ตอนที่ 233 ภัยซ่อนเร้น
อันที่จริงพี่สะใภ้โหวไม่ต้องการให้สักหยวนด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่เศษขยะก็ยังสูงกว่าจะเป็นสินสอดของหล่อน แต่เพื่อรักษาหน้าให้เหล่าโหว จึงจำเป็นต้องให้สินสอดและรับหล่อนเข้าบ้านตามธรรมเนียม พี่สะใภ้โหวจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกล้ำกลืนความขมขื่นลงท้องแล้วคุยกับจางเหวิน
ในเวลานี้จางเหวินกำลังนั่งอยู่ในศูนย์ยุวปัญญาชนและถูกทุกคนซักถาม เพราะยอย่างไรแล้วพวกหล่อนก็เป็นแค่สาวน้อย ใครจะรู้ว่าหล่อนจะมาท้องทั้งที่อยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยไปเสียทุกเรื่อง “เธอคิดว่าครอบครัวของรองผู้บัญชาการโหวจะยอมรับไหม?”
“ต้องยอมรับสิ เพราะรองผู้บัญชาการโหวมีตำแหน่งใหญ่โต เขาจะไม่ยอมถูกตำหนิเด็ดขาด” สาวน้อยที่ดีต่อจางเหวินคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าจางเหวินมีสีหน้าสงบและไม่พูดเลย จึงอดปลอบใจไม่ได้
แต่สาวน้อยอีกคนที่ไม่ชอบจางเหวินกลับหัวเราะและพูดประชดว่า “นี่เป็นความคิดโลกสวยไปไหม นั่นคือบ้านของรองผู้บัญชาการนะ ใครอยากจะเข้าไปอยู่ก็เข้าได้เหรอ โดยเฉพาะคนที่ท้องโตแบบนี้ ไม่กลัวจะสร้างความอับอายเหรอ”
เมื่อหลี่ฟางได้ยินแบบนี้ หล่อนก็โมโหขึ้นมาทันทีและตะโกนใส่หญิงสาวที่กำลังพูดอยู่ว่า “เธอจะพูดทำไม เป็นครอบครัวของรองผู้บัญชาการแล้วไง? รองผู้บัญชาการไม่ใช่มนุษย์เหรอ เขาจะกล้าปฏิเสธความผิดของลูกชายเหรอ ถ้าไม่ยอมรับ พวกเราก็ไปแจ้งความที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ แจ้งข้อหาว่าพวกเขามีพฤติกรรมอันธพาล ยังไงซะพวกเราก็เท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า*หรอก”
(*เท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า หมายถึง คนที่ไม่มีอะไรจะเสีย จึงไม่ต้องหวั่นเกรงสิ่งใดทั้งสิ้น)
สาวน้อยคนนั้นเดาะลิ้นแล้วพูดด้วยท่าทางไร้มารยาท “พวกเธอหน้าด้านเกินไปแล้ว กล้าทำเรื่องแบบนั้นกับคนอื่นก่อนที่จะแต่งงาน ทำให้ยุวปัญญาชนแบบเราไม่เหลือเกียรติก็เพราะเธอ แต่พวกเธอช่างมีเกียรติจริงๆ นะ
พวกเธอวางแผนที่จะปีนขึ้นกิ่งไม้สูงตั้งแต่ต้นใช่ไหม? นั่นคือเหตุผลที่เธอพูดเหมือนปฏิเสธแต่ในใจยินดีใช่ไหมล่ะ?”
หลี่ฟางพูดว่า “เธอพูดบ้าอะไรเนี่ย จางเหวินไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย”
“เธอจะรู้ได้ไงว่าหล่อนเป็นคนแบบไหน? เธอเป็นพยาธิในท้องของหล่อนเหรอ?” สาวน้อยคนนั้นตอบด้วยความโมโห
เมื่อทั้งสองคนทะเลาะกันจนเหมือนจะไม่จบสิ้น ผู้อำนวยการหลานก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าที่มืดมน “เสียงดังอะไรกัน? พวกยุวปัญญาชนแบบพวกเธอยุ่งวุ่นวายได้ทุกวันสินะ”
เมื่อทั้งสองเห็นผู้อำนวยการหลานเข้ามาก็เงียบลงทันทีและไม่กล้าเถียงกันอีก ผู้อำนวยการหลานกวาดตามองไปที่พวกเธอและพูดกับจางเหวินว่า “จางเหวิน คุณนายโหวมาหาน่ะ หล่อนอยากคุยกับเธอเรื่องสินสอด”
บรรดายุวปัญญาชนในศูนย์ได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงทันที “ผู้อำนวยการหลาน คุณหมายความว่าไง? โหวเจิ้นยอมแต่งงานกับหล่อนจริงๆ เหรอ?”
ผู้อำนวยการหลานพูดว่า “มีลูกด้วยกันแล้ว จะไม่แต่งงานได้ไง?”
“เอาล่ะ เมื่อถึงตอนนั้นศูนย์ยุวปัญญาชนจะได้รับแขก พวกเธอก็ทำความสะอาดให้ดีนะ” พูดจบแล้วหล่อนก็หันไปพูดกับจางเหวิน “อย่ามัวแต่นั่งมึน รีบไปกันเถอะ”
ในที่สุดจางเหวินก็กลับมามีสติ หล่อนมองผู้อำนวยการหลานแล้วถามว่า “ให้หลี่ฟางไปกับฉันได้ไหมคะ?”
ผู้อำนวยการหลานเหลือบมองไปที่หลี่ฟางและเห็นว่าหลี่ฟางดูเหมือนไก่ตัวผู้ (เครื่องด่า) หล่อนจึงพยักหน้า “ไปด้วยกันได้”
ทันทีที่ทั้งสามคนเดินออกไป ในศูนย์ยุวปัญญาชนก็เกิดความโกลาหล “นี่มันเรื่องอะไรกัน รองผู้บัญชาการโหวยอมรับจริงเหรอ?”
เสิ่นชิงเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดดูไม่เชื่อ จึงตอบด้วยความใจเย็นว่า “ถ้าไม่ยอมรับแล้วทำอะไรได้อีก จะยืนมองโหวเจิ้นติดคุก แล้วได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่สั่งสอนลูกงั้นเหรอ?”
เพื่อนร่วมหอพักของจางเหวินได้ยินแล้วก็พูดด้วยความอิจฉา “ลองดูคนพวกนั้นสิ แม่ขึ้นอยู่กับลูกจริงๆ นะ ยังไงการได้แต่งงานกับตระกูลรองผู้บัญชาการก็ดีกว่ากลับเข้าเมืองแน่ๆ”
“ทำไมเธอไม่หาสักคนมาลองล่ะ?” สาวน้อยที่ชอบเยาะเย้ยจางเหวินพูดเหน็บแนมใส่ทันที
สาวน้อยที่พูดว่าอิจฉาก็หน้าซีดเมื่อได้ยินแบบนี้ “เธออย่าพูดเหลวไหล ฉันไม่ใช่คนง่ายๆ แบบนั้นหรอกนะ”
สาวน้อยที่เยาะเย้ยจางเหวิน “ถ้าไม่ได้เป็นคนแบบนั้นก็อย่าพูดไปเรื่อย การกลับเข้าเมืองจะทำให้เธอเสียใจได้ไง”
สาวน้อยที่นึกอิจฉาได้ยินแล้วยังพึมพำบ่น “การกลับเข้าเมืองไม่ดีเท่ากับการแต่งงานกับพวกเขาจริงๆ นี่”
ใบหน้าของข่งอวิ๋นป๋อมืดลงทันที “ฉันขอเตือนพวกเธอนะ การไม่คิดจะใช้ทางลัดย่อมดีที่สุด มิฉะนั้นใครก็ช่วยพวกเธอไม่ได้”
ทันทีที่ข่งอวิ๋นป๋อพูดเช่นนั้น ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก
เมื่อจางเหวินติดตามผู้อำนวยการหลานไปที่สำนักงานใหญ่ พี่สะใภ้โหวกำลังรอคอยด้วยความหงุดหงิด และทันทีที่เห็นพวกหล่อนเข้ามา หล่อนก็ถามแบบหมดความอดทน “ทำไมถึงใช้เวลานานนัก?”
ผู้อำนวยการหลานพูดว่า “คุณก็รู้ว่าศูนย์ยุวปัญญาชนอยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่มากแค่ไหน”
พี่สะใภ้โหวได้ยินแบบนั้นก็ผงะ หลังจากเงียบไปอีกนานหล่อนก็พูดต่อ “ในเมื่อมาถึงแล้ว งั้นพวกเราก็มาคุยกันเถอะ
ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่ควรให้สินสอดกับเธอ แต่เหล่าโหวของบ้านเราเป็นคนเที่ยงธรรม แม้ว่าเธอจะสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ก็ยังต้องได้รับสินสอด แล้วเธอต้องการสินสอดเท่าไหร่?”
เมื่อจางเหวินรู้ว่าตนสามารถแต่งงานกับครอบครัวอีกฝ่ายได้แล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับตอบคำถามนี้ด้วยท่าทางหวาดๆ “ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณเลยค่ะ”
ใบหน้าที่มึนตึงของพี่สะใภ้โหวดูดีขึ้นมาทันที หล่อนพอใจกับคำตอบนี้ของจางเหวิน เพราะคิดว่านอกจากหล่อนจะไม่รักตัวเองแล้ว หล่อนยังค่อนข้างตระหนักรู้ในฐานะตนเองอยู่บ้าง
“งั้นก็ตามนี้แหละ พวกเราจะไม่เอาเปรียบแม้ว่าเธอจะเป็นคนต่างถิ่น เราจะให้สินสอดเธอเท่ากับสินสอดที่หมู่บ้านมักจะให้เจ้าสาว”
จางเหวินตอบโดยไม่ต้องคิด “ตกลงค่ะ”
ในทางกลับกัน หลี่ฟางได้ยินแล้วรู้สึกกังวลมาก เพราะธรรมเนียมของหมู่บ้านให้สินสอดเพียง 30 หยวนในการแต่งสะใภ้ และมีการมอบเสื้อผ้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งอยู่ในสภาพดี และอีกชิ้นอาจจะอยู่ในสภาพไม่ดีก็ได้
แต่จางเหวินเป็นสาวน้อยที่สวยที่สุดในศูนย์ยุวปัญญาชนจะแต่งงานแบบธรรมดาขนาดนี้ได้อย่างไร ในจังหวะที่หล่อนจะก้าวไปข้างหน้า จางเหวินก็รั้งเอาไว้ก่อน เพราะสุดท้ายแล้วหล่อนก็ได้แต่งงาน จึงไม่สามารถปล่อยให้ความสำเร็จจบลงเพราะเรื่องสินสอดได้
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งดำเนินไปโดยราบรื่น พี่สะใภ้โหวก็ไม่อยู่นานนัก หล่อนแจ้งเวลาส่งสินสอดให้แก่ผู้อำนวยการหลานแล้วจากไปทันที เมื่อหล่อนไปแล้ว หลี่ฟางก็อดพูดไม่ได้ว่า “นี่จะรังแกกันเกินไปแล้ว”
จางเหวินก้มหน้าลงแล้วกระซิบว่า “มันน่าอายพอแล้ว หยุดสร้างปัญหาเถอะ”
คำพูดนี้ทำให้ผู้อำนวยการหลานมองหล่อนด้วยความประหลาดใจ “ฉันไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะมีสติขนาดนี้ได้”
จางเหวินยิ้มขมขื่นและได้แต่เงียบ
พริบตาเดียวก็มาถึงวันที่โหวเจิ้นส่งมอบสินสอดและแต่งงานกัน เนื่องจากจางเหวินท้องได้หกเดือนกว่าๆ แล้วจึงไม่สามารถรอได้อีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีข่าวลือข้างนอกว่าโหวเจิ้นไม่ต้องการหล่อน และเพื่อทำให้โหวเจิ้นพ้นจากข้อกล่าวหานี้ รองผู้บัญชาการโหวและพี่สะใภ้โหวจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องจัดงานแต่งงานทันที และภายในงานก็มีเกือบทุกคนจากลานบ้านพักกับในหมู่บ้านมาร่วมสนุกกัน
แม้ว่าหลินเจี้ยนเยี่ยกับรองผู้บัญชาการโหวจะมีความคิดสวนทางกัน แต่งานแต่งงานก็เป็นงานมงคล และเกือบทุกคนในลานบ้านพักก็มาร่วมงาน สวี่ม่ายซุ่ยก็ตามมาด้วย
ในเวลานี้เธอกำลังรวมตัวกับพวกภรรยาหมาจื่อเพื่อดูความรื่นเริง
“ดูสิ ดูหน้าพี่สะใภ้โหวนั่นสิ”
แม่หู่จือพูดว่า “เฮอะๆ เป็นรอยยิ้มที่ฝืนใจมากนะ”
หลี่ต้านีรีบใช้ศอกกระทุ้งเตือนทันที “เธอเบาเสียงหน่อย เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก”
แม่หู่จือพูดว่า “กลัวทำไมล่ะ เสียงดังวุ่นวายขนาดนี้ใครจะได้ยิน”
“พวกเธอมองไปที่โต๊ะหลักนั่นสิ ทำไมฉันถึงจำผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้เลยนะ?”
หลี่ต้านีพูดว่า “เพราะเธอไม่รู้จักน่ะสิ พวกนั้นไม่ใช่คนบนเกาะของเรา น่าจะเป็นภรรยาของผู้นำ”
แม่หู่จือ “โอ้ ถึงว่าดูดีมากเลย พวกเขาก็สามารถเชิญภรรยาของผู้นำมาได้เชียวนะ”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารองผู้บัญชาการโหวกำลังทำอะไรอยู่ เขาอยู่ได้โดยการประจบสอพลอนั่นแหละ”
ขณะที่บทสนทนาของพวกเธอเริ่มร้อนแรงขึ้น ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะหลักยืนขึ้น เมื่อเดินไปรอบๆ กลุ่มคนแล้วก็เดินตรงมาทางพวกเธอ ในตอนแรกพวกเธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อสวี่ม่ายซุ่ย ถึงได้ตระหนักว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาที่โต๊ะพวกตน
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
งานแต่งล้างอายครั้งนี้จะมีเรื่องวุ่นวายอะไรหรือเปล่านะ ผู้หญิงคนนั้นมาหาม่ายซุ่ยทำไม
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION