ตอนที่ 232 ธุรกิจระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือด
“กินไม่ไหวก็ไม่ต้องกินแล้ว”
เฉินซินอี๋ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว หล่อนก็โกรธมากจนอยากกระโจนไปข่วนหน้าเขา “คุณโกหกเรื่องที่หมู่บ้านพวกคุณใช่ไหม…”
สวี่ม่ายเฉิงพูดว่า “โกหกคุณนั่นแหละ ผมแค่ไม่อยากให้คุณกินทิ้งกินขว้าง นอกจากนี้เราอยู่ด้วยกันสองคน ผมจึงไม่อยากกินอาหารที่เหลือของคุณ มิฉะนั้นจะเหมือนว่าผมเอาเปรียบคุณ”
เฉินซินอี๋พูดว่า “แล้วคุณยังกล้ากินกุ้งที่เหลือจากฉันอีกเหรอ?”
สวี่ม่ายเฉิงพูดว่า “ผมเห็นว่าตะเกียบของคุณไม่ได้แตะโดนกุ้ง จึงไม่นับว่าเป็นการเอาเปรียบคุณไง”
เฉินซินอี๋พูดไม่ออก “…”
เจ้าคนประหลาดนี้มาจากไหน ช่วยส่งเขากลับไปเร็วๆ ได้ไหม
สวี่ม่ายเฉิงไม่รู้ว่าเฉินซินอี๋กำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เขาอยากจะส่งหล่อนกลับไปโดยเร็วที่สุด จากนั้นเขาจะได้กลับบ้านเพื่อท่องจำคำศัพท์ เพราะวันนี้เสียเวลาไปเยอะแล้ว เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะท่องจำคำศัพท์สักคำเลย
“ไปกันเถอะ” พูดจบแล้วเขาก็ช่วยให้เฉินซินอี๋ยืนขึ้นโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็มองรองเท้าส้นสูงของหล่อนโดยไม่พูดอะไร
ครั้งนี้เฉินซินอี๋ได้เรียนรู้บทเรียนและถอดรองเท้าออกด้วยความมีสติโดยไม่รอให้เขาได้สั่ง หล่อนถือกล่องอาหารไว้ ส่วนเขาใช้มือหนึ่งถือรองเท้าให้หล่อน และมืออีกข้างก็ช่วยพยุงหล่อน จากนั้นทั้งสองก็ค่อยๆ เดินออกไป
เมื่อมาถึงบ้านสวี่ม่ายซุ่ยก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สวี่ม่ายซุ่ยกำลังซักผ้าอยู่ “พี่ ผมเอากล่องอาหารมาคืน”
“วางไว้ตรงไหนก็ได้ เดี๋ยวฉันค่อยล้าง”
สวี่ม่ายเฉิงวางกล่องอาหารไว้ด้วยความเชื่อฟัง จากนั้นเดินไปหาสวี่ม่ายซุ่ยแล้วถามว่า “พี่มีรองเท้าที่ไม่ค่อยได้ใส่แล้วบ้างไหม? ให้ผมยืมสักคู่เถอะ”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากการขยี้เสื้อผ้าด้วยซ้ำ “เอาไปทำไม?”
“ใครบางคนไม่มีรองเท้าส้นแบนน่ะ ผมเลยมาขอยืมพี่ก่อน ถ้าส่งหล่อนกลับไปแล้ว ผมจะเอามาคืนให้พี่”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขากำลังพูดถึงใครอยู่ เธอจึงหยุดแล้วเงยหน้าขึ้นถามว่า “นายไม่ได้พาคนนั้นกลับมาด้วยเหรอ?”
สวี่ม่ายเฉิงตอบว่า “พามาด้วยแต่ให้รอข้างนอก เพราะข้อเท้าของหล่อนได้รับบาดเจ็บและไม่สะดวกที่จะเข้ามาน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยไม่ได้ถามมากอีก เธอแค่เดินเข้าบ้านเพื่อไปหารองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งแล้วบอกว่า “เพิ่งซื้อมาใหม่ ยังไม่เคยใส่เลย”
สวี่ม่ายเฉิงพูดว่า “ไม่ต้องหรอก แค่หาคู่ที่พี่ไม่ค่อยได้ใส่ก็พอ”
สวี่ม่ายซุ่ยตวัดสายตาใส่เขาด้วยความหงุดหงิด “นายคิดว่าสาวน้อยคนนี้จะไม่ได้สนใจอะไรเลยเหมือนนายน่ะเหรอ ฉันซื้อมาสิบห้าหยวน เห็นแก่ที่เราเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน ฉันจะคิดเงินนายสิบหยวนก็พอ”
สวี่ม่ายเฉิงพูดด้วยความไม่เชื่อ “ผมเป็นน้องชายของพี่จริงเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ถ้านายไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของฉัน งั้นฉันจะคิดเงินนายสิบห้าหยวน รีบจ่ายมาสิ”
สวี่ม่ายเฉิงได้ยินแบบนี้ก็รีบให้เงินสิบหยวนแก่เธอด้วยความไม่เต็มใจ “เราเป็นพี่น้องแม่เดียวกันแท้ๆ เราเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันจริงๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชม นายรอก่อนนะ เดี๋ยวเอากุ้งกลับไปด้วย”
เมื่อเช้านี้สวี่ม่ายซุ่ยไปตลาดและซื้อกุ้งหนึ่งกะละมังเล็ก เดิมทีเธออยากเก็บไว้ทำกะปิ แต่บังเอิญว่าสวี่ม่ายเฉิงกลับมา เธอจึงจะให้เขาเอากลับบ้านและเพิ่มผักให้ด้วย
สวี่ม่ายเฉิงก็ไม่เกรงใจ เขาหยิบกุ้งแล้วเดินออกไปทันที และเมื่อเขาเดินออกไปข้างนอก ก็เห็นเฉินซินอี๋นั่งอยู่ที่เบาะหลังด้วยความสงบพลางเหม่อมองไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เหม่อไปถึงไหนแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงสวี่ม่ายเฉิงเรียก เฉินซินอี๋ก็กลับมามีสติอีกครั้ง
“ใส่ซะสิ”
เมื่อเห็นว่าเฉินซินอี๋จ้องมองรองเท้าโดยไม่ขยับ สวี่ม่ายเฉิงก็คิดว่าหล่อนรังเกียจ จึงรีบอธิบายว่า “เป็นของใหม่ ยังไม่เคยใส่”
เฉินซินอี๋ตอบขณะรับรองเท้ามาถือไว้ “ฉันไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ แค่ยังงงๆ อยู่น่ะ” พูดจบแล้วก็รีบใส่รองเท้า จากนั้นหย่อนรองเท้าของตัวเองลงในถุงผ้าที่สวี่ม่ายเฉิงยื่นให้
“รองเท้าคู่นี้ราคาเท่าไหร่ ฉันจะจ่ายให้คุณ”
สวี่ม่ายเฉิงพูด “สิบหยวน ถึงบ้านแล้วค่อยจ่ายให้ผม”
พูดจบแล้วเขาก็พาดขาขึ้นคร่อมจักรยานแล้วพาหล่อนออกไป
เพราะสวี่ม่ายเฉิงขี่จักรยานมาที่นี่ เขาไม่สามารถปล่อยให้หล่อนเดินกลับคนเดียวได้ จึงต้องส่งหล่อนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ แต่เมื่อเห็นทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าอยู่นั้น สวี่ม่ายเฉิงก็แปลกใจ “คุณเป็นสมาชิกในครอบครัวทหารด้วยเหรอ?”
เฉินซินอี๋ตอบว่า “อืม พ่อของฉันเป็นทหารน่ะ”
สวี่ม่ายเฉิงพูดว่า “ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร เอาล่ะ งั้นคุณก็ให้พวกเขาพาคุณกลับนะ ผมไปล่ะ”
พูดจบแล้วเขาก็หันจักรยานกลับแล้วปั่นจากไปโดยไม่หันมามอง
เฉินซินอี๋ยืนอยู่ที่เดิมพลางเฝ้ามองสวี่ม่ายเฉิงห่างออกไปเรื่อยๆ จากนั้นหล่อนจึงหันหลังและเดินเข้าลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ แต่พอไปถึงประตูก็จำได้ว่ายังไม่ได้ให้เงินค่ารองเท้า พอจะหันกลับไปเรียก เขาก็หายไปไกลแล้ว “ไม่รู้ว่าเขาจะเครียดจนนอนไม่หลับไหมนะ”
“แต่คนปากร้ายแบบเขานอนไม่หลับบ้างก็ดี” เฉินซินอี๋คิดชั่วร้าย แต่ก็ตระหนักได้ว่ารองเท้าคู่นี้ราคาไม่ถูก จึงคิดว่ากลับไปแล้วจะปรึกษาพ่อ ให้พ่อช่วยจ่ายเงินส่วนนี้คืนหล่อนหน่อย
หลังจากระดมความคิดแล้ว หล่อนก็เริ่มมองหาคนที่จะช่วยส่งตนกลับบ้าน และเมื่อมาถึงบ้านแล้วก็พบว่าครอบครัวของหล่อนกำลังร้อนใจแทบบ้า “แกหายไปไหนตั้งนานสองนาน ทำไมเพิ่งกลับมา?”
“ทำไมเท้าแกเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เฉินซินอี๋ถูกแม่ช่วยประคองไปนั่งที่โซฟาแล้วตอบว่า “ไม่อยากจะพูดถึงเลยค่ะ แต่โหวเจิ้นคนนั้นไม่เห็นดีเหมือนที่พ่อคุยโวไว้เลย พอฉันไปที่นั่น ก็มีคนมากมายมาหาเขา แล้วบอกว่าเขาทำผู้หญิงท้อง พอเห็นแบบนี้ฉันจึงรีบเผ่นออกมา แต่เพราะสวมรองเท้าส้นสูงจนทำให้ข้อเท้าแพลงน่ะค่ะ
โชคดีที่ฉันได้พบกับคนใจดีจึงช่วยมาส่งฉันถึงบ้าน”
แม่เฉินได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจ “คนใจดีไปแล้วเหรอ? ถ้ายังไม่ไป งั้นก็รีบเชิญเข้ามา จะได้ขอบคุณตามสมควรไงล่ะ”
เฉินซินอี๋ตอบว่า “ไปแล้วค่ะ”
“พ่อจะกลับมาเมื่อไหร่คะ พอดีว่าเขายืมรองเท้าของพี่สาวให้หนูใส่แทน ถ้าพ่อไปตรวจที่เกาะอีกครั้ง จะได้ช่วยเอาเงินไปจ่ายคืนให้ฉันด้วย”
แม่เฉินพูดว่า “ได้ ถ้าถึงเวลาแล้วฉันจะบอกเขาให้”
หลังจากการเดินทางอันยาวนานบนเกาะ ทำให้เฉินซินอี๋เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ “แม่ งั้นฉันขอกลับห้องก่อนนะคะ”
แม่เฉินมองลูกสาวที่สดใสงดงามยามออกจากบ้าน แต่พอกลับเข้าบ้านก็เต็มไปด้วยฝุ่น มิหนำซ้ำยังเดินกะโผลกกะเผลกอีก ทำให้ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์และพูดว่า “เดี๋ยวตอนกินมื้อเย็น ฉันจะไปเรียกนะ”
เมื่อเฉินซินอี๋ได้ยินเกี่ยวกับการกินข้าวอีกครั้ง หล่อนก็รีบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ไม่ต้องเรียกนะคะ ปล่อยให้ฉันนอนดีกว่า”
เพราะอาหารมื้อเที่ยงที่หล่อนกินยังย่อยไม่หมดเลย
เมื่อแม่เฉินได้ยินว่าหล่อนไม่อยากกินข้าว หัวใจของคนเป็นแม่ก็ปวดร้าวยิ่งขึ้น หล่อนอดไม่ได้ที่จะตำหนิสามีว่าแนะนำผู้ชายแย่ๆ ให้ลูกสาวตัวเอง
รองผู้บัญชาการโหวไม่เคยนึกถึงผลลัพธ์นี้มาก่อน เพราะไม่เพียงจะไม่ได้ปีนขึ้นกิ่งไม้สูง แต่ยังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคืองมากๆ ด้วย
หลังจากที่รองผู้บัญชาการโหวได้โทรหาเสนาธิการเฉินแล้ว ใบหน้าที่เดิมทียิ้มแย้มของเขาก็เริ่มมืดมน เขาเอนกายนั่งบนเก้าอี้และยกมือลูบหัวสักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นและโทรศัพท์อีกครั้ง
“ช่วยตรวจสอบจางเหวิน ยุวปัญญาชนจากสมาคมชิงซานให้ฉันหน่อย” หลังจากวางสายแล้วรองผู้บัญชาการโหวก็ออกไป
ตอนที่รองผู้บัญชาการโหวออกไป ทางด้านพี่สะใภ้โหวก็ไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อพบหัวหน้าใหญ่และผู้อำนวยการหลาน โดยพูดด้วยความไม่เต็มใจว่าจะแต่งจางเหวินเป็นสะใภ้
ผู้อำนวยการหลานได้ยินแล้วจึงยิ้มออก “อย่าหาว่าฉันพูดมากเลยนะคุณนายโหว แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกคุณทำแบบนี้ก็ถูกต้องแล้วล่ะ มิฉะนั้นถ้าเราปล่อยให้จางเหวินไปก่อปัญหาในเมือง โหวเจิ้นของครอบครัวคุณจะถูกตัดสินว่าเป็นอันธพาล แล้วคุณกับรองผู้บัญชาการโหวจะจัดการยังไง?
คุณดูสิว่าตอนนี้ได้เปรียบขนาดไหน ไม่เพียงแต่คุณจะได้ลูกสะใภ้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่หลานชายคนโตก็จะคลอดเร็วๆ นี้แล้วด้วย”
หากมีสิ่งใดเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้ที่ทำให้หล่อนพอใจได้ ก็คงจะมีแค่เรื่องครรภ์ของจางเหวินเท่านั้น
“จางเหวินอยู่ไหน? คุณช่วยเรียกหล่อนมาหน่อย ฉันจะคุยกับหล่อนเรื่องสินสอด”
ผู้อำนวยการหลานถึงขั้นตกตะลึง “พวกคุณยังอยากจะให้สินสอดอยู่เหรอ?”
พี่สะใภ้โหวตอบด้วยความโกรธ “แน่นอนอยู่แล้วสิ ครอบครัวเราจริงจังกับการแต่งลูกสะใภ้ เราจะไม่ให้สินสอดได้ไง”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นเรื่องใหญ่แล้วไหม บ้านฝ่ายหญิงที่ไปทาบทามเป็นสะใภ้ก็ยศใหญ่เสียด้วย บ้านโหวเตรียมโดนบอยคอตเลย
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION