย ๆ นั่งลงไปในห้องที่ยุ่งเหยิงนี้ด้วยใบหน้ามืดดำ แต่แล้วจู่ ๆ ก็แสยะยิ้มออกมา “เดี๋ยวก่อนสิ!”
“ในตอนที่เด็ก ๆ ตระกูลสวี่ของฉันเข้าไปในเขตแดนลับแล้วชิงสมบัติภายในมาได้ก่อนละ? แบบนี้พวกหอการค้าหยกแก้วจะเป็นยังไง?”
“ทั่วทั้งฐานจินหลิงแห่งนี้ต้องเป็นของตระกูลสวี่แต่เพียงผู้เดียว!”
“ส่วนไอ้เจ้าฉู่โม่ว ฉันจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อยก็ได้!”
เสียงกระซิบแผ่วเบา
ผิดกับความชั่วร้ายที่ก่อตัวในแววตาของชายผู้นี้
…
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
แต่เพียงชั่วพริบตา มันก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
ทั่วทั้งฐานจินหลิงอยู่ในความสงบสุข จะมีก็แต่เหล่ากองกำลังต่าง ๆ ที่วุ่นวายอยู่กับเขตแดนลับเมฆาครามที่เตรียมจะเปิดให้เข้าไปด้านใน
“พวกตระกูลสวี่นั่นไม่ได้มาหาเรื่องฉันเลยนี่นา แปลกแฮะ”
ฉู่โม่วผู้เตรียมตัวมาตลอดหนึ่งเดือนรู้สึกประหลาดใจ
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แม้เขาจะเริ่มวางมือจากการฝึกลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ประมาทเลยแม้แต่น้อย เพราะเกรงว่าตระกูลสวี่จะส่งคนมาล้างแค้นได้ตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไม่ให้เฉินซีเวยออกไปข้างนอกและให้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในคฤหาสน์อีก
นอกจากนั้น
เพราะความกังวล ฉู่โม่วยังได้ข้อมูลของตระกูลสวี่มาจากหมัวซานซานเพิ่มด้วย เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้า
ความจริงที่ว่าตระกูลสวี่นั้นเป็นหนึ่งในสี่กองกำลังหลักของฐานจินหลิงไม่ใช่แค่ข่าวลือ เพราะงั้นจึงไม่สามารถประมาทด้วยได้!
อ้างอิงจากข้อมูลที่พันธมิตรพ่อค้าหอการค้าหยกแก้วให้มา ตระกูลสวี่นั้นมีนายพลเมืองอยู่มากกว่ายี่สิบคน
ในหมู่คนเหล่านี้ พวกเขาเป็นเหล่าทายาทที่อายุไม่ถึงร้อยปีไปแล้วกว่าสิบคน
ขณะที่นายพลเมืองที่เหลือเป็นผู้อาวุโสอายุกว่าร้อยปี ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนายพลเมืองระดับกลาง มีความแข็งแกร่งที่หยั่งลึกจนยากจะวิเคราะห์!
สมควรแก่การจับตามองไว้แล้ว
ผู้อาวุโสของตระกูลสวี่ยังคงมีชีวิตอยู่ ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นี้เข้าใกล้ระดับสูงสุดของนายพลเมืองแล้ว นอกจากนี้… คนผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในจ้าวยุทธ์อีกด้วย!
และจ้าวยุทธ์ก็คือขั้นที่สูงกว่านายพลเมืองที่เคยทำให้โลกนี้ต้องสั่นสะเทือน!
ด้วยพลังระดับเทพเจ้า พวกเขาสามารถแยกแผ่นดินหรือปิดน่านฟ้าได้สบาย ๆ คนผู้นี้สามารถนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของฐานขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่าสิบล้านคนได้เพื่อสยบทุกความวุ่นวาย
ทั้งนี้ก็เพราะเขาเปรียบเสมือนหัวหอกของมนุษยชาติ ผู้ซึ่งมีพลังต่อสู้สูงทะลุฟ้า
หากจ้าวยุทธ์เหล่านี้ทำหน้าที่ของตนเองได้ดี… เขตแดนกว่าแสนกิโลเมตรจะสงบสุขไร้ซึ่งปัญหา
แต่ถ้าพวกเขาคิดร้ายทำลายทุกสิ่งอย่าง แม้จะเป็นภูเขาหรือแม่น้ำ ก็ไม่อาจขวางกั้นพลังของเขาได้!
นี่เป็นเรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาในฐานจินหลิง ว่ากันว่าเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว หนึ่งในจ้าวยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ในฐานเกิดประสบปัญหาระหว่างการฝึกฝนของตัวเอง เขาถูกครอบงำจนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมช็อกโลกขึ้นมา
ภายในการอาละวาดของจ้าวยุทธ์ ทั่วทั้งฐานถูกจุดไหม้ด้วยทะเลเพลิง ตึกระฟ้ามากมายพังทลาย เช่นเดียวกับที่ภูเขาและลำธารมอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าฐาน
เหล่าปรมาจารย์ยุทธ์หรือแม้แต่นายพลเมืองจากสี่มุมเมืองในฐานจินหลิงเองก็ถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีง่าย ๆ ของจ้าวยุทธ์คนนี้ด้วย
ผู้คนธรรมดากว่าล้านคนต้องล้มตายและบาดเจ็บหนัก!
เพียงชั่วข้ามคืน
มีเพียงกองกำลังที่มีจ้าวยุทธ์อยู่ด้วยเท่านั้นที่สามารถเข้าไปต่อกรได้
ห้าจ้าวยุทธ์เข้าร่วมต่อสู้ด้วยกัน และภายหลังจากศึกนั้น พลังที่รุนแรงของพวกเขาก็ทำให้โลกทั้งใบแทบจะเปลี่ยนไป พื้นที่กว่าหมื่นกิโลเมตรรอบฐานถูกทำลายจนกลายเป็นพื้นดินที่เว้าแหว่ง
มันใช้เวลาร่วมสิบวันสิบคืนกว่าที่จ้าวยุทธ์ที่คลุ้มคลั่งจะถูกฆ่าตาย
และภายหลังจากการตายของจ้าวยุทธ์คนนั้น ฝนปริมาณมหาศาลก็หลั่งลงมาจากฟากฟ้า มันชำระล้างซากปรักหักพังของฐานรวมถึงล้างคราบเลือดของผู้บริสุทธิ์อีกนับล้านคนที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับโศกนาฏกรรมนี้
มีผู้คนเพียงครึ่งเดียวของฐานเท่านั้นที่มีชีวิตรอด
เพราะการต่อสู้นี้มีจ้าวยุทธ์เข้าปะทะพลังกันถึงหกคน แม้จะพยายามช่วยเหลือชาวเมือง แต่ด้วยพลังที่รุนแรงนั้นเองก็ทำให้มีผู้ไม่เกี่ยวข้องอีกมากโดนลูกหลง ประชากรสิบล้านคนเหลือเพียงห้าล้านคนเพียง มนุษย์หกคนนี้ทำให้โลกเต็มไปด้วยซากศพทับถมกันจนไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร
หลังจากนั้น
การฟื้นฟูฐานหลังจากหายนะได้จางหายไปใช้เวลายาวนาน แม้จะผ่านมาห้าสิบปีแล้วแต่สิ่งที่ฟื้นฟูมาได้ก็มีเพียงสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น ความหวาดกลัว ความเสียใจ และความสูญเสียยังคงสลักลึกอยู่ในใจของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์นี้มาด้วยตาตนเอง
จากเรื่องเล่าดังกล่าว มันแสดงให้เห็นว่าจ้าวยุทธ์นั้นน่ากลัวกันขนาดไหน
พวกเขาอยู่เหนือมนุษยชาติทุกคนไปแล้ว บางทีสิ่งเดียวที่พอจะนิยามให้พวกเขาได้ อาจจะเป็น ‘เทพเจ้าในคราบมนุษย์’ ก็ไม่เกินไปนัก
และตระกูลสวี่
มีหนึ่งในแปดจ้าวยุทธ์อยู่!
หลังจากที่ได้รู้เรื่องนี้
ฉู่โม่วตกตะลึงไม่น้อย แต่มันยังเป็นโชคดีของเขาที่ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่ามไปตั้งแต่แรก
ขืนทำไปละก็…
หากเขาเป็นฝ่ายชิงลงมือบุกตระกูลนี้ก่อน นอกจากเขาจะถอนรากถอนโคนตระกูลนี้ไม่ได้แล้ว เขาอาจจะเป็นฝ่ายโดนถอนรากถอนโคนตั้งแต่หน้าประตูบ้านเลยก็ได้
‘ตระกูลสวี่เป็นเพียงตระกูลเดียวจากสี่กองกำลังหลักของฐานจินหลิงที่มีคนแบบนั้นอยู่… แต่เป็นไปได้เหรอที่อีกสามกองกำลังหลักจะไม่มีจ้าวยุทธ์น่ะ? ไม่น่าเชื่อเท่าไร’
‘ไหนจะหอการค้าหยกแก้วที่สามารถกดดันตระกูลสวี่ได้ขนาดนี้อีก ทั้งที่มีจ้าวยุทธ์อยู่แล้ว แต่ตระกูลสวี่กลับตกเป็นฝ่ายโดนกดดัน แสดงว่าทางหอการค้าหยกแก้วเองก็น่าจะมีจ้าวยุทธ์อยู่ด้วย… ไม่ว่าจะแค่หนึ่งหรือมากกว่านั้น แต่ก็เพียงพอต่อการทำให้ตระกูลสวี่ไม่กล้าหือด้วย… น่ากลัวจริง ๆ!’
ฉู่โม่ววิเคราะห์ในใจ
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็คิดถึงตัวตนของหมัวซานซานขึ้นมา
เธอคนนี้มีสถานะภายในพันธมิตรพ่อค้าที่ค่อนข้างสันโดษ บางทีเธออาจจะเป็นลูกศิษย์หรือทายาทของจ้าวยุทธ์ก็ได้
‘หนทางยังอีกยาวไกล ยังมีสิ่งที่ต้องพยายามทำให้ได้อีกเยอะ!’
เขากำหมัดแน่นแล้วกระตุ้นแรงจูงใจให้ตนเอง
“จะว่าไป ระบบกลืนกินฉันกลับมาพร้อมใช้งานแล้วนี่นา ได้เวลาหาเป้าหมายใหม่มาเพิ่มพลังกันแล้ว!”
ฉู่โม่วบ่นพึมพำ
รอบนี้ เขาอยากจะเพิ่มพลังของธาตุลมที่มีอยู่ให้สูงขึ้น
ในตอนนี้มันเป็นเพียงธาตุลมระดับ 3 เท่านั้น และมันเริ่มจะไม่เพียงพอสำหรับเขาในตอนนี้แล้ว ดังนั้นเขาต้องอุดรอยรั่วนี้ด้วยการเพิ่มพลังให้มัน
รีบทำมันก่อนตอนที่ยังมีโอกาส
ตระหนักเช่นนั้น ฉู่โม่วก็เลิกอ้อยอิ่ง เขาไปพูดกับเฉินซีเวยนิดหน่อยก่อนจะออกจากฐานไป
…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉู่โม่วขี่เสี่ยวจินไปยังพื้นที่ป่าที่ไกลออกจากฐานไปหมื่นกิโลเมตร
ที่นี่มีหุบเขา
ภายในหุบเขานี้มีวัชพืชสูงมากมายเติบโตขึ้นภายใน ความสูงของมันสูงกว่าตัวคนเสียอีก
เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด จับจ้องไปยังอินทรีย์ยักษ์สีดำสนิทที่ยืนอยู่บนก้อนหินไม่ไกลจากตนนัก ขนบนตัวดำขลับตั้งแต่หัวจรดเท้าดูน่าเกรงขามแม้ไม่ต้องขยับเขยื้อน
ชื่อของมันคือ อินทรีย์แทรกนภา มันมีความสูงเกือบเมตร และยามที่ปีกสองข้างสยายออก มันสามารถกว้างได้มากกว่ายี่สิบเมตรเสียอีก
ที่สำคัญมันเป็นสัตว์อสูรระดับ 5 ชั้นสูงด้วย!
น่าตกใจไม่น้อยที่พอมาถึงที่นี่ ฉู่โม่วได้พบกับมันโดยบังเอิญ!
“โชคดีจริง ๆ งั้นก็ให้เจ้านี่เป็นเป้าหมายก็แล้วกัน!”
ดังที่เขาพูด ฉู่โม่วร่ายพลังของธาตุมืด ซ่อนตัวเองลงไปในเงาและขยับเข้าไปใกล้ตัวอินทรีย์ยักษ์ตนนี้ให้มากขึ้น
ไม่นานนัก
เขากับสัตว์อสูรตนนี้ก็อยู่ห่างกันเพียงยี่สิบเมตรแล้ว
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ถึงการมาและทำความสะอาดขนตนเองต่อไป มันไม่ได้รู้เลยว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เช่นนี้
สิ่งนี้ทำให้ฉู่โม่วอดถอนหายใจไม่ได้ พลังของธาตุความมืดนี่มันช่างน่ากลัวจริง ๆ
พลังที่เหมาะกับเขาในการเข้าไปลอบสังหารใครหรืออะไรก็ตามที่เป็นเป้าหมาย จากนั้นก็ขโมยพลังหรือสิ่งของของคนคนนั้นมา หรือแม้จะใช้หนีก็ไม่มีปัญหาอะไร!
สารพัดประโยชน์สุด ๆ!
ทันทีที่เข้ามาในระยะที่เหมาะสมในการโจมตี ฉู่โม่วก็เพ่งจิตสังหารใส่เป้าหมายให้มั่น จากนั้นชักกระบี่ออกมาพร้อมกับเสียง ‘ชิ้ง’
หลังจากฝึกฝนมาหนึ่งเดือน ฉู่โม่วได้พลังเพิ่มมาอีก 30 ช้างสารแล้ว!
ด้วยพลัง 142 ช้างสาร พลังทำลายจากการโจมตีของเขาจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า รวมไปถึงพลังลมปราณที่ถูกกระตุ้น และพลังของอสนีบาตคงกระพันด้วย
นี่ยังไม่รวม…
ทวาราแห่งกระบี่ทั่วทั้งร่างของฉู่โม่วที่สามารถเร่งพลังออกมาได้อีกขั้น
พลังของกระบี่ของเขามันสามารถทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้แทบจะในทันที!
แกรก!
บรรยากาศโดยรอบเริ่มแตกออก ก่อให้เกิดเสียงประหลาดขึ้นในอากาศ
อินทรีย์แทรกนภาตัวยักษ์นี้เริ่มตระหนักได้ถึงอันตรายที่เข้าใกล้ได้แล้ว ดังนั้นมันจึงเตรียมโผบินออกไปด้วยปีกที่ใหญ่โต
ทว่าตอนนี้ฉู่โม่วอยู่ใกล้มันเสียจนมันหมดโอกาสหนีอีกต่อไป… กระบี่ของเขาเร็วกว่าปีกของมันหลายเท่านัก!
กว่าอินทรีย์ยักษ์จะรู้สึกตัว คมกระบี่ก็เข้าประชิดตัวมันเล้ว!
ฉัวะ!
คมกระบี่เชือดเฉือนปีกข้างหนึ่งของอินทรีย์ยักษ์ออก ทำให้ร่างใหญ่นั้นล้มลงพร้อมกับโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
เพียงกระบี่เดียว
ไม่มีการอ่อนข้อ
ฉู่โม่วใช้พลังแห่งห้วงมิติพาตนเองไปดักหน้าร่างของอินทรีย์แทรกนภาเอาไว้ และก่อนที่อีกฝ่ายจะได้เห็นผู้จะมาคร่าชีวิตมันไป คมกระบี่ก็โจมตีใส่มันเข้ามาอีกครั้งแล้ว
ปลายกระบี่ฟาดฟันลงไป
มันสร้างรอยแผลลึกบนลำคอของอินทรีตนนี้
จนคอเกือบจะหลุดออกจากตัว!
ตึง!
สัตว์อสูรผู้โชคร้ายพยายามดิ้นทุรนทุรายด้วยปีกและร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือด มันก่อให้เกิดเสียงกระทบดังยามที่ร่างของมันกระทบพื้นไปมา
พลังชีวิตที่หลั่งไหลออกมาเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถหยุดได้ ในไม่ช้ามันก็ไม่อาจต้านทานไหวและตายลงเบื้องล่างกระบี่ของฉู่โม่วในที่สุด
และนี่…
คือการทดสอบพลังของธาตุมืดกับสถานการณ์จริง!
เพียงแค่ซ่อนตัวในความมืดและหาโอกาสที่เหมาะสม ก็ไม่มีใครสามารถหลบหนีเขาไปได้อีก!
“กลืนกิน!”
หลังจากพักเหนื่อยไปครู่หนึ่ง ฉู่โม่วก็เริ่มใช้งานระบบกลืนกินกับซากของอินทรีย์ที่อาบเลือด
[กลืนกินเสร็จสิ้น!]
[ได้รับธาตุลมระดับ 4!]
[ต้องการหลอมรวมหรือไม่?]
“หลอมรวม!”
ปราศจากความลังเล ฉู่โม่วหลอมรวมสิ่งนี้ในทันที
การหลอมรวมเริ่มต้นขึ้น ความเจ็บปวดหลั่งออกมาจากทุกอณูของร่างกาย แต่ในวันนี้ ฉู่โม่วสามารถแบกรับความเจ็บปวดนี้ได้อย่างง่ายดาย
เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดก็จริง แต่มันก็เพียงแค่ทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดเหล่านี้ก็หายไป
ตรวจดูข้อมูลของตนเอง
[เป้าหมาย : ฉู่โม่ว]
[ระดับร่างกาย : อสนีบาตคงกระพัน]
[พรสวรรค์ : ธาตุไฟระดับ 5, ธาตุลมระดับ 4, วิชากระบี่ระดับสูง, ธาตุไม้ระดับ 4, ธาตุน้ำระดับ 4, ธาตุความมืดระดับ 4, ธาตุเหล็กระดับ 3, ธาตุดินระดับ 3, พลังแห่งห้วงมิติระดับ 3]
“ไหนลองพลังของธาตุลมระดับ 4 หน่อยซิ!”
ฉู่โม่วกระตุ้นพลังธาตุลม ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็มีสภาพเหมือนเป็นเพียงภาพติดตาทุก ๆ ครั้งที่เคลื่อนไหวไปมา
“ร… เร็วชะมัด!”
แม้แต่เจ้าของพลังอย่างฉู่โม่วยังตกใจ
หลังจากที่ตกใจกับพลังใหม่ของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็มั่นใจแล้วว่าความเร็วในตอนนี้เพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่าเลยทีเดียว!
“ด้วยความเร็วขนาดนี้… บางทีนายพลเมืองระดับสูงก็น่าจะจับตัวฉันได้ยากแน่ ๆ!”
ฉู่โม่วรู้สึกดีใจมาก ๆ
แต่เดิมแล้ว ความแข็งแกร่งของฉู่โม่วนั้นด้อยกว่าเหล่านายพลเมืองระดับสูงอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
และด้วยการชดเชยของความเร็ว เขาเชื่อว่าต่อให้ศัตรูเป็นนายพลเมืองระดับสูง เขาก็ยังพอสู้ได้อยู่
‘ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว… ตอนนี้กลับไปฝึกฝนต่อน่าจะไม่มีปัญหาอะไร!’
คิดได้ดังนั้น
เขาก็เดินทางกลับไปยังฐานด้วยใบหน้าที่สบายใจสุด ๆ
MANGA DISCUSSION