ตอนที่ 230 รองผู้บัญชาการโหวโกรธมาก
“พี่เอากล่องอาหารมาทำไม?” สวี่ม่ายเฉิงมองกล่องอาหารที่พี่สาวนำมาแล้วถามด้วยความสงสัย
สวี่ม่ายซุ่ยกำลังคีบผักใส่ช่องหนึ่งแล้วตอบว่า “จะเก็บไว้ให้สาวน้อยคนนั้นน่ะ แม้นายจะไม่คุ้นเคยกับอีกฝ่ายมากนัก แต่ในเมื่อช่วยเหลือหล่อนมาแล้ว จะช่วยเหลือแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ ดังนั้นต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
สวี่ม่ายเฉิงเบะปาก “คนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าหล่อนเป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่นะ”
“เอากุ้งให้หล่อนหน่อย แค่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าหล่อนเป็นลูกคุณหนู คงจะชอบกินสิ่งนี้แน่ๆ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแบบนี้ก็กลอกตาใส่เขา จากนั้นจึงหันไปคีบกุ้งใส่กล่องอาหาร
“ขอซี่โครงหมูด้วย มันบำรุงร่างกายได้ดี”
สวี่ม่ายซุ่ยมองท่าทางเจ้ากี้เจ้าการของเขา เธอจึงตวัดสายตามองด้วยความรำคาญ “ฉันรู้แล้วน่า ไม่ต้องให้นายบอกหรอก”
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังเถียงกัน พวกหลินเซียวก็กลับมาจากข้างนอก และเมื่อเห็นสวี่ม่ายเฉิง เขาก็ตื่นเต้นมากๆ
“น้าเล็ก”
สวี่ม่ายเฉิงก็มีความสุขมากที่ได้พบพวกหลานๆ เขาคุกเข่าลงและกางแขนออก ทันใดนั้นก็รวบหลานชายทั้งสองขึ้นมาอุ้มได้แล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่การแสดงออกแสนภาคภูมิใจของสวี่ม่ายเฉิง แล้วอดพูดไม่ได้ว่า “นายระวังหน่อย อย่าทำให้พวกเขาเจ็บล่ะ”
สวี่ม่ายเฉิง “ไม่ตกหรอกน่ะ”
ตอนนี้หลินเจี้ยนเยี่ยล้างมือเสร็จก็เดินเข้ามา เมื่อเขาเห็นสวี่ม่ายเฉิงอยู่ด้วย เขาก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยท่าทางอบอุ่นมาก “ม่ายเฉิงมาแล้วเหรอ”
สวี่ม่ายเฉิงรีบวางหลินเซียวกับหลินฟานลง จากนั้นทักทายกลับด้วยความจริงใจ “พี่เขย”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบรับ “อืม” และบอกให้สวี่ม่ายเฉิงนั่งลง “คราวนี้นายอยู่ที่นี่ได้กี่วันเหรอ?”
สวี่ม่ายเฉิงตอบว่า “ไม่ได้ค้างหรอก ผมแค่มาแจ้งข่าวแก่พี่สาว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วผมจะกลับครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “ลูกชายคนเล็กของลุงใหญ่จะแต่งงานในเดือนเมษายนน่ะ”
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินแล้วรู้สึกประหลาดใจ “แต่งงานเร็วขนาดนั้นเชียว? ผมจำได้ว่าเขาอายุพอๆ กับม่ายเฉิงไม่ใช่เหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “แก่กว่าม่ายเฉิงปีเดียว แต่คุณอย่าพูดถึงเขาเลย ไม่งั้นคุณจะโดนดักคอว่าอย่ารีบ”
สวี่ม่ายเฉิงพูดว่า “พี่อ่า~”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “พอแล้ว ไม่ต้องพูด”
หลังจากที่ทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จแล้ว หลินเจี้ยนเยี่ยก็ปล่อยให้สวี่ม่ายซุ่ยคุยกับสวี่ม่ายเฉิง ส่วนตัวเองก็เก็บโต๊ะและล้างจาน
ทันทีที่หลินเจี้ยนเยี่ยออกไปแล้ว สวี่ม่ายเฉิงก็ทนรอไม่ไหว “พี่เอาของมาให้ผมเถอะ ผมต้องไปแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “เพิ่งจะมาได้ไม่นานเอง นั่งเล่นสักพักก่อนสิ”
สวี่ม่ายเฉิง “ผมก็อยากนั่งเล่นเหมือนกัน แต่ยังมีคนหิวรออยู่ที่นั่น”
เมื่อเห็นท่าทางของสวี่ม่ายเฉิงแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยก็อดพูดติดตลกไม่ได้ “เมื่อครู่นายไม่สนใจไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้กังวลมากล่ะ”
สวี่ม่ายเฉิงหยิบกล่องอาหารขึ้นมาพลางตอบว่า “พี่คิดมากไปแล้ว ผมแค่กลัวว่าอาหารจะเย็นต่างหาก เดี๋ยวขากลับผมจะแวะเอามาคืนนะ”
พูดจบแล้วก็วิ่งหนีไปที่จักรยานทันที
หลินเจี้ยนเยี่ยได้ยินเสียงดังข้างนอก จึงเงยหน้าขึ้นมองจากทางห้องครัวแล้วถามว่า “ทำไมรีบออกไปแบบนั้นล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบว่า “เพราะกระตือรือร้นในการไปส่งอาหารให้คนอื่นน่ะสิ”
หลินเจี้ยนเยี่ยคิดว่าอีกฝ่ายรีบกลับบ้านเพื่อไปส่งอาหารให้คนอื่น เขาจึงไม่ถามอีก
เขาเปลี่ยนไปถามอีกเรื่องหนึ่งว่า “เกิดอะไรขึ้นกับโหวเจิ้นบ้านรองผู้บัญชาการโหว?”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วถึงขั้นมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “ที่กรมของพวกคุณก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
หลินเจี้ยนเยี่ยตอบว่า “อืม”
สวี่ม่ายซุ่ยตอบโอดครวญว่าข่าวลือนี้แพร่กระจายไปเร็วจริงๆ เธอพูดว่า “มียุวปัญญาชนคนหนึ่งท้อง และพ่อเด็กคือโหวเจิ้นน่ะสิ”
หลินเจี้ยนเยี่ยขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบ เมื่อเห็นเขาสนใจในเรื่องนี้ สวี่ม่ายซุ่ยจึงถามด้วยท่าทางขี้เล่น “คุณคิดว่ารองผู้บัญชาการโหวจะยอมรับเด็กคนนี้ไหม?”
เขาเป็นคนที่ชอบอยู่เหนือคนอื่น แต่เมื่อบ้านของเขาถูกไฟไหม้เสียเอง ไม่รู้ว่าเขาจะสงบสติอารมณ์ได้ไหม
หลินเจี้ยนเยี่ยพูดว่า “ตราบใดที่เด็กคนนี้เป็นลูกของโหวเจิ้น เขาจะต้องยอมรับ”
สวี่ม่ายซุ่ย “ทำไมล่ะ?”
“รองผู้บัญชาการโหวหวงแหนชื่อเสียงหน้าตามากที่สุด แม้จะรักโหวเจิ้น ทว่าตราบใดที่ยุวปัญญาชนคนนั้นปฏิเสธข้อตกลงและไปแจ้งความ ครอบครัวของพวกเขาจะต้องยอมรับไม่ช้าก็เร็ว”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วก็อดพยักหน้าไปด้วยไม่ได้ “สิ่งที่คุณพูดมาก็สมเหตุสมผลจริงๆ”
ในเวลาเดียวกันนี้ ครอบครัวของรองผู้บัญชาการโหวกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายอลหม่าน “ไอ้ลูกสารเลว ไอ้คนไม่มีหัวคิด แกช่างมีความสามารถเหลือเกินนะ กล้าดียังไงไปทำให้ผู้หญิงท้อง แกไม่ไปขึ้นสวรรค์*ล่ะ”
(*ทำไมแกไม่ไปขึ้นสวรรค์ล่ะ หมายถึง จะเก่งอะไรนักหนา)
เมื่อรองผู้บัญชาการโหวกลับบ้านแล้ว เขาก็พับแขนเสื้อขึ้นและหยิบไม้จากกองฟืน ขณะลงมือทุบตีโหวเจิ้นก็ดุด่าเช่นนี้ไปด้วย
ในอดีตโหวเจิ้นได้ทำผิดพลาดมากมาย และทุกครั้งที่เขาทำผิด รองผู้บัญชาการโหวจะสั่งสอนเขาด้วยวิธีนี้ ซึ่งในตอนแรกเขาไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีอย่างไร จึงทำได้แค่ร้องไห้ ต่อมาแม่เล่าให้ฟังว่าพ่อมักจะใช้วิธีตีเพื่อขู่ แต่ไม่ลงมือทุบตีเขาหนักๆ และบอกว่าทุกครั้งที่โดนพ่อตี เขาก็แค่วิ่งหนี ดังนั้นเขาจึงติดนิสัยชอบวิ่งหนีเมื่อพ่อถือไม้ไล่ตีแบบนี้
ในเวลานี้โหวเจิ้นก็รีบปีนขึ้นไปบนกำแพงลานบ้าน รองผู้บัญชาการโหวมองเขาและตะโกนเสียงดังลั่น “แกรีบออกมายืนตรงนี้เลย”
พี่สะใภ้โหวแต่งงานและร่วมใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับรองผู้บัญชาการโหว เมื่อหล่อนมองท่าทางของเขา จึงสามารถบอกได้เลยว่าคราวนี้เขาโกรธจริงๆ หล่อนจึงพยายามโน้มน้าวโหวเจิ้น “แกรีบลงมาก่อนเถอะ คราวนี้พ่อแกโกรธมากจริงๆ”
โหวเจิ้นจึงลงจากกำแพงพร้อมร่างกายที่สั่นสะท้าน เขาค่อยๆ ขยับเข้าหารองผู้บัญชาการโหวด้วยความขี้ขลาด
“คุกเข่า”
โหวเจิ้นได้ยินเช่นนี้แล้วยิ่งตัวสั่น เขาบังคับร่างกายที่ไม่มั่นคงและคุกเข่าลง จากนั้นรองผู้บัญชาการโหวก็ใช้ไม้ตีเขา ขณะเดียวกันก็พูดเสียงคำรามว่า “ฉันปล่อยแกมากเกินไป จนแกมันเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ ตอนนี้แกทำลายชื่อเสียงที่ฉันสั่งสมมาหลายปีจนป่นปี้หมดแล้ว”
เมื่อเห็นว่ารองผู้บัญชาการโหวกำลังจะฆ่าเขา พี่สะใภ้โหวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หล่อนเข้ามาขวางโหวเจิ้นแล้วตวาดลั่น “หยุดตีลูกได้แล้ว ต่อให้คุณฆ่าเขาจนตาย ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว
นอกจากนี้…นอกจากนี้ เด็กคนนั้นอาจไม่ใช่ลูกของโหวเจิ้นก็ได้”
รองผู้บัญชาการโหวมองหน้าพี่สะใภ้โหวที่ยังคงปกป้องลูก เขาจึงยกไม้ในมือชี้หน้าพี่สะใภ้โหวแล้วพูดว่า “ผมยังไม่ได้คิดบัญชีกับคุณเลย คุณยังกล้าที่จะปกป้องเขาอีกเหรอ ถ้าคุณไม่ตามใจเขาจนกลายเป็นคนนอกคอกแบบนี้ เขาคงไม่ทำให้คนอื่นท้องก่อนแต่งหรอก”
เมื่อพี่สะใภ้โหวเห็นว่าเขาโกรธทุกคนชนิดไม่เลือกหน้า หล่อนก็โกรธขึ้นมาบ้าง และโต้ตอบด้วยใบหน้ามืดมน “คุณยังกล้าโทษฉันอีกเหรอ หากคุณไม่เฉยเมยใส่เขาตลอดเวลา เขาจะกลายเป็นแบบนี้ไหม”
เมื่อมองไปที่พี่สะใภ้โหวซึ่งกำลังจ้องเขาแบบไม่ลดละ ใบหน้าของรองผู้บัญชาการโหวก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความโกรธ “ผมผิดเองที่พูดแบบนั้น เอาล่ะ ผมจะไม่เป็นผู้บัญชาการแล้ว ครอบครัวของเราเตรียมกลับไปทำนาได้เลย”
พี่สะใภ้โหวกระตุกมุมปากด้วยความเหยียดหยาม “ถ้าคุณทนได้สิแปลก”
รองผู้บัญชาการโหวมองท่าทางดูแคลนของหล่อนและอยากจะดุด่าหล่อน เขาจึงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “หยุดทำตัวน่าอายข้างนอกได้แล้ว กลับไปคุยกันในบ้านเดี๋ยวนี้”
เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในบ้าน รองผู้บัญชาการโหวก็นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีโหวเจิ้นคุกเข่าอยู่ตรงเบื้องหน้าของรองผู้บัญชาการโหวพร้อมกะพริบตาปริบๆ “เด็กคนนั้นเป็นลูกของแกจริงๆ เหรอ?”
โหวเจิ้นได้ยินแล้วก็เหลือบมองใบหน้าของแม่ด้วยความระมัดระวัง
รองผู้บัญชาการโหวดุเขาด้วยความโกรธ “แม่แกไม่ได้เป็นคนทำ แล้วแกจะมองหน้าแม่ทำไม”
โหวเจิ้นตอบว่า “ก็น่าจะใช่ครับ”
เมื่อเห็นท่าทางชนักปักหลังของโหวเจิ้น รองผู้บัญชาการโหวก็รู้ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเชื้อสายของลูกชายจริงๆ เขาจึงยกมือลูบหัวด้วยความฉุนเฉียว
พี่สะใภ้โหวเห็นแล้วก็ถามด้วยความไม่แน่ใจ “พอจะทำอะไรได้บ้างไหม?”
รองผู้บัญชาการโหวพูดว่า “ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวในช่วงบ่ายคุณไปหารือกับหัวหน้าใหญ่เรื่องการแต่งงานเถอะ”
พี่สะใภ้โหวได้ยินแล้วก็โกรธขึ้นมา “มีเหตุผลใดมิทราบ ฉันจะไม่ทำเด็ดขาด มันเป็นแค่แผนการของนางผู้หญิงสารเลวนั่น หล่อนไม่มีอะไรเลย แต่ฝันอยากจะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลโหวไงล่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ปากบ่นสารพัด แต่ว่างปุ๊บไปหาปั๊บเลยนะม่ายเฉิง
บ้านโหวลุกเป็นไฟแล้วจ้า
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION