ตอนที่ 284 รู้สึกตัว
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วก็ตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่ได้หรอก เพราะรองผู้บัญชาการโหวจะโกรธจนตอบโต้เองแน่นอน และผมกลัวว่าเขาจะหาเรื่องรังแกคุณ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เขาแตะต้องฉันไม่ได้หรอก”
“ตรงกันข้ามกับคุณ เพราะพวกคุณอยู่ในสายงานเดียวกัน และง่ายที่เขาจะบงการคุณ”
แต่หลินเจี้ยนเยี่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ง่ายแบบที่คุณคิดแน่ๆ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเถียงกันอยู่นั้น ในที่สุดหลินเซียวก็ถูกเข็นออกมา เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้เห็นหลินเซียว แข้งขาของเธอก็อ่อนแรง แต่โชคดีที่หลินเจี้ยนเยี่ยช่วยพยุงให้เธอเดินไปหาเขาได้
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่ลูกชายซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงและถามด้วยความกังวลว่า “คุณหมอ ลูกชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
หมอตอบว่า “มีกระดูกหักหลายจุด แต่โชคดีที่ไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัส”
สวี่ม่ายซุ่ยถามต่อ “แล้วเขาจะได้สติตอนไหนคะ?”
หมอตอบว่า “ถ้ายาหมดฤทธิ์แล้วก็จะตื่นเอง”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ขอบคุณพวกคุณมากครับ”
หมอพูดว่า “ช่วงนี้ก็ระวังแผลให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวมากนัก”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบสั้นๆ “ครับ”
เมื่อหลินเซียวถูกผลักไปที่แผนกผู้ป่วยใน หลินเจี้ยนเยี่ยก็บอกให้สวี่ม่ายซุ่ยเฝ้าอยู่ที่นั่น ส่วนเขาก็ไปดูที่ฝั่งสวี่อวิ้นจื้อ ซึ่งไม่นานนักสวี่อวิ้นจื้อก็ถูกเข็นออกมาเช่นกัน
หลินฟานก้มมองตัวเอง จากนั้นก็มองไปที่พี่ชายทั้งสอง และถามสวี่ม่ายซุ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ครับ ผมขอนอนข้างๆ พี่ชายได้ไหมครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ลูกเป็นอะไรไป รู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอ?”
หลินฟานตอบว่า “ผมคิดว่าถ้านอนลงแบบนั้นจะดีกว่าครับ”
ทันใดนั้นหัวใจที่ไร้ชีวิตชีวาของสวี่ม่ายซุ่ยก็สั่นคลอนเพราะคำพูดของเขา และเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่นานทีเดียว
แม้ว่าอาการของหลินฟานจะดูน่ากลัว แต่ทั้งหมดล้วนเป็นรอยฟกช้ำและอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ทางโรงพยาบาลจึงไม่ได้ให้เขานอนค้าง
ส่วนพวกหลินเซียวที่คนหนึ่งกระดูกหักอีกคนตับแตก จัดว่าอาการหนักมากๆ ก็ถูกส่งมาพักฟื้นที่หอผู้ป่วยในต่อทันที
เมื่อเห็นว่าหลินฟานกำลังมองเธอด้วยสายตาน่าเวทนา หัวใจของสวี่ม่ายซุ่ยก็อ่อนยวบทันที “เอาล่ะ แม่จะไปถามให้นะ”
พูดจบแล้วเธอก็เดินออกไป และบังเอิญเจอพยาบาลสาวคนหนึ่งมาตรวจที่วอร์ดพอดี
“สวัสดีค่ะ เตียงนี้มีผู้ป่วยนอนอยู่ไหม? คุณช่วยจัดการให้ลูกชายของฉันได้ไหมคะ?”
พยาบาลสาวก็มองเธอด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “เตียงนี้ก็เป็นของพวกคุณอยู่แล้วนะคะ”
เมื่อเห็นว่าสวี่ม่ายซุ่ยยังดูงุนงง หล่อนจึงรีบอธิบายว่า “สามีของคุณขอเตียงนี้ไว้ โดยบอกว่าเพื่อให้พวกคุณได้พักผ่อนน่ะ”
ตอนนี้เองสวี่ม่ายซุ่ยจึงได้เข้าใจว่า หลินเจี้ยนเยี่ยมาถึงโรงพยาบาลก็ได้จัดการเรื่องเตียงเอาไว้แล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อเดินกลับมาที่วอร์ดแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็อุ้มหลินฟานให้นานที่เตียงข้างๆ จากนั้นก็นั่งรอให้หลินเจี้ยนเยี่ยกลับมาหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมหมอเฉพาะทางแล้ว เมื่อเขาเห็นเด็กทั้งสามคนของบ้านนอนเรียงกันแบบนั้น เขาก็รู้สึกอึดอัดใจมาก
พวกผู้ใหญ่ทั้งสามเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน จากนั้นพวกเด็กๆ ก็เริ่มตื่นขึ้นมา โดยหลินเซียวตื่นก่อนคนแรกแล้วร้องไห้หาแม่ทันที สวี่ม่ายซุ่ยจึงรีบวิ่งไปข้างเตียงและจับมือของหลินเซียวเอาไว้
“แม่อยู่นี่ แม่อยู่ที่นี่แล้วจ้ะ”
ทันทีที่หลินเซียวเห็นสวี่ม่ายซุ่ยแล้ว เขาก็เริ่มงอแงขึ้นมา “แม่ครับ ผมปวดขา”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เดี๋ยวแม่นวดให้นะ”
หลินเซียวพูดต่อ “แม่ครับ แขนของผมก็เจ็บเหมือนกัน”
สวี่ม่ายซุ่ยคว้าแขนของเขามาดูทันทีแล้วถามว่า “เจ็บตรงนี้เหรอ?”
หลินเซียวมองท่าทางเอาอกเอาใจของแม่แล้วในที่สุดก็หัวเราะออกมา “แม่ครับ ผมว่าแม่ควรดุด่าผมดีกว่า! แบบนี้ผมไม่ชินเลย”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เด็กคนนี้นี่ ทำไมแม่จะต้องด่าลูกด้วยล่ะ”
หลินเซียวพูดว่า “แม่ไม่โกรธที่ผมมีเรื่องชกต่อยเหรอครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ไม่สำคัญว่าทำไมลูกจะต้องต่อสู้หรอก แต่ถ้ามีคนรังแกลูก แน่นอนว่าลูกต้องเอาคืน ถ้าลูกยังยืนอยู่เฉยๆ ก็อาจโดนทุบตี”
“แต่ถ้าจะสู้กลับ ลูกต้องดูว่าอีกฝ่ายเป็นแบบไหน หากพวกเขาแข็งแรงกว่า ยิ่งใหญ่กว่าและมีคนมากกว่าลูกด้วย ดังนั้นลูกไม่ควรเผชิญหน้ากับพวกเขาแบบซึ่งหน้า”
“ลูกควรหนีไปก่อน เพื่อที่จะหาผู้ใหญ่มาช่วยเหลือ และแน่นอนว่ามีคนคอยสนับสนุนลูกอยู่แล้ว”
หลินเซียวพูดว่า “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากหนีนะครับ แต่เขามาหาเรื่องโดยที่พวกผมไม่รู้ตัว และเราทุกคนถูกล้อมเอาไว้ ไม่มีทางที่จะหลบหนีได้เลยครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “แล้วลูกเคยทำให้เขาขุ่นเคืองใจมาก่อนไหม?”
หลินเซียวตอบด้วยความหนักแน่น “ไม่เคยครับ เราไม่มีโอกาสเล่นด้วยกันด้วยซ้ำ ผมจะทำให้เขาขุ่นเคืองได้ไง”
“แต่ตอนที่เขาทุบตีผม เหมือนเขาจะพูดว่าครอบครัวของเราไปขวางทางพ่อเขา และทำให้เขาหนีจากภรรยาไม่รอดด้วยครับ”
“เขาบอกว่าบ้านเราไม่ช่วยเหลือตอนงานแต่งของเขา ไม่ให้เขายืมโต๊ะเก้าอี้ และไม่ให้เกียรติพ่อของเขาครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วเย็นเยือกไปทั้งกาย เพราะจากคำพูดของโหวเจิ้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะบอกว่ารองผู้บัญชาการโหวหมดความอดทนกับครอบครัวของพวกเธอถึงขีดสุดแล้ว
“แม่ครับ มีเรื่องแบบนี้จริงเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพยักหน้าและตอบว่า “จริงสิ ที่ไม่ให้พวกเขายืมโต๊ะเพราะกลัวจะไม่ได้คืนง่ายๆ นั่นแหละ”
“ส่วนที่ว่าไม่ช่วยเขา ก็เพราะว่าอาเล็กของลูกออกไปทำงานนอกสถานที่”
หลินเซียวพูดว่า “ผมก็รู้มาตลอดว่าเขาเป็นคนไม่ดีนะครับ แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดนี้”
“แล้วแม่รู้ไหมครับว่าโหวเจิ้นเป็นยังไงบ้าง?”
สวี่ม่ายซุ่ยส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่รู้หรอก เพราะแม่มัวแต่เป็นห่วงลูกอยู่ แล้วจะไปใส่ใจเขาทำไมล่ะ ถ้าเขาตายไปก็คงจะดีกว่าด้วยซ้ำ”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเซียวได้เห็นความเกลียดชังที่ปะทุออกจากตัวของแม่ เพราะในอดีต แม้ว่าใครจะมีปัญหากับแม่ อย่างมากแม่ก็แค่โกรธ แต่จะไม่สาปแช่งผู้คนให้ตายด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดแบบนี้
“แม่ครับ” หลินเซียวตะโกนเตือนสติเธอด้วยสีหน้ากังวล
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินความกังวลของเขา จึงยกมือลูบศีรษะของเขาพลางเอ่ย “แม่ไม่เป็นไรหรอก ลูกเพิ่งตื่น งั้นก็นอนต่ออีกหน่อยเถอะนะ”
หลินเซียวได้ยินแล้วก็พยักหน้าเชื่อฟัง แล้วผล็อยหลับไปอีกครั้ง
สวี่ม่ายซุ่ยนั่งเฝ้าอยู่แบบนี้จนถึงรุ่งเช้า และสวี่อวิ้นจื้อก็ตื่นขึ้นมาเป็นคนแรกของวัน
แวบแรกที่เขาเห็นสวี่ม่ายซุ่ย เขาก็ถามด้วยความงุนงงว่า “อาสะใภ้ ผมอยู่ที่ไหนครับ?”
“อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ”
“เด็กคนนี้นี่ ไม่ยอมพูดเรื่องที่เจ็บท้องเลยนะ แล้วตอนนี้ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกไหม?”
สวี่อวิ้นจื้อเห็นน้ำตาที่เป็นกังวลของสวี่ม่ายซุ่ยกำลังจะไหลออกมา เขาจึงรีบฝืนยิ้มแล้วพูดว่าปลอบใจเธอว่า “ไม่เจ็บแล้วครับ”
“อาสะใภ้อย่าร้องไห้เลยนะครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “อืม ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็แค่บอกให้อาสะใภ้รู้ เข้าใจไหม? อย่ามัวแต่อมพะนำเด็ดขาด”
สวี่อวิ้นจื้อก็ตอบว่า “ครับ”
หลังจากพูดคุยกับสวี่ม่ายซุ่ยได้สักพัก สวี่อวิ้นจื้อก็ผล็อยหลับไปอีกรอบ สวี่ม่ายซุ่ยเห็นแล้วไม่กล้ารบกวนเขาอีก จึงได้แต่ปล่อยให้เขานอนพักผ่อน
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเจี้ยนเยี่ยก็เดินเข้ามาถามสวี่ม่ายซุ่ยว่า “คุณอยากกินอะไร ผมจะไปซื้อมาให้”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “คุณอยากซื้ออะไรก็ซื้อมาเลย”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบรับ “ได้”
นั่งรอได้อีกไม่นาน หลินเจี้ยนเยี่ยก็เดินกลับมาพร้อมกล่องเก็บความร้อนสองใบ “นี่เป็นน้ำแกงสำหรับพวกเขา อีกใบหนึ่งเป็นซาลาเปานึ่ง คุณกินได้ตามสบายเลยนะ”
สวี่ม่ายซุ่ยยืนขึ้นและพูดว่า “ดีเลย”
ขณะที่กินข้าวกันอยู่ หลินเจี้ยนเยี่ยก็บอกเธอว่า “อีกเดี๋ยวผมจะกลับไปลางาน คุณกับเจี้ยนจวินอยู่ดูที่นี่ไหวไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยกัดซาลาเปาแล้วตอบโดยไม่แสดงอารมณ์ “ฉันจะไปกับคุณด้วยค่ะ”
เพราะด้วยนิสัยของรองผู้บัญชาการโหวและภรรยาของเขา วันนี้จะต้องมาเอาเรื่องแน่ๆ
หลินเจี้ยนเยี่ยถามว่า “ถ้าคุณไปแล้วพวกเด็กๆ จะทำยังไง?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ที่นี่มีทั้งหมอและพยาบาล ยังมีเจี้ยนจวินอยู่ด้วย ดังนั้นไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยเห็นว่าสวี่ม่ายซุ่ยกำลังระงับความโกรธเอาไว้ เขาจึงไม่กล้าปล่อยให้เธอเก็บกดอยู่แบบนี้ จึงทำได้เพียงพูดกับหลินเจี้ยนจวินว่า “ถ้าต้องการอะไร ก็โทรกลับไปบอกนะ”
หลินเจี้ยนจวินตอบรับ “ครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยนิ่งเงียบตลอดทางกลับบ้าน และเมื่อกลับถึงบ้าน เธอก็พบว่ามีคนจำนวนมากมารวมตัวกันที่หน้าบ้านของตน และแกนนำก็คือภรรยาของรองผู้บัญชาการโหวนั่นเอง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขอให้อาการดีวันดีคืนนะเด็ก ๆ ส่วนพวกครอบครัวคนชั่วน่ะแม่จะไปจัดการเอง
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION