ตอนที่ 288 พี่สะใภ้โหวเดือดเนื้อร้อนใจ
พี่สะใภ้โหวคุ้นเคยกับการอยู่เหนือผู้อื่นแทบตลอดชีวิต แต่ไม่คาดคิดว่าทุกสิ่งจะพังทลายเพราะหลานคนนี้ หล่อนจึงตอบโต้โดยไม่ยอมลดราวาศอก “ทำไมฉันจะพูดแบบนั้นไม่ได้? เธอคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน หากเธอไม่ล่อลวงโหวเจิ้นด้วยวิธีไร้ยางอาย แล้วโหวเจิ้นจะยอมแต่งงานกับเธอเหรอ?”
หลังจากที่จางเหวินได้แต่งงานกับโหวเจิ้นแล้ว หล่อนก็พบว่าชีวิตไม่ได้ดีเท่าที่คิดไว้เลย เพราะนอกจากลูกจะป่วยแล้ว แม่สามีก็นิสัยแย่สุดๆ ทำให้หล่อนมีภาวะซึมเศร้า
“มาพูดว่าฉันล่อลวงเขาได้ไง นั่นก็เพราะลูกชายของคุณไร้ยางอาย ทำตัวเหมือนพวกอันธพาลกับฉัน และยังยกพ่อมาขู่ฉันด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะชอบเขาลงเหรอ?”
พี่สะใภ้โหวพูดเหยียดหยาม “ถ้าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์ที่รักศักดิ์ศรีจริงๆ เธอจะยอมนอนกับโหวเจิ้นได้เหรอ ฉันคิดว่าเธอทั้งอยากเป็นนางตัวแสบทั้งอยากสร้างซุ้มอนุสาวรีย์*มากกว่า”
(*ทั้งอยากเป็นนางตัวแสบทั้งอยากสร้างซุ้มอนุสาวรีย์ หมายถึง อยากทำทั้งดีทั้งชั่วในคราวเดียว)
จางเหวินไม่คิดว่าแม่สามีจะพูดจารุนแรงขนาดนี้ หล่อนหน้าแดงก่ำและเถียงว่า “คุณไม่เชื่องั้นเหรอ? ฉันจะไปแจ้งความ ข้อหาที่เขามีพฤติกรรมอันธพาลเดี๋ยวนี้แหละ”
พี่สะใภ้โหวมองเธอแล้วพูดด้วยความเย่อหยิ่ง “เธอไปเลย ไปลองดูได้เลย ถึงเวลานั้นจะได้ตัดสินให้เธอสองคนหย่ากัน แล้วเธอจะได้พาเด็กปัญญาอ่อนคนนี้ไสหัวไปให้พ้น”
“นับตั้งแต่ที่เธอแต่งเข้าตระกูลพวกฉัน เรื่องราวต่างๆ สำหรับเราก็ไม่ค่อยราบรื่น ฉันเลยคิดว่ามันเป็นความผิดของเธอทั้งหมด ร่างกายของเธอต้องผิดปกติอะไรสักอย่าง ถึงได้คลอดลูกโง่ๆ แบบนี้ออกมาไง”
ตอนนี้จางเหวินเริ่มเดาได้รางๆ ว่ามันเกี่ยวข้องกับการฉีดยาระหว่างตั้งครรภ์ แต่หล่อนไม่สามารถพูดได้เต็มปาก จึงแสร้งทำเป็นเข้มแข็งและเถียงต่อ “ถุย ทำไมคุณไม่บอกว่าเป็นลูกชายของตัวเองที่มีปัญหาล่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสี่ยวฟางก็วิ่งเข้ามาจากหน้าทางเข้า เขามองทั้งสองด้วยความกังวลและพูดว่า “ป้าสะใภ้ น้องสะใภ้ แย่แล้วๆ ตำรวจไปจับโหวเจิ้นแล้ว”
“ว่าไงนะ? นายพูดว่าไงนะ?” พี่สะใภ้โหวลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วจ้องหน้าเขาขณะที่ถาม
เสี่ยวฟางตอบว่า “ตำรวจจากในเมืองกลุ่มหนึ่งมาที่หน้าทางเข้า และแจ้งว่านักบัญชีสวี่เข้าเมืองไปแจ้งความ โดยแจ้งข้อหาว่าโหวเจิ้นของบ้านคุณพยายามฆ่า”
พี่สะใภ้โหวพูดว่า “หล่อนพูดบ้าอะไรเนี่ย ก็เห็นๆ อยู่ว่าพวกเขาแค่ทะเลาะกัน”
เสี่ยวฟางเหลือบมองหล่อนด้วยความอึดอัดใจแล้วตอบว่า “ด้วยช่วงวัยที่แตกต่างกันมากระหว่างโหวเจิ้นกับลูกๆ ของครอบครัวหัวหน้าหลิน จึงไม่มีโอกาสที่จะมีเรื่องทะเลาะกันได้เลย อีกทั้งตำรวจยังมีพยานหลักฐานที่แน่ชัด ครั้งนี้พวกเขามาเพื่อจับกุมเลยล่ะ”
พี่สะใภ้โหวเถียงว่า “โหวเจิ้นของฉันยังไม่ได้สติ แล้วพวกเขาจะจับเขาได้ไง?”
เสี่ยวฟางพูดว่า “โหวเจิ้นฟื้นแล้ว ตอนนี้ตำรวจก็ล้อมห้องพักฟื้นไว้แล้วด้วย ทันทีที่เขาหายดี เขาจะถูกตำรวจพาตัวออกไป”
พี่สะใภ้โหวได้ยินคำพูดทั้งหมดนี้ก็ตกตะลึง ท่าทางดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องราวมันพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
ในทางกลับกัน จางเหวินไม่เพียงแต่ไม่เศร้า หล่อนยังมีท่าทางยินดีอีกด้วย “แม่ ลูกชายของคุณช่างดีเหลือเกินนะ ทำตัวไม่เหมือนมนุษย์มนาเลยสักนิด”
ดวงตาของพี่สะใภ้โหวเบิกกว้าง หล่อนกัดฟันกรอดและมองไปที่จางเหวินพลางก่นด่า “เธอมันเป็นดาวหายนะ มันเป็นความผิดของเธอทั้งหมด”
“มีเรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นกับสามีแท้ๆ แต่เธอกลับไม่สนใจเลย มิหนำซ้ำยังยินดีปรีดาอีก ทำไมเราถึงแต่งนังตัวซวยแบบเธอเข้าบ้านนะ”
จางเหวินหัวเราะเยาะ “แม่ แทนที่จะมาบ่นฉันอยู่แบบนี้ แม่ควรหาทางไปช่วยลูกชายตัวเองดีกว่านะ ถ้าเขาถูกตำรวจจับไปจริงๆ ก็จะเป็นคุณกับพ่อที่ต้องอับอายนะคะ”
พี่สะใภ้โหวพลันตระหนักได้ถึงเรื่องด่วน และก่นด่าจางเหวินด้วยความโกรธ “เธอรอฉันก่อนเถอะ แล้วฉันจะกลับมาจัดการกับเธอ”
พูดจบแล้วหล่อนก็รีบออกไปที่ประตูทางเข้าลานบ้านพัก
จางเหวินมองตามแผ่นหลังของพี่สะใภ้โหวที่เดินจากไป นัยน์ตาของหล่อนฉายแววประชดประชัน จากนั้นก็อุ้มลูกแล้วเดินไปยังศูนย์ยุวปัญญาชน
พี่สะใภ้โหวรีบไปที่โรงพยาบาล และได้เห็นว่าโหวเจิ้นถูกตำรวจล้อมไว้แล้ว ซึ่งหลังจากโวยวายอยู่ข้างนอกได้พักหนึ่งก็ไม่มีโอกาสเข้าไปหาเขาได้เลย หล่อนจึงทำได้เพียงไปตามหารองผู้บัญชาการโหวที่กองทหารเท่านั้น
ตอนที่พี่สะใภ้โหวมาถึง รองผู้บัญชาการโหวเพิ่งกลับจากการประชุม พอเขาเห็นพี่สะใภ้โหว เขาก็ถามแบบไม่พอใจว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
พี่สะใภ้โหวเห็นรองผู้บัญชาการโหวก็ราวกับได้เห็นผู้ช่วยชีวิต “เหล่าโหว รีบไปช่วยลูกเร็วๆ เถอะ ตอนนี้ลูกชายของเราจะถูกจับแล้ว”
รองผู้บัญชาการโหวตกตะลึง “ว่าไงนะ? มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน?”
พี่สะใภ้โหวตอบว่า “เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ และต้องเป็นฝีมือของนางสารเลวสวี่ม่ายซุ่ยนั่นแหละ”
รองผู้บัญชาการโหวขมวดคิ้วและจ้องหน้าพี่สะใภ้โหวพลางถามว่า “ผมบอกให้คุณไปขอโทษหล่อนแล้ว คุณไม่ได้ไปเหรอ?”
ดวงตาของพี่สะใภ้โหววาวโรจน์ “ใครบอกว่าฉันไม่ได้ไป ฉันไปแล้วต่างหาก”
รองผู้บัญชาการโหวจับพิรุธของหล่อนได้ทันที จึงพูดว่า “ถ้าคุณไปขอโทษแล้วหล่อนจะแจ้งความได้ไง สรุปว่าคุณไปขอโทษหรือไปสร้างปัญหากันแน่”
พี่สะใภ้โหวพูดด้วยท่าทางกลัวความผิด “โหวเจิ้นถูกพวกเขารุมทุบตีขนาดนั้น ฉันจะมีความสุขได้ไง ยิ่งขอโทษหล่อนก็ยิ่งทำไม่ได้”
รองผู้บัญชาการโหวยกมือตบโต๊ะและตวาดลั่น “คุณเลอะเลือนไปแล้วเหรอ?”
“โหวเจิ้นอายุมากกว่าลูกๆ ของครอบครัวหลินเจี้ยนเยี่ยมากขนาดไหน? คุณคิดว่าเมื่อพวกเขาทะเลาะกัน แค่โดนตำหนิแล้วจะจบงั้นเหรอ?”
“นอกจากนี้สวี่ม่ายซุ่ยยังไปเห็นเหตุการณ์ที่พวกโหวเจิ้นกำลังล้อมวงทุบตีเด็กๆ พวกนั้นอยู่พอดี แล้วทำไมคุณยังคิดว่าลูกชายตัวเองเป็นฝ่ายถูกอีก?”
พี่สะใภ้โหวตอบอย่างไม่ยอมแพ้ “แต่โหวเจิ้นของเราก็ถูกเอาเปรียบไม่แพ้กัน! เขาโดนทุบตีหนักขนาดนั้นเลยนะ”
“คุณพูดกับหลินเจี้ยนเยี่ยไม่ได้เลยเหรอ เขาเป็นแค่หัวหน้ากลุ่มตัวเล็กๆ จะไม่กล้าฟังคุณได้ไง”
รองผู้บัญชาการโหวยกมือขึ้นขยี้ทึ้งผมด้วยความหงุดหงิด “คุณคิดว่าหลินเจี้ยนเยี่ยเป็นคนธรรมดาหรือไง?”
“ถ้าผมไม่นำหน้าเขาไปหนึ่งก้าวแบบนี้ คุณคิดว่าผมจะนั่งในตำแหน่งนี้ได้มั่นคงเหรอ”
พี่สะใภ้โหวตอบเสียงเกรี้ยวกราด “จะไม่ใช่คนธรรมดาได้ไง เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณแท้ๆ”
“คุณหาเรื่องเขาไม่รู้จะกี่หนแล้ว เขายังไม่กล้าต่อต้านคุณเลยสักครั้ง”
รองผู้บัญชาการโหวพูดว่า “คุณคิดว่าผมไม่ทำเหรอ แต่ติดที่ว่าเขาเป็นคนดื้อรั้นมากนี่แหละ”
พี่สะใภ้โหว “แล้วจะทำไงดีล่ะ แค่ยืนมองโหวเจิ้นถูกจับตัวไปงั้นเหรอ เหล่าโหวคุณต้องหาทางนะ เพราะพวกเจ้าใหญ่อยู่ไกลมาก เหลือเขาคนเดียวที่อยู่ข้างกายเรา และฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
รองผู้บัญชาการโหวรู้สึกรำคาญพี่สะใภ้โหวมาก เขาเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “ถ้างั้นคุณก็ไปซื้อของเยี่ยมไข้และเดินทางเข้าเมืองไปเยี่ยมเด็กๆ พวกนั้นที่โรงพยาบาล เผื่อจะทำให้สวี่ม่ายซุ่ยเย็นลงบ้าง”
“ส่วนทางหลินเจี้ยนเยี่ย ผมจะลองสร้างไมตรีผ่านจ้าวเป่ากั๋วแล้วกัน”
พี่สะใภ้โหวพูดว่า “จะได้ผลจริงเหรอ?”
รองผู้บัญชาการโหว “อย่าเพิ่งนึกถึงผลลัพธ์สิ ต้องลองดูก่อน”
“ผมจะโทรหาเหล่าผาง เพื่อดูว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ และขอให้เขาช่วยเหลือ”
พี่สะใภ้โหวได้ยินแบบนี้ก็รีบถามทันทีว่า “ขอให้เหล่าผางจัดการเรื่องนี้โดยตรงเองไม่ได้เหรอ?”
รองผู้บัญชาการโหว “คุณคิดว่าด้วยระดับเล็กๆ แบบผมจะพูดไหวเหรอ”
“ส่วนคุณก็ไปจัดการฝั่งสวี่ม่ายซุ่ย แค่ทำตามที่หล่อนพูด ห้ามไปเถียงหล่อนอีกล่ะ”
พี่สะใภ้โหวไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ต่อสวี่ม่ายซุ่ยเลย หล่อนจึงตอบโดยสัญชาตญาณว่า “แล้วถ้าหล่อนเรียกร้องเงินล่ะ?”
รองผู้บัญชาการโหวตอบว่า “ก็จ่ายไปสิ”
พี่สะใภ้โหวพูดว่า “ถ้าหล่อนต้องการหนึ่งพันล่ะ?”
รองผู้บัญชาการโหวขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ดีกว่าให้ลูกชายของคุณติดคุกแล้วกัน”
พี่สะใภ้โหวตอบรับ “ตกลง ฉันเข้าใจแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันจะพาภรรยาของโหวเจิ้นไปด้วย”
รองผู้บัญชาการโหวไม่ชอบพูดคุยเรื่องจุกจิกแบบนี้กับพี่สะใภ้โหว เขาจึงพูดตัดรำคาญว่า “ก็แล้วแต่คุณเลย หมดธุระแล้วก็รีบกลับไปซะ”
เดิมทีพี่สะใภ้โหวมาขอความช่วยเหลือ แต่กลายเป็นว่าหล่อนต้องกลับไปพร้อมความโกรธ
เมื่อกลับถึงบ้านแล้วไม่พบจางเหวิน หล่อนก็ยิ่งโมโห ทว่าหล่อนก็ทำได้แค่เก็บข้าวของจำเป็นแล้วเดินทางเข้าเมือง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะช่วยทันไหมน้า คดีหนักขนาดนั้น แถมม่ายซุ่ยแจ้งความเรียบร้อยแล้วด้วย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION