ตอนที่ 255 ธุระด่วน
พี่สะใภ้ซุนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาทันที “ยังเป็นเธอที่รอบคอบเสมอ ฉันกำลังกังวลอยู่เลยว่าจะกินข้าวโต๊ะเดียวกับพวกเขายังไง แต่เธอช่วยจัดการให้แล้ว”
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่บ้านรองผู้บัญชาการโหวครั้งก่อน ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะกินข้าวกับบ้านตระกูลเฉินอีก
แต่ในขณะที่พวกผู้หญิงคิดเช่นนั้น พวกผู้ชายที่อยู่ในห้องกลับไม่คิดเหมือนกัน “เหล่าจ้าว นายไม่ได้เชิญเฉินเยวี่ยมาเหรอ?”
จ้าวเป่ากั๋วเชิดหน้าขึ้นพลางตอบ “ไม่ได้เชิญน่ะ”
หัวหน้าจางพูดว่า “แต่ฉันเกรงว่าทำแบบนี้จะไม่ดีต่อนายนัก ในเมื่อเชิญพวกเราทุกคนมาที่นี่ ถ้าเฉินเยวี่ยรู้แล้วเขาจะคิดยังไง พวกเขาจะคิดว่าเรากีดกันผู้มาอยู่ใหม่นะ”
หัวหน้าซุนพูดว่า “เขาก็เป็นผู้มาใหม่จริงๆ ไม่ใช่เหรอ”
หัวหน้าจางพูดด้วยความหงุดหงิด “นายหยุดพูดไปเลย ปากของนายเก่งเรื่องทำให้คนอื่นขุ่นเคืองจริงๆ นะ”
กรรมการการเมืองเถียนพูดว่า “ถูกต้อง เหล่าจ้าวอย่าไปฟังเขาเลย ก่อนที่ทุกคนจะมากันครบ นายรีบไปเชิญพวกเขามาเถอะ”
จ้าวเป่ากั๋วได้ยินแบบนี้แล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้ ฉันจะไปเรียก เหล่าหลินช่วยอยู่รับแขกแทนฉันไปก่อนนะ” พูดจบแล้วก็เดินออกไป
แต่หลินเจี้ยนเยี่ยยังไม่ทันได้ตอบรับ หัวหน้าซุนก็พูดก่อนว่า “ถ้าพวกเราชวนเขามาแล้วล่ะก็ เตรียมหาอาหารและเสื้อผ้ากันให้พร้อมนะ” พูดจบแล้วเขาก็คว้าเมล็ดแตงโมหนึ่งกำมือขึ้นมา
ทันทีที่จ้าวเป่ากั๋วเดินออกจากบ้านก็พบเข้ากับหลี่ต้านี หลี่ต้านีเห็นท่าทางเร่งรีบของเขาแล้วจึงถามว่า “คุณจะไปไหน?”
จ้าวเป่ากั๋วตอบว่า “ออกไปหาอะไรหน่อยน่ะ”
จากนั้นเขาก็เดินออกไปโดยไม่รั้งรอ
หลี่ต้านีคิดว่าเขาจะออกไปซื้อเหล้าเพราะพวกเขากำลังเมาได้ที่ หล่อนจึงไม่คิดมาก แต่เมื่อได้เห็นเฉินเยวี่ยเดินมาพร้อมครอบครัว ใบหน้าของหล่อนก็มืดลงและจ้องจ้าวเป่ากั๋วด้วยสายตาว่างเปล่า
จ้าวเป่ากั๋วแสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่กล้ามองหลี่ต้านีด้วยซ้ำ แต่เฉินเยวี่ยทำตัวเป็นคนใจกว้าง เขาพูดกับหลี่ต้านีด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องรบกวนน้องสะใภ้แล้ว”
หลี่ต้านียิ้มพอเป็นพิธีพลางเอ่ย “ด้วยความยินดี ไม่ได้รบกวนหรอก เชิญพวกคุณไปนั่งในบ้านได้เลย”
เฉินเยวี่ยพูดว่า “ตกลง แต่ผมเห็นว่าวันนี้มีคนเยอะมาก งั้นซุ่ยฮวาก็อยู่ช่วยพวกน้องสะใภ้เถอะนะ”
ตอนแรกจางซุ่ยฮวายิ้มแย้ม แต่เมื่อหล่อนได้ยินเช่นนี้แล้วก็หุบยิ้มทันที เพราะหล่อนมาที่นี่เพื่อกิน ไม่ได้มาทำงาน หลี่ต้านีเห็นแล้วก็นึกรำคาญใจสุดๆ จึงรีบพูดว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ทางนี้ไม่ได้ยุ่งเลย พวกคุณไปนั่งในบ้านเถอะ”
ก่อนที่เฉินเยวี่ยจะทันได้พูด จางซุ่ยฮวาก็ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้างั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือก็เรียกหาฉันได้เลย” พูดจบแล้วหล่อนก็เดินเข้าไปในบ้าน
แม่เฒ่าเฉินทำแค่กลอกตาใส่หล่อนด้วยความหงุดหงิดโดยมีเฉินจินกังช่วยประคองเข้าไปข้างใน
เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปหมดแล้ว หลี่ต้านีก็คว้าจ้าวเป่ากั๋วที่กำลังจะจากไปด้วยและพูดเสียงเย็นชาว่า “คุณบอกว่าจะไม่เชิญพวกเขานี่ แล้วทำไมพวกเขาถึงมาได้ล่ะ?”
จ้าวเป่ากั๋วอธิบายแบบช่วยไม่ได้ “ใครๆ ก็บอกว่าการไม่เชิญพวกเขาถือว่าไม่เหมาะสมน่ะ”
หลี่ต้านีพูดว่า “จบงานแล้วฉันจะคิดบัญชีกับคุณทีหลัง”
ตอนแรกผู้คนในบ้านคุยกันด้วยความมีชีวิตชีวา แต่เมื่อเห็นแม่เฒ่าเฉินเข้ามา พวกเขาก็เงียบเสียงลง เพราะอย่างไรแล้วแม่เฒ่าเฉินก็เป็นผู้อาวุโสที่สุด พวกเขาจึงต้องทักทายหล่อนตามมารยาท
แม่เฒ่าเฉินไม่มีจิตสำนึกในการมาเยือนบ้านคนอื่นเลย เมื่อเห็นทุกคนลุกขึ้นมาทักทายตน จึงบังเกิดความภาคภูมิใจมากๆ พยักหน้าให้พวกเขาทีละคน แล้วสุดท้ายก็ไปนั่งที่เก้าอี้หลักพลางคุยกับคนนั้นที แล้วหันไปคุยกับคนนี้ที แต่ทั้งหมดแล้วเป็นการพูดถึงผลงานการต่อสู้ของเฉินเยวี่ย ซึ่งทำให้ทุกคนอึดอัดใจมาก
แต่เฉินเยวี่ยคิดว่าการกระทำของแม่นั้นปกติ เขาจึงปล่อยให้แม่เล่าถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของตนท่ามกลางกลุ่มทหารผู้มากประสบการณ์กลุ่มนี้โดยไม่ห้ามปราม
หลินเจี้ยนเยี่ยเบื่อที่จะฟัง เขาจึงลุกขึ้นและตั้งท่าจะเดินออกไป แต่ไม่คาดคิดว่าแม่เฒ่าเฉินจะหยุดเขาไว้โดยถามว่า “หัวหน้าหลิน กำลังจะกินข้าวเร็วๆ นี้แล้ว คุณจะไปไหนเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “จะออกไปสูดอากาศหน่อย”
เมื่อเขาพูดแบบนั้น สีหน้าของแม่เฒ่าเฉินก็เปลี่ยนไป นางถามจ้าวเป่ากั๋วด้วยความเสียใจว่า “กรรมการการเมืองจ้าว ที่หัวหน้าหลินพูดแบบนี้หมายความว่าไง เขารำคาญคนแก่แบบฉันเหรอ”
เปลือกตาของจ้าวเป่ากั๋วกระตุก เขาตอบเสียงอ่อนว่า “ไม่ใช่หรอก เขาก็นิสัยแบบนี้แหละ”
คนอื่นได้ยินแล้วก็รีบพูดแก้ต่างแทนหลินเจี้ยนเยี่ย
ทางด้านสวี่ม่ายซุ่ยได้ยินว่าจ้าวเป่ากั๋วเชิญครอบครัวของเฉินเยวี่ยมาด้วย เธอก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกและหยุดทำอาหารทันที “คนพวกนั้นไม่คู่ควร”
หลี่ต้านีรู้จักนิสัยของสวี่ม่ายซุ่ยดีอยู่แล้วจึงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อม ส่วนตนเองก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม และหยิบตะหลิวขึ้นมาผัดอาหารต่อพลางก่นด่าจ้าวเป่ากั๋วในใจนับร้อยครั้ง
ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในลานบ้านแล้วมุ่งหน้ามาที่ห้องครัว ซึ่งทุกคนได้เห็นแล้วจึงทักทายหล่อนด้วยความอบอุ่น “พี่สะใภ้จาง ทำไมถึงมาเอาป่านนี้ล่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” หลี่ต้านีเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทาย
ภรรยาหัวหน้าจางพูดว่า “ไม่อยากจะพูดเลย แต่พอดีว่าลูกสะใภ้ของตระกูลโหวคลอดลูก ฉันต้องไปช่วยน่ะ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ก็ทำให้ผู้ช่วยทุกคนในครัวหันมาสนใจ “คลอดแล้วเหรอ?”
“ได้ลูกสาวน่ะ พวกเธอคงจินตนาการถึงสีหน้าของพี่สะใภ้โหวไม่ออก หล่อนหน้าซีดแบบนี้เลย” ภรรยาหัวหน้าจางแสดงท่าทางให้ทุกคนได้เห็น
พี่สะใภ้ซุนพูดว่า “หล่อนน่ะให้ความสำคัญกับผู้ชายที่สุด เกรงว่าคราวนี้ลูกสะใภ้ของหล่อนจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากแล้วล่ะ”
ภรรยาหัวหน้าจางพูดว่า “แล้วจะทำไงได้ล่ะ มันเป็นเส้นทางที่หล่อนเลือกเอง ก็ต้องยอมรับเอง”
ทุกคนได้ยินแล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้แบบสุดซึ้ง จากนั้นก็จับกลุ่มคุยกับที่ห้องครัวอีกสักพัก เมื่อหลี่ต้านีทำใกล้จะเสร็จแล้ว หล่อนก็เริ่มยกจานเข้าบ้านทีละจาน
เดิมทีหลี่ต้านีได้เตรียมโต๊ะไว้สองโต๊ะเท่านั้น แต่หล่อนก็ไม่คาดคิดว่าครอบครัวของเฉินเยวี่ยจะมากันหมด ทำให้ตอนนี้โต๊ะทั้งสองรองรับคนไม่พอ หล่อนจึงต้องยืมโต๊ะจากบ้านหัวหน้าจางแล้วนั่งลงด้วยความไม่พอใจ
แม่เฒ่าเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะผู้ชายด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและทรงเกียรติ ส่วนจางซุ่ยฮวาพาลูกๆ ไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับพวกหลี่ต้านี
พวกหล่อนมีลูกเยอะ เมื่อมานั่งกับหลี่ต้านีและลูกๆ ก็เต็ม 1 โต๊ะพอดี ด้านสวี่ม่ายซุ่ยกับลูกก็นั่งร่วมโต๊ะกับพี่สะใภ้คนอื่นๆ อีก 1 โต๊ะ
เนื่องจากมีอาหารที่ยังไม่ได้ทำ หลี่ต้านีจึงพาจ้าวเหม่ยฟางไปทำงานในครัวและบอกให้ทุกคนกินข้าวก่อนได้เลย
โต๊ะของเฉินเยวี่ยเต็มไปด้วยผู้คน หลังจากมองไปรอบๆ แล้วเขาก็เห็นว่าโต๊ะของจางซุ่ยฮวายังมีที่ว่างอยู่ เขาจึงเดินไปที่หัวโต๊ะแล้วพูดกับแม่เฒ่าเฉินว่า “แม่ เห็นไหมว่าพวกเราทุกคนกำลังดื่มกันที่โต๊ะนี้ แม่ย้ายไปนั่งกับซุ่ยฮวาเถอะ”
แม่เฒ่าเฉินไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับพวกผู้หญิงจริงๆ เพราะนางรู้สึกว่าการนั่งกับนายทหารเหล่านี้ทำให้ตนได้หน้าไปด้วย แต่ก่อนที่นางจะได้ปฏิเสธ เฉินเยวี่ยก็คว้าแขนของนางไว้แล้ว
นางจึงหมดทางเลือกและเดินไปที่โต๊ะของจางซุ่ยฮวาด้วยความไม่เต็มใจ
ระหว่างรับประทานอาหาร พวกเฉินจินกังก็ไม่ได้รักษามารยาทใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขารีบกินอาหารทุกจานเหมือนตอนอยู่ที่บ้านรองผู้บัญชาการโหว ทำให้จื้อเฉียงจื้อลี่ที่นั่งร่วมโต๊ะไม่ได้แตะอาหารเลย
ในที่สุดทั้งสองก็หมดหนทาง และต้องย้ายเก้าอี้ไปนั่งที่โต๊ะของพวกหลินเซียวด้วยความเศร้าหมอง
เฉินเยวี่ยเห็นเหตุการณ์นั้นก็โกรธจนเกือบหักตะเกียบทิ้ง เขาแอบขยิบตาให้จางซุ่ยฮวา แต่น่าเสียดายที่หล่อนไม่เชื่อฟังเขาเลย
นอกจากนี้ หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ครอบครัวของเขายังเป็นครอบครัวแรกที่หนีกลับทันที ทำให้เฉินเยวี่ยเสียหน้าไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อสวี่ม่ายซุ่ยและหลินเจี้ยนเยี่ยช่วยงานเสร็จแล้วกลับถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของจางซุ่ยฮวากำลังโต้เถียงกับเฉินเยวี่ย
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายขึ้นกับแม่เฒ่าเฉิน ทำให้จางซุ่ยฮวาเกรงกลัวเฉินเยวี่ยน้อยลงเรื่อยๆ
สวี่ม่ายซุ่ยเบะปากและกลอกตาใส่ เธอเดินเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองอีก “เพิ่งกินข้าวกันเสร็จ ถ้างั้นวันนี้ไม่ต้องออกกำลังกายหรอกนะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ไม่ได้ รอให้อาหารย่อยอีกหนึ่งชั่วโมงค่อยออกกำลัง”
สวี่ม่ายซุ่ยหมดคำจะพูด “…”
วันแล้ววันเล่าผ่านไปเช่นนี้ และพริบตาเดียวก็มาถึงช่วงปลายปี 1973 ในวันนั้นสวี่ม่ายซุ่ยกำลังทำความสะอาดบ้านพร้อมกับลูกๆ และเธอก็เห็นหลินเจี้ยนเยี่ยรีบร้อนเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ร่าเริง
สวี่ม่ายซุ่ยมองเขาแล้วถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณกลับมาตอนนี้ล่ะ? ยังไม่เลิกงานไม่ใช่เหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยหยุดเดินและพูดกับสวี่ม่ายซุ่ยว่า “คุณไปเก็บสัมภาระเถอะ ผมจะพาคุณออกไปทำธุระข้างนอก”
สวี่ม่ายซุ่ยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกกังวลเสียมากกว่า “จะไปไหนเหรอ? แล้วต้องรีบขนาดนั้นเชียว?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “ไปตงเป่ย*”
(*ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน)
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในเมื่อเชิญครอบครัวรวมดาวหายนะนั่นมาเอง ก็รับกรรมกันไปนะ
พี่เยี่ยจะไปทำอะไรที่ตงเป่ย?
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION