ตอนที่ 263 ภูเขาอันทุรกันดาร
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “พวกมันไม่ได้ออกมาพร้อมกันเสมอไป”
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้ว เธอก็แอบเตะหลินเจี้ยนเยี่ยเพื่อส่งสัญญาณให้เขาหุบปาก
หลินเจี้ยนเยี่ยก็หุบปาก “…”
“เขาเป็นคนพูดไปเรื่อยแบบนี้แหละ คุณไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก”
ชายคนนั้นสังเกตเห็นตั้งแต่บนรถไฟแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ พูดกับสวี่ม่ายซุ่ยด้วยความกระตือรือร้นแทน “ไม่ได้มีแค่หมาป่ากับหมีดำนะ แต่ยังมีเสืออีกด้วย”
“ในสถานการณ์เช่นทุกวันนี้ ถ้าไม่มีรถพวกคุณก็ไม่ควรเข้ามาจริงๆ เพราะถ้าเจอพวกมันแล้วคงจบเห่แน่ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มด้วยความเอาใจ “เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรามาที่นี่ ดังนั้นเราจึงไม่มีประสบการณ์มากนักไงล่ะ”
ชายคนนั้นพูดว่า “ใช่แล้วล่ะ เดี๋ยวต่อไปก็จะดีขึ้นเอง”
“แต่ผมจำได้ว่าพวกคุณนำกระเป๋าสัมภาระลงจากรถไฟด้วยนะ แล้วกระเป๋าของพวกคุณหายไปไหน?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “วางไว้ที่โรงแรมน่ะ”
ชายคนนั้นนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ทันที เขาจึงหันกลับมาถามพวกเธอว่า “ลืมถามพวกคุณไปเลย สรุปว่าพวกคุณมาทำอะไรที่จินเฉียวเหรอ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบสั้นๆ ว่า “มาเยี่ยมญาติ”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินคำตอบก็ยิ่งสนใจ “ไม่มีใครในจินเฉียวที่ผมไม่รู้จักนะ คุณสองคนจะไปเยี่ยมญาติที่บ้านของใครล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยหันไปมองหลินเจี้ยนเยี่ยโดยอัตโนมัติ
หลินเจี้ยนเยี่ยไม่ลังเลและตอบตามตรงว่า“บ้านของสวี่เวย”
ทันทีที่เขาพูดจบ พ่อเฒ่าที่กำลังขับรถม้าอยู่ก็ดึงบังเหียนเพื่อหยุดรถ จากนั้นหันกลับมามองทั้งสองคนแล้วถามเสียงจริงจังว่า “พวกคุณจะไปบ้านของใครนะ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยก็ตอบตามเดิมว่า “บ้านของสวี่เวย”
พ่อเฒ่าถามต่อ “พวกคุณเป็นใครกันแน่?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “สวี่เวยเป็นพี่ชายคนรองของผมเอง”
พ่อเฒ่าจึงพูดว่า “คุณมาที่นี่เพื่อจัดการเรื่องของเขาใช่ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ย “ใช่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว สีหน้าของพ่อเฒ่าก็ดูน่าเกลียด “พวกคุณควรลงจากรถตรงนี้ดีกว่า เพราะผมคงรับผิดชอบพวกคุณไม่ไหว”
ชายคนนั้นได้ยินแล้วตกตะลึง “พ่อกำลังพูดอะไรเนี่ย ทั้งสองคนนี้เป็นสหายของผมนะ”
พ่อเฒ่าตอบด้วยความหยาบคาย “สหายแบบไหน เพิ่งเจอกันระหว่างเดินทางเอง ฉันขอบอกแกไว้เลยว่าห้ามแกยุ่งกับเรื่องนี้”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมต้องห้ามผมยุ่งด้วย”
พ่อเฒ่ามองลูกชายที่ดื้อรั้นแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจพลางตอบว่า “คนที่ชื่อสวี่เวยคนนั้น เขาแทงลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านน่ะสิ”
ทันใดนั้นดวงตาของชายคนนั้นก็เบิกกว้างและถามด้วยความไม่เชื่อ “พ่อว่าไงนะ เขาแทงหลี่ต้าหย่งคนนั้นเหรอ? ล้อเล่นหรือเปล่า?”
ใบหน้าของพ่อเฒ่าเข้มขึ้น “ฉันจะล้อแกเล่นในเรื่องแบบนี้ได้ไง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายคนนั้นก็ยกมือตบต้นขาตัวเองฉาดใหญ่และพูดด้วยความตื่นเต้น “โคตรจะสุดยอดไปเลย สมกับเป็นยอดวีรบุรุษ เพราะผมก็อยากจะแทงไอ้สารเลวนี้มานานแล้วเหมือนกัน ทุกวันนี้เขาแค่อาศัยบารมีหัวหน้าหมู่บ้านของพ่อทำตัวเป็นอันธพาล ทั้งรังแกสาวน้อยข่มเหงหญิงม่าย ในไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องตกนรก”
“เฮอะ เดาว่าคราวนี้เจอไม้แข็งเข้าให้ ผู้ชายคนนี้จะต้องถูกทำลายแน่ๆ”
พ่อเฒ่าเหลือบมองไปทางหลินเจี้ยนเยี่ย และเห็นว่าเขาวางสีหน้าเรียบเฉยทั้งยังเงียบขรึม จึงเดาว่าเขามาที่นี่เพราะรู้ข้อมูลแล้วเช่นกัน
ส่วนลูกชายของตนไม่เข้าใจอะไรเลยและเห็นเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด เขาจึงรีบดุว่า “ถ้าแกไม่รู้สถานการณ์ก็อย่าพูดเหลวไหล เหมือนกับที่แกไม่กล้าแทงหลี่ต้าหย่งจริงๆ”
ชายคนนั้นเม้มปากทันที แล้วพูดด้วยความทะนงว่า “ก็ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยืนกรานที่จะอยู่ในหมู่บ้านต่อไป ผมคงฆ่าเขาไปตั้งนานแล้ว”
“พ่อ ให้ผมพูดหน่อยเถอะ ถ้าพี่ชายของเขาสามารถแทงหลี่ต้าหย่งได้ ผมคิดว่าจะต้องพาสองคนนี้ไปด้วยเท่านั้น”
“เพราะถ้าพ่อไม่พาทั้งสองไปด้วย ผมก็จะไม่ไปเหมือนกัน” เขาพูดพลางตั้งท่าจะกระโดดลงไป
พ่อเฒ่าได้แต่ทอดถอนใจพลางเอ่ย “เอาล่ะ ฉันจะฟังแกก็ได้”
ชายคนนั้นสมดั่งใจหวังแล้วก็ฉีกยิ้มทันที
หลินเจี้ยนเยี่ยก็พูดว่า “ขอบคุณ”
ชายคนนั้นก็ตอบสนองโดยไม่ใส่ใจว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเขาหรอก แต่ถ้าอยากขอบคุณ ก็ขอบคุณผมดีกว่า”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ขอบคุณ แล้วไม่ทราบว่าพี่ชายชื่ออะไร?”
ชายคนนั้นตอบว่า “แซ่หลิวชื่อเหลย เรียกผมว่าหลิวเหลยได้เลย”
หลินเจี้ยนเยี่ย “อืม”
เมื่อเทียบกับการต้อนรับของหลิวเหลยแล้ว พ่อของหลิวเหลยดูน่าเบื่อกว่ามาก และเขามักจะแอบมองหลินเจี้ยนเยี่ยบ่อยๆ ทำเหมือนว่าเขามีเรื่องจะพูดเสมอ
โดยไม่รอให้หลินเจี้ยนเยี่ยได้ถาม หลิวเหลยก็เริ่มถามก่อนว่า “คุณสองคนมาที่นี่เพราะเรื่องที่พี่ชายแทงคนบาดเจ็บใช่ไหม?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ใช่ ผมได้รับข่าวว่า พี่รองของผมถูกพวกเขากักขังเอาไว้ และต้องให้ผมนำเงินมาไถ่ตัว ผมสงสัยว่าคุณลุงเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างไหม?”
หลิวเหลยได้ยินแล้วก็ตกใจมาก “ว่าไงนะ? คุณบอกว่าพวกเขาขังคนไว้เหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบสั้นๆ “ใช่”
หลิวเหลยรีบหันไปมองพ่อและถามว่า “พวกเขาพูดเรื่องจริงเหรอพ่อ?”
พ่อเฒ่าพึมพำตอบ อืม ตามตรง
หลิวเหลยได้ยินแล้วก็ระเบิดโทสะ “พ่อ หากพวกเขาถูกขังไว้ ไอ้เดรัจฉานกลุ่มนั้นจะต้อง…”
พูดไปได้ครึ่งเดียว หลิวเหลยก็ต้องกลืนมันลงท้อง
พ่อเฒ่าตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พวกเขามาช้าเกินไป”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินถึงความผิดปกติในบทสนทนานั้น จึงรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพี่รองของผม?”
หลิวเหลยลังเลอยู่นาน ก่อนจะตอบว่า “หัวหน้าหมู่บ้านของพวกเราถนัดทำชั่ว และที่บ้านจะมีห้องทรมานเล็กๆ เอาไว้ ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังจะถูกจับไปขังในนั้น”
“และมันเป็นเรื่องยากที่จะกลับออกมาในสภาพเดิม อีกทั้งพี่รองของคุณยังแทงลูกชายของเขา ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ เด็ดขาด เขายิ่งเป็นคนแค้นฝังหุ่นอยู่ด้วย”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วตกใจมาก “คุณพูดอะไร? นี่คือสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย พวกเขาจะกล้าดีขนาดนั้นได้ยังไง?”
หลิวเหลยยิ้มขมขื่น “เมืองของพวกคุณเป็นสังคมที่ปกครองโดยกฎหมาย แต่พวกเราอาศัยอยู่ในภูเขาลึกอันทุรกันดาร ไม่มีใครสนใจหรอก”
“คุณก็เห็นเส้นทางของพวกเราแล้ว มันยากที่จะเดินทางเข้าไป จึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาที่นี่”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ทำไมพวกคุณไม่รายงานไปยังหน่วยงานระดับสูงล่ะ ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้เลยเหรอ?”
หลิวเหลยพูดว่า “ตอบโต้ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นพวกเดียวกัน”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วกำหมัดทันที ถ้าหลิวเหลยพูดแบบนั้น ก็หมายความว่าคราวนี้พวกเธอชนเข้ากับตออย่างจังแล้ว
หลิวเหลยพูดว่า “พวกเขาไม่ใช่คนดีเลย ดังนั้นพวกคุณควรจะเตรียมตัวให้พร้อม”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นว่าใบหน้าของหลินเจี้ยนเยี่ยมืดครึ้มมากจนแทบกลั่นเม็ดฝนได้ เธอจึงฝืนใจตอบรับว่า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เตือนนะ”
ไม่รู้ว่านั่งรถม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว แต่ก็เพิ่งมาถึงหมู่บ้านของหลิวเหลย และทันทีที่เข้ามาในหมู่บ้าน พ่อเฒ่าก็หยุดรถม้า
หลินเจี้ยนเยี่ยและสวี่ม่ายซุ่ยเข้าใจความหมาย ทั้งสองจึงเริ่มกล่าวขอบคุณแล้วลงจากรถม้า
หลิวเหลยดูว้าวุ่นใจ “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะช่วยพวกคุณนะ แต่ผมยังมีพ่อแม่ให้ต้องดูแลจริงๆ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ขอบคุณมากๆ ที่พาพวกเรามาส่งที่นี่ ขอถามอีกครั้งว่า จะไปบ้านสวี่เวยได้ยังไง?”
หลิวเหลยไม่รู้และทำได้เพียงมองพ่อเท่านั้น ซึ่งพ่อเฒ่ากล่าวว่า “เดินตรงไปตามถนนสายนี้ บ้านสภาพแย่ที่สุดคือบ้านของเขา”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ขอบคุณ” พูดจบแล้วเขาก็พาสวี่ม่ายซุ่ยเดินไปข้างหน้า
หัวใจที่เดิมทีวิตกกังวลพลันสงบลงทันทีเมื่อเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ และอารมณ์เศร้าหมองก็แล่นเข้าสู่หัวใจของเขาแทน
ทั้งสองเดินไปบนถนนสายนั้นเงียบๆ และในที่สุดก็เห็นบ้านมุงจากที่พังทลายอยู่นอกหมู่บ้าน แต่ดูแล้วบ้านมุงจากที่พังลงครึ่งหนึ่งต้องเกิดจากฝีมือของมนุษย์แน่นอน
หัวใจของสวี่ม่ายซุ่ยเต้นรัว กล้าทำสิ่งนี้กับผู้อื่นในเวลากลางวันแสกๆ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนพวกนั้นจะทำตัวไร้กฎหมายขนาดนี้
เมื่อเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในลานบ้านเพื่อมองสำรวจ สวี่ม่ายซุ่ยก็ตัวแข็งทื่อ
เครื่องเรือนทุกชนิดกระจัดกระจายอยู่ในลานบ้าน บรรดาหม้อ กระทะและเครื่องครัวทั้งหมดก็ถูกทุบทำลายไม่เหลือชิ้นดี
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บ้านป่าเมืองเถื่อนกันสุดๆ คนหมู่บ้านนี้อยู่กันยังไงเนี่ย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION