ตอนที่ 225 มาเยือนถึงบ้าน
เมื่อชื่อนี้หลุดออกมา ทุกคนก็ต้องขมวดคิ้ว
“โหวเจิ้นเหรอ? ลูกชายของรองผู้บัญชาการโหวใช่ไหม?” ผู้อำนวยการหลานถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จางเหวินเงยหน้าขึ้นมองหล่อน จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความระมัดระวัง
ผู้อำนวยการหลานหัวเราะเยาะ “เธอหาคนได้เก่งมากนะ ใครไม่รู้บ้างว่าโหวเจิ้นเป็นหนุ่มเจ้าชู้ของหมู่บ้านเรา มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้านที่ถูกเขาล่อลวง แต่เธอเป็นคนเดียวที่ถูกหลอกสำเร็จ”
หัวหน้าใหญ่หน้านิ่วคิ้วขมวด เขาหยิบยาสูบขึ้นมาพลางเอ่ยขัดจังหวะ “หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นโหวเจิ้น ก็รีบไปตามเขามาเถอะ”
ผู้อำนวยการหลานย้อนถาม “ใครจะไปล่ะ?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ ก็ทำให้ทั้งห้องที่เดิมทีมีชีวิตชีวาพลันเงียบลง เพราะไม่มีใครอยากยกมือเสนอตัว
เนื่องจากคนในหมู่บ้านไม่ต้องการติดต่อกับคนในลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ เพราะรู้สึกเหมือนพวกเขาชอบดูถูกคนอื่นด้วยการใช้สายตาสูงส่งจ้องมอง
แม้ฝ่ายยุวปัญญาชนกล้าที่จะไป แต่ไม่มีใครอยากทำงานไร้ค่าเช่นนี้
สายตาของทุกคนจึงค่อยๆ เบนไปทางสวี่ม่ายซุ่ย เพราะไม่มีใครไม่ทราบว่าเธอมาจากลานบ้านพักเจ้าหน้าที่
เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองมาที่ตน สวี่ม่ายซุ่ยก็แบมือออกแล้วยักไหล่ “ฉันก็ไม่อยากไปเหมือนกัน”
ผู้อำนวยการหลานพูดไม่ออก “…”
หัวหน้าใหญ่ก็เช่นกัน “…”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดต่อ “เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างยุวปัญญาชนกับสำนักงานใหญ่ ถ้าให้หนึ่งในกลุ่มพวกคุณพูดก็ดีกว่าให้ฉันพูดนะ”
หัวหน้าใหญ่ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูดกับผู้อำนวยการหลานว่า “เธอและเสี่ยวข่งไปด้วยกันสองคนเถอะ”
ผู้อำนวยการหลานแสดงท่าทางรังเกียจและพูดว่า “หัวหน้าใหญ่ ภรรยาของรองผู้บัญชาการโหวคือใครคุณก็รู้ดี คุณคิดว่าด้วยความสามารถของหล่อนในการให้ท้ายลูกตัวเอง เราจะเรียกเขามาที่นี่ได้ไหมคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วหัวหน้าใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะยกกล้องยาสูบเข้าปากอีกครั้งหลังได้ยินว่าสวี่ม่ายซุ่ยก็ไม่อยากยุ่งเรื่องบ้านรองผู้บัญชาการโหว หลังจากคิดดูแล้วเขาก็พูดว่า “ในเมื่อเราไม่สามารถเชิญคนมาได้ งั้นเราก็ไปถึงที่เลย”
ทุกคนรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี เพราะยังไงแล้วการมีจำนวนมากกว่าย่อมแข็งแกร่งกว่า และด้วยมีผู้คนมากมาย จะทำให้แม้แต่รองผู้บัญชาการโหวก็หมายหัวไม่ถูก
เมื่อมีความคิดนี้แล้ว ทุกคนจึงวางแผนที่จะไปที่บ้านรองผู้บัญชาการโหวเพื่อขอคำอธิบาย และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน สวี่ม่ายซุ่ยจึงเดินไปหาจางเหวินและยืนยันอีกครั้ง “เธอแน่ใจไหมว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของโหวเจิ้น?”
หล่อนยอมรับต่อหน้าคนจำนวนมากแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อต้องยืนยันอีกครั้ง หล่อนจึงรู้สึกเครียดน้อยลงมากและพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หล่อนก็ไม่สามารถปกปิดได้อีก และหล่อนยังต้องการแต่งงานกับโหวเจิ้นด้วย
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินแล้วจึงพูดว่า “เอาล่ะ ขอแค่เธอแน่ใจก็ลุยเลย”
พูดจบแล้วคนกลุ่มใหญ่ก็เดินไปที่บ้านของรองผู้บัญชาการโหวด้วยท่าทางองอาจ
แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง ผู้อำนวยการหลานก็จับแขนของสวี่ม่ายซุ่ยแล้วพูดด้วยความประหม่า “เธอคิดว่าภรรยาของรองผู้บัญชาการโหวจะยอมไหม?”
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่จางเหวินซึ่งค่อยๆ เดินไปข้างหน้าพลางยกมือลูบท้องด้วย เธอตอบเสียงจริงจัง “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจางเหวินแล้วล่ะ”
“แต่ท้องโตขนาดนี้แล้ว ทำไมเพิ่งรู้ล่ะ?”
ผู้อำนวยการหลานกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อย่าพูดถึงเลย เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานให้ทำ หล่อนจึงพักอยู่ในศูนย์ยุวปัญญาชนทุกวันและไม่มีใครเห็นเลย”
“ส่วนพวกสาวน้อยในศูนย์ยุวปัญญาชนก็คิดว่าหล่อนกินเยอะจนอ้วนขึ้น ใครจะคิดว่าหล่อนท้องล่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “แล้วตอนนี้รู้ได้ยังไงล่ะ?”
ผู้อำนวยการหลานตอบว่า “ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ทางหมู่บ้านได้จัดการอบรมให้ความรู้แก่หญิงคลอดบุตรน่ะ”
สวี่ม่ายซุ่ยพูดว่า “หล่อนนี่ก็ใจกล้าจริงนะ”
คนกลุ่มใหญ่เดินไปที่ลานบ้านพักเจ้าหน้าที่ด้วยท่าทางยิ่งใหญ่ และทันทีที่พวกเขาไปถึงสถานที่นั่งซุบซิบนินทาในลานบ้านพัก คนกลุ่มใหญ่ก็ดึงดูดบรรดาคนขี้นินทาได้ทันที
เนื่องจากลานบ้านพักเจ้าหน้าที่และหมู่บ้านมีความสามัคคีกันอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นพวกเขายกขบวนกันมาแบบนี้
สมาชิกในลานบ้านพักที่มีความกระตือรือร้นย่อมสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ทันที เมื่อมองในขบวนจนทั่วก็เห็นว่ามีสวี่ม่ายซุ่ยอยู่ในนั้นด้วย ทุกคนจึงส่งภรรยาหมาจื่อไปดึงเธอออกมาทันที
เมื่อภรรยาหมาจื่อเข้ามาดึงสวี่ม่ายซุ่ย จังหวะนั้นสวี่ม่ายซุ่ยกำลังคุยกับผู้อำนวยการหลาน เมื่อเธอรู้สึกว่าจู่ๆ มีคนคว้าแขนของเธอไว้ ภรรยาหมาจื่อก็พูดกับผู้อำนวยการหลานแล้วว่า “พี่สะใภ้ ต้องขอโทษด้วย ฉันมีเรื่องจะคุยกับนักบัญชีสวี่หน่อย”
พูดจบแล้วหล่อนก็ดึงสวี่ม่ายซุ่ยออกไป
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองมือที่จับแขนตนอยู่ จากนั้นเธอก็มองภรรยาหมาจื่อที่เดินอยู่ข้างหน้าพลางถามด้วยความงุนงง “มีอะไรเหรอ?”
ภรรยาหมาจื่อพูดว่า “เดี๋ยวอีกสักพักเธอก็จะรู้เอง”
หลังจากดึงคนมาได้แล้ว สมาชิกในลานบ้านพักก็มารวมตัวกันทันทีและถามด้วยความตื่นเต้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่ล่ะ?”
สวี่ม่ายซุ่ยเหลือบมองฝูงชนแล้วตอบด้วยความใจเย็น “ยุวปัญญาชนกำลังตั้งท้องและเป็นลูกของโหวเจิ้น”
เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ฉันรู้ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดี และคราวนี้เขาทำผู้หญิงท้อง งั้นก็รอดูว่าพ่อของเขาจะพูดยังไง”
“ตอนนี้พวกเธอกำลังจะไปขอคำอธิบายที่บ้านเขาเหรอ?”
สวี่ม่ายซุ่ย “ใช่”
“การตั้งครรภ์ของยุวปัญญาชนถือเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องจัดการให้ถูกต้อง”
“จัดการยังไงล่ะ?”
ทันทีที่คำนี้จบลง พี่สะใภ้ที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงเธอมาพูดทันที “จะทำอะไรได้อีกล่ะ ก็ต้องให้รับผิดชอบ ไม่งั้นก็ต้องลากไปทำแท้ง ยังจะถามโหวเจิ้นไปเพื่ออะไร”
“ฉันว่าไม่ได้ผลหรอก เพราะพี่สะใภ้โหวเคยเล่าให้ฟังเรื่องนัดดูตัวของโหวเจิ้น ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะเป็นลูกสาวของเสนาธิการนะ”
“ถ้าเธอขอให้เขามาแต่งงานกับยุวปัญญาชน หล่อนจะเต็มใจเหรอ?”
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะเต็มใจไหม ใครใช้ให้ลูกชายของหล่อนควบคุมร่างกายส่วนล่างไม่ได้ล่ะ”
เมื่อทุกคนพูดด้วยความมีอารมณ์ ร้อนใจ ทันใดนั้นภรรยาหมาจื่อก็พูดว่า “เราอย่ามัวเดามั่วกันที่นี่เลย ถ้าเราไปดูก็จะได้รู้เอง”
ทุกคนได้ยินแล้วมีความกระตือรือร้นทันที จากนั้นก็ติดตามคนกลุ่มใหญ่ไปที่บ้านของรองผู้บัญชาการโหวเพื่อชมเรื่องน่าสนุก
ในฐานะสมาชิกของครอบครัวเจ้าหน้าที่ สวี่ม่ายซุ่ยก็ติดตามไปด้วย
เวลานี้ที่บ้านของรองผู้บัญชาการโหวกำลังคึกคักมาก พี่สะใภ้โหวกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพลางมองสาวน้อยที่นั่งข้างๆ ด้วยใบหน้าใจดี และบางครั้งหล่อนก็จะให้เมล็ดแตงโมกับลูกอมแก่อีกฝ่ายด้วย
ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของหล่อนคือโหวเจิ้นซึ่งทำตัวไม่มีมารยาทเลย
“แกจะมัวนั่งบื้อทำไม ยังไม่รีบรินน้ำให้ซินอี๋อีก”
โหวเจิ้นพยักหน้าแล้วตอบอย่างรีบร้อน “ได้ครับได้”
พูดจบแล้วเขาก็ยืนขึ้นและรินน้ำให้ซินอี๋
ซินอี๋เห็นแล้วอดหน้าแดงไม่ได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของโหวเจิ้นแล้ว พี่สะใภ้โหวที่อยู่ข้างๆ ก็ดีใจมากและพูดติดตลกว่า “ลูกชายของฉันก็งุ่มง่ามมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ เขาได้เจอสาวน้อยแล้วก็เขินมากจนไม่รู้จะทำตัวยังไงน่ะ”
โหวเจิ้นได้ยินแล้วก็หันไปมองพี่สะใภ้โหวด้วยท่าทางเขินอายและพูดติดๆ ขัดๆ “แม่ ทำไมแม่ต้องบอกซินอี๋เรื่องนี้ด้วย”
พี่สะใภ้โหวพูดว่า “ซินอี๋ไม่ใช่คนนอก ในไม่ช้าก็เร็วหล่อนต้องได้รู้อยู่แล้ว”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันด้วยความสนุกสนานอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
แม้พี่สะใภ้โหวจะสงสัย แต่หล่อนก็ยังยืนขึ้นและพูดกับทุกคนว่า “พวกเธอคุยกันไปก่อนนะ ฉันจะออกไปดูว่าใครมาเคาะประตู”
เมื่อเดินออกไปและเห็นกลุ่มคนจำนวนมากยืนนอกลานบ้าน หล่อนก็ยิ่งสับสน และเมื่อเปิดประตูเพื่อมองดูฝูงชน หล่อนก็ขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติและถามด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองเล็กน้อย “มีอะไรกันเหรอ?”
ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสตรี จึงทำให้ผู้อำนวยการหลานเป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นมาพูดกับหล่อนว่า “พวกเรามาหาโหวเจิ้น”
พี่สะใภ้โหวเห็นคนมากมายขนาดนี้มาเยือนและทุกคนดูไม่มีความสุข ใบหน้าของหล่อนจึงมืดมนเรื่อยๆ “โหวเจิ้นไม่อยู่บ้าน พวกเธอค่อยมาวันหลังเถอะ”
ผู้อำนวยการหลานพูดว่า “งั้นมาหาคุณก็เหมือนมาหาโหวเจิ้นนั่นแหละ”
พี่สะใภ้โหวมองไปที่เสื้อคลุมสีน้ำเงินมีรอยปะของผู้อำนวยการหลานด้วยแววตารังเกียจ “คุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายซุ่ยคงเหนื่อย หน้าที่เราอีกแล้ว
กำลังจะแต่งสะใภ้เหรอบ้านโหว จัดการเรื่องยุ่งเหยิงที่เคยทำไว้ก่อนเถอะ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION