ตอนที่ 226 จางเหวินตอบโต้กลับ
ผู้อำนวยการหลานที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดนี้แล้วจะไม่เห็นความรังเกียจในแววตาของพี่สะใภ้โหวได้อย่างไร หล่อนจึงดึงจางเหวินขึ้นมาและพูดโดยไม่เกรงใจอีก “หล่อนกำลังตั้งท้องลูกของโหวเจิ้น คุณคิดว่าเราควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงล่ะ”
การแสดงออกของพี่สะใภ้โหวกลับไม่ได้เปลี่ยนไป หล่อนหันไปมองจางเหวินตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วตอบด้วยถ้อยคำหยาบคาย “คุณไปเจอผู้หญิงท้องโตนี่จากไหน ก็แค่คำพูดโกหกไร้สาระ”
“เธอกำลังพยายามข่มขู่ครอบครัวของเราเหรอ ฉันจะบอกไว้เลย ว่าฉันเจอเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว รีบไสหัวไปซะ อย่ามายืนขวางหูขวางตาที่นี่”
ผู้อำนวยการหลานเห็นท่าทางหยิ่งผยองของพี่สะใภ้โหวแล้วก็โมโหขึ้นมา “คุณไม่หน้าด้านเกินไปหน่อยเหรอ ใครจะอยากข่มขู่คุณมิทราบ ฉันขอย้ำอีกครั้งนะ คุณรีบไปเรียกโหวเจิ้นออกมาเร็วๆ จะดีกว่า มิฉะนั้นพวกเราจะไปแจ้งความ
ฉันจะบอกคุณอีกว่าเรามีพยานบุคคลและหลักฐานทางกายภาพ กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือเมื่อเด็กคลอดออกมาก็หยดเลือดพิสูจน์ความเข้ากันได้กับเลือดของพ่อ ฉันจะดูว่าคุณยังไม่กล้ายอมรับอีกไหม
เมื่อถึงตอนนั้นมันจะไม่ง่ายแบบนี้แล้วนะ ยังไงก็มีหลักฐานที่สามารถจับกุมลูกชายของคุณได้”
นี่คือสิ่งที่ผู้อำนวยการหลานถามสวี่ม่ายซุ่ยก่อนมาที่นี่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธ ผู้อำนวยการหลานจึงพูดแบบใส่อารมณ์ ซึ่งทำให้น่ากลัวมากขึ้น
พี่สะใภ้โหวบังเกิดความลังเลขึ้นมา เพราะหล่อนรู้นิสัยของลูกชายดีที่สุด และเมื่อไม่นานมานี้หล่อนยังรู้ว่าลูกชายออกบ้านแต่เช้าและกลับดึก หล่อนจึงเผลอเหลือบมองจางเหวินอีกครั้ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังร้องไห้อย่างหนักและยังเป็นผู้หญิงแบบที่ลูกชายชอบจริงๆ คิดได้แบบนี้แล้วหล่อนก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น และน้ำเสียงก็เบาลงโดยธรรมชาติ “คุณคิดมาแล้วว่าทำแบบนี้จะได้ผลจริงๆ สินะ แต่ตอนนี้ฉันมีแขกอยู่ที่บ้าน ไว้คืนนี้พวกคุณกลับมาใหม่แล้วกัน”
สีหน้าของจางเหวินเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน หล่อนรีบคว้าแขนของพี่สะใภ้โหวพลางเอ่ยขอร้อง “อาสะใภ้ คุณช่วยให้ฉันเจอโหวเจิ้นหน่อยได้ไหม ฉันแค่อยากจะพูดกับเขาไม่กี่คำเท่านั้น”
โดยปกติพี่สะใภ้โหวไม่ชอบคนประเภทนี้ที่สุด พวกที่ไม่เคารพในศักดิ์ศรีของตัวเองจนนำพาความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวคนอื่น หล่อนจึงขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าโหวเจิ้นไม่อยู่บ้าน เธออายุยังน้อยและไม่รักตัวเองซะเลย ฉันไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอสั่งสอนมายังไง”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของจางเหวินซีดลงอีก “ไม่…ไม่ใช่ฉัน เป็น…เป็นโหวเจิ้น…”
‘ที่บังคับฉัน’
ก่อนที่หล่อนจะทันได้พูดจบ พี่สะใภ้โหวก็ดุหล่อนเสียงดัง “เธอหยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว แม้แต่เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง!”
ตอนนี้เสิ่นชิงยืนอยู่ข้างหลังและทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงตะโกนเข้าไปในลานบ้าน “โหวเจิ้น ถ้านายกล้าก็ออกมาสิ มัวแต่หดหัวเป็นเต่าในกระดองอยู่ในบ้านก็ไม่เกิดประโยชน์หรอกนะ”
โหวเจิ้นที่กำลังเอาใจสาวน้อยอยู่ในบ้านได้ยินแบบนี้แล้วก็เริ่มหมดความอดทนเช่นกัน ซินอี๋เห็นสีหน้าของเขาจึงพูดด้วยความหวังดี “ดูเหมือนว่าเขาจะเรียกหาคุณนะ ทำไมคุณไม่ออกไปดูล่ะ?”
โหวเจิ้นเคยชินกับการเที่ยวเล่นบนเกาะและไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขาด้วย เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ แน่นอนว่าทำให้เขาโกรธและอยากจะแสดงอำนาจต่อหน้าคนรัก ตอนนี้เขาจึงลืมคำสั่งของพี่สะใภ้โหวทั้งหมด และพูดกับซินอี๋เป็นเชิงบังคับ “งั้นคุณก็ออกไปดูกับผมสิ”
เดิมทีซินอี๋ไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นเขามองหล่อนด้วยสายตาคาดหวัง หล่อนจึงอดพยักหน้าไม่ได้
หลังจากที่พาหล่อนเดินออกมาจากบ้านแล้วเห็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่อยู่นอกบ้าน เขาก็รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น แต่ในเมื่อเขายอมออกมาแล้ว ก็จะปล่อยให้คนอื่นหัวเราะเยาะไม่ได้ เขาจึงยกมือเกาท้ายทอยและพาสาวน้อยเดินต่อไป
เมื่อเปิดประตูรั้วและเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก เขาก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้ทันที และเมื่อจางเหวินเห็นโหวเจิ้นยืนอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ชี้ไปที่ซินอี๋และตวาดลั่น “หล่อนเป็นใคร?”
โหวเจิ้นเห็นท่าทางเสียสติของจางเหวินแล้วก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาเข้ามายืนขวางหน้าของซินอี๋โดยอัตโนมัติ “เธออย่าชี้หน้าใครไปเรื่อย”
จางเหวินยิ้มขมขื่นออกมา “ฉันไม่ได้ชี้ไปเรื่อย นายต้องบอกฉันว่าหล่อนเป็นใคร?”
โหวเจิ้นตอบแบบไม่ลังเลว่า “คนรักของฉันเอง”
ซินอี๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังของโหวเจิ้นได้ยินแล้วก็พลันขมวดคิ้ว เพราะหล่อนเคยพบกับโหวเจิ้นเพียงสองครั้ง แล้วหล่อนไปเป็นคนรักของเขาตั้งแต่เมื่อไร?
ก่อนที่หล่อนจะได้ปฏิเสธ จางเหวินก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว หล่อนไม่สนใจท้องที่โตและวิ่งปรี่เข้าใส่อีกฝ่ายเพื่อตบตี “โหวเจิ้น นายยังมีหัวใจอยู่ไหม ถ้าหล่อนเป็นคนรัก แล้วฉันเป็นอะไรสำหรับนาย”
โหวเจิ้นยืนขวางหน้าซินอี๋จึงสามารถหยุดจางเหวินได้ทัน เขาตอบด้วยโทสะ “เธอไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น อย่าคิดว่าการที่เธอพาคนมากมายมาก่อปัญหาหน้าบ้านฉันแล้วฉันจะยอมรับ บอกไว้เลยว่าฝันไปเถอะ ระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอออกไปจากที่นี่ซะ”
จางเหวินมองโหวเจิ้นซึ่งเปลี่ยนสีหน้าไปโดยสิ้นเชิงและรู้สึกเสียใจสุดซึ้ง ตอนนี้หล่อนสงบลงแล้ว พลางจ้องหน้าโหวเจิ้นแล้วถามว่า “ฉันไม่ใช่คนที่ถูกเลือกใช่ไหม?”
โหวเจิ้นพูดว่า “ใช่”
ทันทีที่คำตอบนี้ดังขึ้นมา จางเหวินก็ง้างมือตบหน้าโหวเจิ้น “ไอ้เดรัจฉาน”
โหวเจิ้นคาดไม่ถึงว่าจางเหวินจะกล้าตบหน้า เขาจึงยกมือกุมหน้าและมองหล่อนด้วยความเคียดแค้น พี่สะใภ้โหวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นว่าโหวเจิ้นถูกตบ สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปทันทีและเริ่มผลักจางเหวินบ้าง “เธอจะทำร้ายคนอื่นโดยไร้เหตุผลได้ไง”
เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้โหวกำลังจะลงไม้ลงมือบ้าง สหายหญิงจากศูนย์ยุวปัญญาชนก็มาล้อมรอบเพื่อปกป้องจางเหวินไว้ตรงกลางและตะโกนใส่พี่สะใภ้โหวว่า “คุณคิดจะทำอะไร ก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าหล่อนเป็นหญิงมีครรภ์”
พี่สะใภ้โหวแค่นเสียงหัวเราะเยาะ “บ้าแล้วเหรอ สำหรับคนที่ท้องก่อนแต่งแบบหล่อน จะถูกเรียกว่าหญิงมีครรภ์ได้ไง
ถ้าฉันเป็นเธอนะ ฉันจะต้องหาสถานที่ลับๆ มาต่อรอง แต่เธอกล้าให้คนมากมายรับรู้แบบนี้ ไม่กลัวขายหน้าเลยเหรอ”
จางเหวินไม่ใช่คนที่ใครจะดูถูกได้ง่ายๆ แม้ว่าในอดีตหล่อนจะเป็นดอกบัวขาวน้อยเพื่อทำให้คนอื่นเห็นใจ ให้ทำตัวน่ารักก็จะทำ แต่ถ้าตอนนี้หล่อนไม่สู้ หล่อนก็จะสูญเสียทุกสิ่งไปในพริบตา หล่อนจึงไม่เสแสร้งอีกต่อไป
หล่อนยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าและพูดกับพี่สะใภ้โหวว่า “ใช่ ฉันมันก็เป็นแบบนี้แหละ ทำไมฉันจะต้องกลัวขายหน้าด้วยล่ะ”
พูดจบแล้วหล่อนก็หันหลังและตะโกนบอกฝูงชนที่มาชมความสนุกว่า “ฉันท้อง และเด็กในท้องก็เป็นลูกของโหวเจิ้น ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนนึกหัวเราะเยาะฉันอยู่ และคิดว่าฉันไม่รักตัวเอง แต่ความจริงแล้วฉันก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน ตอนนั้นฉันยังมีคนรักซึ่งเป็นสหายจากศูนย์ยุวปัญญาชน ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็รู้เรื่องนี้ด้วย แต่เพราะเห็นว่าฉันสวย ทำให้โหวเจิ้นมักจะตามตอแยฉันอยู่เสมอ พอฉันไม่ยอม เขาก็ใช้กำลังข่มเหงฉัน”
ขณะที่พูด น้ำตาก็เริ่มหลั่งรินออกมา
“ตอนนั้นฉันมืดแปดด้านจนคิดจะแจ้งความด้วยซ้ำ แต่โหวเจิ้นบอกว่าพ่อของเขาเป็นรองผู้บัญชาการทหารและการแจ้งความของฉันจะไร้ประโยชน์ ฉันควรจะยอมเชื่อฟังเขา และเมื่อถึงเวลาเหมาะสม เขาจะแต่งงานและให้สถานะแก่ฉันด้วย
ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก และก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเห็นด้วย ฉันจึงบอกเลิกคนรักจากศูนย์ยุวปัญญาชน ที่ฉันพูดออกมาทั้งหมดเป็นความจริงใช่ไหม”
เสิ่นชิงมองไปยังจางเหวินที่หมดหนทาง ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ ถ้าข่งอวิ๋นป๋อไม่รั้งเขาไว้ เขาก็คงจะก้าวไปข้างหน้าและทุบตีผู้ชายคนนั้นแล้ว
“ตอนที่ฉันอยู่กับโหวเจิ้น เขาดีกับฉันมากและหว่านล้อมให้ฉันนอนกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันคิดว่าเขาบอกครอบครัวของเขาแล้วด้วย ฉันจึงรอให้เขามาขอแต่งงานด้วยความสุขทุกวัน แต่ไม่คิดว่าข่าวที่ฉันรอฟังจะกลายเป็นว่าเขาอยู่กับคนอื่นจริงๆ”
ซินอี๋ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของโหวเจิ้นก็ได้ฟังจางเหวินพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายแล้วหล่อนก็ตอบโต้บ้าง “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับโหวเจิ้นเลย ฉันไม่ใช่คนรักของเขาด้วย”
โหวเจิ้นได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนใจขึ้นมา เขารีบหันกลับไปและอธิบายว่า “ซินอี๋อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของหล่อน ผมไม่ได้บังคับ แต่หล่อนเต็มใจเองต่างหาก”
พี่สะใภ้โหวได้ยินแล้วบันดาลโทสะจนอยากจะตบลูกชายที่ไร้สมองให้ตายไปเดี๋ยวนี้ เพราะการพูดแบบนี้เป็นการยอมรับว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันจริงๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รอดูผลลัพธ์เลยว่าบ้านรองผบ. โหวจะแตกในคราวนี้หรือเปล่า ลูกชายทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION