ตอนที่ 268 ฝังศพ
ที่จริงแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยมีความรู้สึกซับซ้อนต่อคนเหล่านี้ เพราะถ้าพวกเขาไม่ขี้ขลาดกลัวตายจนเกินไป คนกลุ่มนี้ก็จะไม่กล้าทำผิดกฎหมายแบบสุดโต่ง
แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็ไม่สามารถตำหนิได้ เพราะสุดท้ายแล้วคนส่วนใหญ่มักเลือกทางฉลาดเพื่อป้องกันตัวเองจากปัญหา
ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงสายตาคุกรุ่น เมื่อเขากลับมามีสติแล้วหันกลับไปมอง เขาก็เห็นภรรยากำลังจ้องมองเขาเขม็ง
ทันทีที่เห็นเขากลับมามีสติ เธอก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาทันที จากนั้นหลินเจี้ยนเยี่ยก็เข้าไปช่วยพยุงผู้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นคนที่อยู่ข้างหน้าลุกขึ้นหมดแล้ว เธอจึงเริ่มหันไปช่วยเหลือคนที่อยู่ด้านหลังบ้าง เทียบกับหลินเจี้ยนเยี่ยแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยมีไหวพริบมากกว่า เพราะเธอช่วยเหลือพลางพูดปลอบโยนพวกเขาไปด้วย
“สหายทั้งหลาย ตอนนี้เนื้อร้ายถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว ในวันข้างหน้าพวกคุณไม่ต้องกลัวอีกนะคะ”
“แต่ถ้าเราอยากจะเอาชนะคนเหล่านี้โดยสิ้นเชิง ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกคุณอยู่นะ”
พ่อของหลิวเหลยถามว่า “แล้วจะให้ช่วยยังไงล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “พวกคุณจงเขียนทุกสิ่งที่ถูกพวกเขารังแกออกมาให้หมด”
ทันทีที่คำเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนก็เกิดความลังเลอีกครั้ง เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยเห็นทุกคนเป็นแบบนี้ เธอก็รีบพูดว่า “หากพวกคุณไม่อยากให้พวกเขาหลุดออกมาสร้างปัญหาอีก ในครั้งนี้ก็ควรจะจัดการแบบถอนรากถอนโคนไปเลย”
“เราจึงอยากได้หลักฐานที่แข็งแกร่งมากพอต่อการพิสูจน์ความชั่วร้ายที่พวกเขากระทำน่ะค่ะ”
แต่ทุกคนก็ยังมีอาการลังเลไม่เลิก “คุณแน่ใจเหรอว่าจะถอนรากถอนโคนพวกมันแบบไม่ให้ออกมาแก้แค้นพวกเราได้”
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองหลินเจี้ยนเยี่ย เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้า เธอจึงตอบว่า “ฉันแน่ใจค่ะ”
ทันใดนั้นก็มีคนตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันก็จะเขียนเป็นคนแรก”
ชายคนที่พูดเป็นคนขาเป๋ เขาเดินกะโผลกกะเผลกมาหาสวี่ม่ายซุ่ยพลางเอ่ย “ฉันอ่านเขียนไม่ออก คุณช่วยเขียนแทนได้ไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ได้สิ” พูดแล้วก็หยิบสมุดบันทึกออกจากกระเป๋า
ในเวลานี้หลิวเหลยก็รีบกลับจากตัวเมืองเช่นกัน และเห็นคนมากมายรุมล้อมกันอยู่ตรงนั้น
ขณะกำลังจะเดินมาถึงข้างกายพ่อก็พูดออกมาว่า “นี่กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?”
พ่อของเขาหันมามองแล้วตอบด้วยความตื่นเต้นว่า “ก็พวกหลี่ต้าหย่งถูกจับหมดแล้วน่ะสิ สาวน้อยคนนี้กำลังบันทึกอาชญากรรมของพวกมันให้เรา”
หลิวเหลยมองไปทางสวี่ม่ายซุ่ยซึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงพื้นโดยมีสมุดจดวางอยู่บนเข่า เขาจึงสะกิดพูดกับพ่อว่า “พ่ออย่ามัวแต่มองอยู่สิ รีบกลับบ้านไปเอาโต๊ะกับเก้าอี้มาเถอะ”
พ่อหลิวเหลยก็เข้าใจความหมายได้ทันที เขาจึงรีบวิ่งกลับบ้านด้วยความสุข
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ได้อยู่เฉย เขาหันไปจัดการเรื่องงานศพของสวี่เวยต่อ
หลังจากที่ผู้คนให้ข้อมูลกับสวี่ม่ายซุ่ยเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินมาคำนับศพของสวี่เวย ในตอนแรกหลินเจี้ยนเยี่ยอยู่กับพวกเด็กๆ เพื่อสอนให้คารวะตอบ เมื่อเห็นว่าพวกเด็กๆ คุ้นเคยแล้วจึงเดินออกมา
หลิวเหลยกำลังชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน และเมื่อเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยเดินออกมา เขาก็รีบเข้าไปทักทายทันที “คุณกำลังจะทำอะไรต่อ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “กำลังมองหาสุสาน”
หลิวเหลยตอบกลับทันที “มากับผมสิ ผมจะพาคุณไปเอง”
พูดจบแล้วเขาก็เดินนำหลินเจี้ยนเยี่ยออกไป
สิ่งต่างๆ ล้วนสะดวกดายขึ้นมากจากความช่วยเหลือของหลิวเหลยตามที่คาดไว้ เดิมทีสุสานในหมู่บ้านของพวกเขาไม่อนุญาตให้ฝังศพคนนอก แต่เนื่องจากหลินเจี้ยนเยี่ยเป็นผู้มีพระคุณ จึงมีการอนุโลมให้กับการปฏิบัติต่อสหายรักของเขา
หลิวเหลยชี้ไปยังที่ดินว่างเปล่าผืนหนึ่งแล้วถามด้วยความภูมิใจ “ตรงนี้เป็นไง ผู้อาวุโสของตระกูลพวกผมให้อาจารย์มาดูฮวงจุ้ยแล้ว ตรงนี้มีฮวงจุ้ยดีที่สุด งั้นผมจะยกให้พวกคุณนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยขมวดคิ้วหลังจากได้ยิน “ทั้งหมดนี้เป็นที่ฝังศพจากหมู่บ้านของพวกนายทั้งนั้นเลยเหรอ?”
หลิวเหลยพูดว่า “ใช่ เพราะสุสานในหมู่บ้านเราไม่อนุญาตให้ฝังศพคนนอก”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดด้วยความรังเกียจ “งั้นเราไปหาที่อื่นดีกว่า”
หลิวเหลยผงะ “…”
“แล้วคุณอยากให้ฝังที่ไหนล่ะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยย้อนถาม “ผู้คนนอกหมู่บ้านนายถูกฝังอยู่ที่ไหน?”
หลิวเหลยตอบโดยไม่ต้องคิด “พวกเขาต่างถูกฝังอยู่ในที่ดินของตัวเองน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ถ้างั้นก็พาฉันไปดูที่ดินของเขาหน่อย”
คราวนี้หลิวเหลยลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพาหลินเจี้ยนเยี่ยไปที่ภูเขา จึงพบว่ามีพื้นที่ว่างบนภูเขาที่แสนจะขรุขระแปลงหนึ่ง
หลิวเหลยกลัวว่าหลินเจี้ยนเยี่ยจะไม่พอใจ จึงรีบอธิบายเสียงแห้งว่า “ตอนที่เขามา ที่ดินในหมู่บ้านของเราถูกแบ่งหมดแล้ว จึงแบ่งได้เฉพาะที่นี่เท่านั้นน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่สนใจและมองไปรอบๆ พลางพูดด้วยความใจเย็น “งั้นก็เอาตรงนี้แหละ”
จากจุดนี้แล้วจะสามารถมองเห็นทั้งหมู่บ้านได้ เพราะถึงอย่างไรสวี่เวยกับภรรยาก็คงไม่อยากถูกฝังร่างเคียงกับบรรพบุรุษของเดรัจฉานเหล่านั้น
หลิวเหลยรู้สึกประหลาดใจ “ตรงนี้เหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบสั้นๆ ว่า “อืม”
หลิวเหลยพูดว่า “ตกลง ผมจะรีบไปหยิบเครื่องมือ”
เนื่องจากจะฝังศพ จึงต้องขุดหลุมให้พอดีก่อนฝัง
ในขณะที่คิดว่าหลิวเหลยจะกลับมาพร้อมเครื่องมือคนเดียว แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อเขากลับมาจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แต่ยังพาชาวบ้านจำนวนมากมาด้วย
หลิวเหลยกลัวว่าหลินเจี้ยนเยี่ยจะไม่ชอบ จึงรีบพูดว่า “พวกเขาทั้งหมดอยากจะมาช่วยเอง”
หลินเจี้ยนเยี่ยยังมีท่าทางเย็นชาในตอนแรก แต่ตอนนี้ทัศนคติของเขาอ่อนลงมากแล้ว จึงตอบด้วยความสงบ “ขอบคุณ”
เมื่อพวกเขาขุดหลุมเสร็จแล้วกลับมา ทุกคนในบ้านก็แยกย้ายกันไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงสวี่ม่ายซุ่ยและเด็กทั้งสามคน ซึ่งตอนนี้สวี่ม่ายซุ่ยนั่งบนเก้าอี้ในลานบ้านพลางมองบันทึกเมื่อครู่นี้ ขณะที่เด็กทั้งสามคนกำลังเฝ้าอยู่ในบ้าน
เมื่อเห็นหลินเจี้ยนเยี่ยเดินเข้ามา สวี่ม่ายซุ่ยก็ส่งมอบบันทึกของวันนี้ให้เขาทันที “คุณรีบอ่านดูสิ คนเหล่านี้สมกับเป็นเดรัจฉานจริงๆ นะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยรับมันมาและเปิดอ่านผ่านๆ ทว่ายิ่งมองก็ยิ่งมีสีหน้าเข้มขึ้น
สวี่ม่ายซุ่ยยืนอยู่ข้างๆ และมองใบหน้าของเขา จากนั้นถามด้วยความไม่มั่นใจ “พอจะโดนยิงเป้าได้ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ได้”
ด้วยคำยืนยันจากเขา สวี่ม่ายซุ่ยก็รู้สึกโล่งใจได้
เนื่องจากต้องคอยเฝ้าระวังและออกไปไหนไม่ได้ตั้งแต่เช้า แม่หลิวเหลยจึงนำอาหารมาให้พวกเขาทุกมื้อ และเมื่อมองไปที่หลิวเหลยซึ่งยุ่งตลอดทั้งเช้า หลินเจี้ยนเยี่ยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากกับสวี่ม่ายซุ่ยว่า “ก่อนเราจะกลับก็อย่าลืมให้เงินพวกเขานะ”
เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก หมู่บ้านนี้จึงมีฐานะยากจนมาก แม้ว่าสภาพครอบครัวของหลิวเหลยดูเหมือนจะดีกว่าใคร แต่ก็ดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากเฝ้าดูตลอดทั้งคืนแล้ว การฝังศพก็เริ่มขึ้นในวันต่อมา แต่พวกเขาต้องรอจนถึงบ่ายสี่โมงถึงจะเดินทางขึ้นไปบนภูเขาได้ตามธรรมเนียมของที่นี่ เมื่อชาวบ้านช่วยฝังศพแล้วก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงพวกหลินเจี้ยนเยี่ยไม่กี่คน
หลินเจี้ยนเยี่ยมองไปที่หลุมศพสร้างใหม่และหยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋า เขาหยิบบุหรี่มวนสุดท้ายออกมาจุด และวางไว้ยังที่สักการะ จากนั้นพูดกับเด็กๆ ว่า “ไปกันเถอะ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเด็กๆ ก็ก้มลงคารวะหลุมศพแบบไม่เต็มใจจะกลับ จากนั้นจึงเดินตามพวกเขาออกมา ในช่วงเวลานี้เด็กหญิงคนโตยังไม่หยุดร้องไห้ ส่วนลูกชายคนเล็กยังไม่รู้ความมากนัก เอาแต่มองซ้ายแลขวา และเมื่อรู้สึกเหนื่อย ก็ยื่นมือให้สวี่ม่ายซุ่ยช่วยจับไว้
มีเพียงลูกชายคนกลางเท่านั้นที่เงียบผิดปกติ สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาและสะกิดหลินเจี้ยนเยี่ยพลางเอ่ยด้วยความกังวล “คุณไปดูหน่อยสิ เพราะตั้งแต่มาที่นี่ฉันไม่เห็นเขาร้องไห้เลย”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วจึงเดินเข้าไปหาและตบไหล่เด็กชาย “ถ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องเลย อย่ากลั้นไว้”
สวี่อวิ้นจื้อตอบ “ผมจะไม่ร้องไห้ครับ เพราะพ่อบอกว่าลูกผู้ชายต่อให้หลั่งเลือดก็ไม่หลั่งน้ำตา”
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
“คุณพยายามเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย เด็กขนาดนี้อดกลั้นไว้แล้วจะป่วยได้”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป”
สัมภาระของเด็กๆ ล้วนถูกโยนลงไปฝังด้วย จึงไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดบ้านอีก เมื่อกลับมาแล้วพวกเขาก็ล็อกประตูและไปที่บ้านของหลิวเหลยทันที เนื่องจากช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้มีอีกฝ่ายคอยให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นจึงควรจะไปขอบคุณเสียหน่อย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันต้องมีคนเริ่มอะ แล้วคนที่เหลือถึงจะกล้าตาม เพราะทุกคนก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION