ตอนที่ 235 แย่งอาหารกันให้วุ่น
สวี่ม่ายซุ่ยคิดว่าหลังจากบอกว่าหลินเจี้ยนจวินติดงาน พี่สะใภ้โหวก็จะตระหนักได้ถึงเหตุผล แต่เธอไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะทำตัวเหมือนไม่ใช่คนนอก เธอจึงทำได้เพียงอธิบายอีกครั้งว่า “เขาออกไปทำงานนอกสถานที่ และไม่ได้อยู่บนเกาะนี้หรอกค่ะ”
“ทำไมเขาต้องเดินทางตอนนี้ด้วย ไปเร็วกว่านี้ก็ไม่ไป หรือจะรอสายกว่านี้ก็ไม่ได้ แต่จะต้องทำวันนี้ คงไม่ได้จะถ่วงเวลาใช่ไหม” พี่สะใภ้โหวได้แต่บ่นพึมพำเมื่อได้ยินคำตอบ
ยิ่งสวี่ม่ายซุ่ยได้ฟังมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น เธอทนฟังไม่ไหวอีก จึงตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “พี่สะใภ้ ถ้าคุณมาที่นี่เพราะไม่ได้เชิญพ่อครัวแม่ครัวมานั่งในงานเลยแต่แรก แล้วจะมาสนใจน้องสามีฉันทำไม ที่สำคัญคือน้องสามีของฉันไม่ได้ทำอาหารนานแล้ว คุณไม่เตรียมการเองแล้วจะโทษใครได้ล่ะ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้พวกแม่หู่จือตกตะลึง และหันไปจับจ้องมองเธอด้วยความไม่อยากเชื่อ ดูเหมือนไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะกล้าหาญถึงขนาดเผชิญหน้ากับพี่สะใภ้โหวโดยตรง
พี่สะใภ้โหวก็ไม่คิดว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะแข็งกร้าวขนาดนี้ หล่อนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ฉันผิดเอง ฉันพูดผิดไปแล้ว ถ้าเขาไม่อยู่บ้าน ฉันก็จะไปหาคนอื่นแทน”
พูดจบแล้วก็เดินจากไปทันที
แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หล่อนก็จำได้ว่านอกเหนือจากเรื่องตามหาพ่อครัวแล้วยังต้องหาเก้าอี้กับโต๊ะด้วย หล่อนจึงเดินกลับมาแล้วพูดกับแม่หู่จือว่า “ที่บ้านพวกเธอมีโต๊ะกับเก้าอี้สูงไหม ฉันมีไม่พอน่ะ อยากจะขอยืมจากบ้านพวกเธอบ้าง”
พูดโดยไม่รอคำตอบ เพราะหล่อนหันไปตะโกนใส่โหวเจิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “โหวเจิ้น ไปหาคนมาสักสองสามคนแล้วช่วยกันขนโต๊ะเก้าอี้จากบ้านพวกอาสะใภ้เร็ว”
“รีบไปเถอะ ไม่มีเวลาแล้ว” ขณะที่พูด หล่อนก็รีบจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้แย้งเลย
พวกหลี่ต้านีโกรธมากๆ จนใบหน้าเขียวคล้ำ “คิดว่าตัวเองเป็นใคร ขอยืมของคนอื่นด้วยท่าทางแบบนี้เนี่ยนะ”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “หล่อนเคยชินกับการวางอำนาจน่ะสิ”
ทันทีที่พวกหล่อนพูดจบ โหวเจิ้นก็เดินเข้ามาพร้อมชายหนุ่มที่ดูแข็งแรงอีกสองสามคน และถามพวกหล่อนด้วยรอยยิ้มว่า “อาสะใภ้ ควรไปบ้านใครก่อนดี”
แม่หู่จือหันไปมองหน้าทุกคน ส่วนหลี่ต้านีเริ่มพูดก่อน “ไปบ้านฉันก่อนเถอะ”
ในเมื่อสถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ หลายคนจึงลุกขึ้นยืนด้วย ยกเว้นสวี่ม่ายซุ่ยที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อโหวเจิ้นเห็นว่าเธอไม่มีความตั้งใจที่จะลุกขึ้น จึงถามด้วยความแปลกใจว่า “อาสะใภ้ไม่ไปด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “ที่บ้านฉันไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้สูงว่างเลย คงให้ยืมไม่ได้นะ”
โหวเจิ้นได้ยินแล้วก็ไม่ได้คิดมาก และติดตามพวกหลี่ต้านีออกไปขนโต๊ะเก้าอี้ ทำให้ตอนนี้ทั้งโต๊ะเหลือแค่สวี่ม่ายซุ่ยนั่งอยู่กับพวกเด็กๆ แต่พวกเธอต้องนั่งรอนานกว่าครึ่งชั่วโมง สุดท้ายพวกหลี่ต้านีจึงกลับมาพร้อมสีหน้าโกรธเคือง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
แม่หู่จือเหลือบมองสวี่ม่ายซุ่ยและตอบด้วยความโกรธ “ไม่อยากจะพูดถึงเลย ผู้ชายพวกนั้นขนโต๊ะเก้าอี้แบบไม่ถนอมเลย พอเตือนให้ระวังแค่ไม่กี่คำ ก็ทำประชดแบบไม่พอใจ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “ใช่ โต๊ะของฉันถูกวางกระแทกซะแรงแบบนั้น ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็ไม่ให้ยืมหรอก”
หลี่ต้านีพูดว่า “พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้ไว้ก็พอ”
แม่หู่จือพูดว่า “รู้แบบนี้ทำเหมือนม่ายซุ่ยดีกว่า แค่บอกว่าไม่มีให้ยืม พวกเราต้องหัดรู้จักพูดว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้บ้างละ”
สวี่ม่ายซุ่ยยิ้มและพูดว่า “ก็ทุกคนน่ะกลัวเสียหน้า แต่ฉันไม่กลัวไงล่ะ”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ พวกเราก็จะไม่เกรงใจใครแล้ว”
เมื่อรอไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ทางห้องครัวก็เริ่มยกอาหารขึ้นโต๊ะทีละจาน ซึ่งทันทีที่อาหารจานแรกถูกยกขึ้นโต๊ะ ทุกคนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ทำไมอาหารมีน้อยจัง อันนี้ไม่ผิดใช่ไหม? หรือว่าเพิ่งจะยกมาได้ครึ่งจานกันนะ”
พวกสวี่ม่ายซุ่ยต่างก็นั่งรอด้วยความสงบ เมื่อจานถูกยกขึ้นโต๊ะก็ไม่ได้รีบแย่งกัน ดังนั้นทันทีที่จานถูกวางไว้จึงสังเกตเห็นความผิดปกติได้เลย ส่วนโต๊ะอื่นๆ เพิ่งจะตระหนักได้ในภายหลัง
แม่หู่จือกับภรรยาหมาจื่อมีความอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อทั้งสองพบว่าปริมาณอาหารในจานนั้นผิดปกติ พวกหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมองโต๊ะอื่น และเห็นว่าจานบนโต๊ะอื่นๆ ว่างเปล่าหมดแล้ว สีหน้าของผู้ที่คีบไม่ทันก็ดูน่าเกลียดมาก
แม่หู่จือ “อาหารแค่นี้ไม่เพียงพอสำหรับคนจำนวนมากหรอก เท่ากับจานเดียวถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเลยนะ”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “นี่ออกจะขี้เหนียวเกินไปหน่อยแล้ว พวกเราอยู่ไม่ไกลจากสหกรณ์ด้วยซ้ำ ทำไมไม่ไปซื้อของเพิ่มล่ะ ทำแบบนี้จะน่าอายไปหน่อยไหม”
ไม่เพียงแต่โต๊ะพวกเธอกำลังพูดกัน แต่จางซุ่ยฮวาที่อยู่ถัดไปก็บ่นด้วย เนื่องจากครอบครัวจางซุ่ยฮวามีกันหลายคน เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ พวกเฉินจินเฟิ่งก็ดึงจานมาครองแล้วใช้ตะเกียบคีบแบ่งกันทันที สุดท้ายก็ไม่มีเหลือให้สองแม่ลูกเฉียนเสี่ยวเหลียนเลย
แม่เฒ่าเฉินเพิ่งจะทันได้คีบกินแค่คำเดียว เมื่อจะเอื้อมมือไปคีบอีกคำก็เห็นว่าจานนั้นว่างเปล่าเสียแล้ว นางจึงพูดด้วยความไม่พอใจว่า “นี่มันขี้เหนียวเกินไปแล้วนะ เป็นถึงครอบครัวของรองผู้บัญชาการแท้ๆ แต่ยังเลี้ยงเราไม่ดีเท่าตอนงานแต่งบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเราเลย”
เฉินจินเฟิ่งก็พูดเสริม “ใช่แล้ว แล้วนี่เรียกว่าอาหารอะไร แถมยังเป็นผักทั้งหมด ไม่มีเนื้อสัตว์เลยสักชิ้น”
เฉียนเสี่ยวเหลียนมองไปที่คนบ้านตระกูลเฉินที่กำลังกินไปพลางตำหนิไปด้วย หล่อนได้แต่กลอกตาใส่ด้วยความเหยียดหยาม
ตั้งแต่นั้นอาหารจานต่อๆ ไปก็เป็นเช่นนี้ และเมื่อเห็นว่าอาหารมีน้อย ทุกคนก็เลิกแสดงความเกรงอกเกรงใจต่อกัน ทำให้ทันทีที่จานถูกยกมา ทุกคนก็แย่งกันคีบหมดทันที และเนื่องจากเฉียนเสี่ยวเหลียนสองแม่ลูกนั่งร่วมโต๊ะกับบ้านเหล่าเฉิน ทั้งสองจึงไม่ได้กินอาหารแม้แต่คำเดียว ทำได้แต่จ้องมองไปที่จานเปล่าเท่านั้น
ต้าเฉียงมองไปที่โต๊ะของพวกหลินเซียวและเห็นว่าทุกคนได้กินกันแบบมีความสุข ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจมาก เขาแอบกระตุกชายเสื้อของเฉียนเสี่ยวเหลียนแล้วพูดว่า “แม่ครับ~”
เฉียนเสี่ยวเหลียนตบหลังมือของเขาพลางปลอบโยน “รออีกหน่อยนะ”
เมื่อไก่ตุ๋นใส่เห็ดถูกยกขึ้นโต๊ะ เฉินจินเฟิ่งก็ไม่รีรอที่จะรับช่วงต่อ แต่ทันใดนั้นเฉียนเสี่ยวเหลียนก็ยืนขึ้นและหยิบมันไป หล่อนเทไก่ตุ๋นใส่เห็ดลงในชามของตนกับลูกชายคนละครึ่ง จากนั้นก็วางจานเปล่าไว้บนโต๊ะตามเดิม
เฉินจินเป่าเห็นแล้วไม่พอใจขึ้นมา เขาต้องการคว้ามันออกจากชามของต้าเฉียง แต่ถูกเฉียนเสี่ยวเหลียนจ้องมอง
แม่เฒ่าเฉินเห็นว่าตะเกียบของตนไม่ได้คีบเนื้อเลย ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็มืดมน หล่อนวางตะเกียบลงแล้วถามด้วยความไม่พอใจ “แม่ต้าเฉียง ทำแบบนี้หมายความว่าไง?”
เฉียนเสี่ยวเหลียนกำลังแทะตีนไก่ หล่อนเหลือบมองแม่เฒ่าเฉินแล้วตอบด้วยความใจเย็น “ฉันก็เรียนรู้มาจากแม่เฒ่าไม่ใช่เหรอ”
แม่เฒ่าเฉินพูดว่า “บ้าเหรอ เธอเรียนรู้จากใครมิทราบ แต่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครนั่งโต๊ะเดียวกับเธอ ใครก็ตามที่เข้ามายุ่งกับเธอจะมีแต่โชคร้ายน่ะสิ”
เฉียนเสี่ยวเหลียนหัวเราะเยาะ “คุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ยังคิดว่าตัวเองเป็นที่นิยมของทุกคนหรือไง”
แม่เฒ่าเฉินพูดว่า “ก็ยังดีกว่าเธอแล้วกัน”
ในตอนนี้มีอาหารจานอื่นถูกยกออกจากครัว คราวนี้จินเฟิ่งมีประสบการณ์แล้วจึงลุกขึ้นตั้งท่ารอเนิ่นๆ ส่วนเฉียนเสี่ยวเหลียนก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งสองคนจึงเริ่มแย่งชิงกันด้วยวิธีนี้ แต่โดยธรรมชาติแล้วจินเฟิ่งเป็นสาวน้อยตัวเล็กกว่าจึงเอาชนะเฉียนเสี่ยวเหลียนไม่ได้ พอจางซุ่ยฮวาเห็นแบบนั้นก็ลุกขึ้นและคว้ามันไว้เอง จากนั้นการแย่งชิงนี้ก็เกิดความผิดพลาด ทำให้จานอาหารปลิวออกไป และมันบังเอิญปลิวไปตกที่โต๊ะข้างๆ ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องตกใจพลางลุกพรวดขึ้นยืน
เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้วก็ทำให้เสียงความครึกครื้นรอบตัวเงียบลงทันที ทุกคนหันมามองทางนี้ด้วยความประหลาดใจ และเห็นว่าแม่ของเฉินซินอี๋กำลังจะตายด้วยความโกรธเมื่อได้เห็นเศษอาหารกระเด็นใส่เสื้อผ้าของตน
รองผู้บัญชาการโหวและพี่สะใภ้โหวซึ่งกำลังพูดคุยกับแขกด้วยความสนุกสนาน เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของแม่เฉินเปื้อนไปด้วยเศษอาหาร ทั้งสองก็รีบวิ่งเข้ามาทันที “พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
แม่เฉินตอบด้วยใบหน้ามืดครึ้มและน้ำเสียงจริงจัง “เธอถามพวกหล่อนดูสิ”
พี่สะใภ้โหวได้ยินเช่นนี้ก็รีบหันไปมองคนบ้านตระกูลเฉินและเฉียนเสี่ยวเหลียนด้วยความโกรธ “เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นี่งานแต่งหรือประเพณีชิงเปรตคะเนี่ย แย่งอาหารกันให้วุ่นสมชื่อตอนจริงๆ
โดนแน่ ทั้งบ้านเฉินทั้งบ้านแม่ต้าเฉียง
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION