ตอนที่ 206 แม่ของเธอไม่เพียงแค่สมองมีปัญหา แต่ยังตาบอดด้วย
สายลับหลินเซียวพบว่าเฉินจินเป่าเป็นคนเห็นแก่กินที่สุดในครอบครัวของเหล่าเฉิน ขอแค่ตราบใดที่ให้ของกินแก่เขา เขาจะบอกทุกเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโดยละเอียด
หลินเซียววางมาดเป็นคนใจดีมีน้ำใจ ทำให้คว้าหัวใจของเฉินจินเป่ามาได้ ตอนนี้เฉินจินเป่าจึงชื่นชมหลินเซียวมากๆ และคอยเรียกเขาว่าพี่เซียวทุกวัน
“นายไปเรียกเฉินจินหมิงมาหน่อยสิ”
เฉินจินเป่าตกตะลึงแล้วพูดว่า “ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลินเซียวตอบรับ “อืม”
เขาพูดแล้วยื่นกุ้งทอดที่เหลืออีกสองตัวในมือให้พลางเร่ง “เร็วเข้าสิ”
เฉินจินเป่าหยิบกุ้งทอดขึ้นมาด้วยความดีใจและถือมันไว้ในมือขณะที่เดินกลับบ้าน แต่ผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาก็ตระหนักเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หันกลับไปมองหลินเซียวแล้วถามว่า “พี่เซียว ผมขอรู้ได้ไหมว่าจะเรียกพี่รองมาทำไมเหรอ?”
หลินเซียวคิดสักพักแล้วตอบว่า “เขารังแกน้องชายฉันน่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบแล้ว เฉินจินเป่าก็ลังเลอยู่สองวินาทีแล้วตอบว่า “พี่เซียว พี่รองของผมแข็งแรงมาก พี่ก็ต้องระวังด้วย”
หลินเซียวตอบรับ “ไม่มีปัญหา”
เฉินจินเป่าได้ยินแล้วก็รีบไปเรียกเฉินจินหมิงออกมา ทว่าก่อนที่จะเรียก เฉินจินเป่าก็รีบกินกุ้งทอดในมือให้หมด เพราะคนในครอบครัวไม่น่าไว้ใจ ต้องยัดอาหารเข้าปากแล้วเท่านั้นถึงจะวางใจได้
“พี่รอง มีคนมาตามหาอยู่ข้างนอกน่ะ” เฉินจินเป่าแอบเข้ามาหาเฉินจินหมิงและพูดด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง
มือของเฉินจินหมิงที่เช็ดเคียวอยู่ก็หยุดชะงัก “ใครเรียกหาฉัน”
เฉินจินเป่าตอบว่า “พี่ออกไปดูก็จะรู้เอง” พูดจบแล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน
เฉินจินหมิงลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็วางเคียวลงแล้วเดินออกไป แต่ทันทีที่เขาออกไปแล้วก็เห็นหลินเซียวรออยู่ข้างประตู
เมื่อหลินเซียวเห็นเฉินจินหมิงเดินออกมา เขาก็พูดด้วยท่าทางเย็นชา “แม่ของฉันให้มาเรียกนายน่ะ”
พูดจบแล้วเขาก็วางมาดองอาจพลางเดินจากไป
เฉินจินหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินตามเขาไป คราวนี้ทัศนคติของหลินเซียวที่มีต่อเขาดีขึ้นมากจริงๆ
“แม่ครับ เขามาแล้ว”
สวี่ม่ายซุ่ยรู้สึกเหมือนจะอาเจียนเพราะสูดควันน้ำมันมากเกินไปจนเลี่ยน เมื่อได้ยินว่าคนมาถึงแล้ว เธอก็รีบเดินออกไปและอาเจียนสองสามที หลังได้สูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอดถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง “เข้ามาสิ ข้างนอกหนาวมากนะ”
พูดจบแล้วก็เดินเข้าไปก่อน
เฉินจินหมิงเดินตามเข้ามาข้างหลัง และทันทีที่เขาเดินมาถึง ก็เห็นถาดที่เดิมทีใช้ใส่ผักทอดนั้นอัดแน่นไปด้วยอาหารทอดแล้ว สวี่ม่ายซุ่ยหยิบจานออกจากตู้ จากนั้นก็หยิบของทอดสองสามชนิดใส่ลงไป “ฉันได้ยินจากฟานฟานว่าเธอเคยช่วยเขามาก่อนหน้านี้ และวันนี้เธอยังช่วยเรากวาดหิมะด้วย”
เฉินจินหมิงพูดว่า “เรื่องเล็กน้อยครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยหยิบจานของกินขึ้นมาและหยิบตะเกียบคู่หนึ่งพร้อมเดินออกไป “ฉันไม่นึกเลยว่าเด็กชายแบบนายจะมีจิตใจสูงส่งขนาดนี้”
“เธอคงไม่ได้กินผักทอดที่นำกลับไปเมื่อครู่แน่ๆ งั้นลองชิมฝีมืออาสะใภ้ดูบ้างสิ”
เฉินจินหมิงมองหมูทอดสีน้ำตาลสวย กุ้งทอดสีสันสดใสและมะเขือยาวยัดไส้ที่มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน เขาจึงอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ แม้เขาจะดูเงียบขรึม แต่ก็ยังเป็นแค่วัยรุ่น เขาถูกจางซุ่ยฮวาเลี้ยงดูไม่ดีและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า เมื่อได้เห็นของกินดีๆ ย่อมมีความตะกละ
เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ยืนนิ่ง สวี่ม่ายซุ่ยก็ผลักเขาไปข้างหน้าอีกครั้ง “ทำไม เธอไม่ชอบฝีมือของอาสะใภ้เหรอ?”
หลังจากที่เฉินจินหมิงกลืนน้ำลายลงคอแล้ว เขาก็กลับมามีเหตุผลอีกครั้ง “แค่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าฝีมือของอาสะใภ้ดีมาก แต่คุณให้ผมเยอะเกินไป ผมรับไว้ไม่ได้”
สวี่ม่ายซุ่ยเพียงมองเขาแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นเด็กผู้มีความนับถือตัวเองสูง เธอจึงมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “งั้นเอาแบบนี้สิ รอเธอกินเสร็จแล้วก็ช่วยฉันทำงานหน่อย”
คราวนี้เฉินจินหมิงจึงยอมรับด้วยความยินดี “ครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยมอบจานของกินให้เขา แล้วจึงหันไปหยิบเจียนปิ่งอีกสองชิ้นจากตู้มามอบให้เขา “แค่นี้จะพอกินอิ่มไหม?”
“พอครับ”
เฉินจินหมิงกัดมะเขือยาวยัดไส้ฝีมือสวี่ม่ายซุ่ยไปคำแรกก็พบว่ามันเป็นไส้เนื้อสัตว์ เขาทนไม่ไหวที่จะกินมันให้หมด เขาจึงใช้เจียนปิ่งมาม้วนห่ออีกที มันจึงกลายเป็นมื้ออาหารดีที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาของเขา และเป็นการส่งท้ายปีที่ดีที่สุดของการมีชีวิตอยู่ สำหรับเขาแล้วถือว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ได้เลย
สวี่ม่ายซุ่ยไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่การที่เธอทำเพื่อเขาขนาดนี้ แท้จริงคือแค่รู้สึกว่าเขาคล้ายกับหลินเจี้ยนเยี่ยกับหลินเจี้ยนจวินไม่น้อย พวกเขาทั้งสองเป็นเด็กในครอบครัวที่ทำงานหนักสุด แต่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด เธอจึงอยากเลี้ยงเขาบ้าง
เพราะยังต้องช่วยสวี่ม่ายซุ่ยทำงาน เฉินจินหมิงจึงรีบกินเร็วมาก ใช้เวลาไม่นานก็กินหมดจาน จากนั้นจึงเห็นเขาเดินออกไปพร้อมกับจานในมือ และเพียงไม่นานเขาก็เดินเข้ามาพร้อมจานที่ล้างสะอาดแล้ว
สวี่ม่ายซุ่ยมองไปที่จานสะอาดในมือของเขาและถามด้วยความสงสัย “เธอใช้อะไรล้าง?”
เฉินจินหมิงหยิบถุงผ้าใบเล็กออกจากกระเป๋า จากนั้นเขาก็เปิดถุงผ้าให้สวี่ม่ายซุ่ยมองข้างใน “ใช้ขี้เถ้าไม้”
สวี่ม่ายซุ่ยถามต่อ “ไปได้มาจากไหน?”
เฉินจินหมิงตอบว่า “จากบนเขา”
เพราะกลัวว่าสวี่ม่ายซุ่ยจะรังเกียจ เขาจึงรีบพูดว่า “ผมทำเอง”
สวี่ม่ายซุ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เธอทำเหรอ? ดูเหมือนว่าเธอจะมีความรู้ไม่เบาเลยนะ”
ทว่าต้องยอมรับตามตรงว่าการได้ฟังคำตอบของเขาช่างทำให้ผู้คนรู้สึกไว้วางใจได้จริงๆ “ไปล้างมือก่อนเถอะ”
เมื่อเฉินจินหมิงได้ยินแล้วจึงเดินออกไปข้างนอก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ล้างมือแล้วเดินกลับมาพลางยื่นมือให้สวี่ม่ายซุ่ยดู
สวี่ม่ายซุ่ย “…”
เมื่อรอให้เฉินจินหมิงเข้ามารับช่วงต่อ และเห็นว่าเขาเปลี่ยนจากประหม่าเป็นผ่อนคลาย เธอก็ค่อยโล่งใจและถอดผ้ากันเปื้อนพลางพูดกับเฉินจินหมิงว่า “เธอสวมซะสิ”
เฉินจินหมิงก้มมองเสื้อผ้าที่มีรอยปะของตนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเห็นสภาพผมแล้วคิดว่านี่ยังจำเป็นอยู่เหรอครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ยปรายตามองเสื้อผ้าของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ไม่จำเป็นจริงๆ” เมื่อพูดจบแล้วเธอก็วางผ้ากันเปื้อนไว้ข้างๆ และเดินไปเติมไฟข้างหลินเซียว
หลินเซียวนั่งนานมากๆ จนเมื่อยล้าเหมือนคนแก่ เมื่อเขาเห็นสวี่ม่ายซุ่ยมานั่งข้างๆ เขาก็รีบวิ่งออกไปเล่นกับหลินฟานทันที
สวี่ม่ายซุ่ยมองเฉินจินหมิงที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แล้วถามเขาด้วยความใจเย็น “เธอทำงานบ้านทุกอย่างเลยเหรอ?”
เฉินจินหมิงตอบว่า “ใช่ครับ”
สวี่ม่ายซุ่ยได้ยินเช่นนั้นจึงแค่นเสียงเย้ยหยัน “ดูเหมือนแม่ของเธอไม่เพียงแค่สมองมีปัญหา แต่ยังตาบอดด้วย”
หล่อนมีลูกชายที่โดดเด่นขนาดนี้อยู่ข้างกายแต่ไม่รู้จักชื่นชมเลย
เฉินจินหมิงได้ยินคำพูดของสวี่ม่ายซุ่ยแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ทำตัวยุ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยได้ยินคำพูดนี้มากี่ครั้งตั้งแต่ยังเด็ก
หลังจากเย้ยหยันจางซุ่ยฮวาและเห็นว่าเฉินจินหมิงไม่พูดไม่จา สวี่ม่ายซุ่ยก็มีสติขึ้นมาทันที เพราะไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ยังไงหล่อนก็เป็นแม่ของเขา การพูดแบบนี้ต่อหน้าลูกชายของหล่อนจะไม่เหมาะสม
“ขอโทษทีนะ ฉันแค่พูดออกไปโดยไม่ทันคิด” สวี่ม่ายซุ่ยขอโทษเขาด้วยความสุภาพ
เฉินจินหมิงก็ตอบแบบไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรครับ”
หลังจากที่เฉินจินหมิงทอดหมูในมือเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นถามสวี่ม่ายซุ่ยว่า “ให้ทอดอะไรอีกไหมครับ?”
สวี่ม่ายซุ่ยพยักหน้าพลางเอ่ย “รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้”
สักพักเธอก็หยิบเต้าหู้ชิ้นใหญ่สองชิ้น กับปลาที่เตรียมไว้สองตัวเข้ามา “แบบนี้นายจะทอดเป็นไหม?”
ในอาหารจานทอดแบบนี้ ต้องมีเต้าหู้ทอดและปลาทอดแน่นอน สำหรับปลาที่ใช้ทำอาหารช่วงปีใหม่จะอร่อยและกรอบมากขึ้น หากทอดเก็บไว้แล้วนำออกมาทอดซ้ำ
“เป็นครับ” เมื่อพูดจบแล้วเขาก็หยิบเต้าหู้ใส่กระทะด้วยความคล่องแคล่ว
สวี่ม่ายซุ่ยมองท่าทางการทำงานอันคล่องแคล่วของเฉินจินหมิง ทันใดนั้นก็อดก่นด่าจางซุ่ยฮวาในใจอีกครั้งไม่ได้ หล่อนสายตามืดบอดจนไม่สามารถแยกแยะความดีและความชั่วได้เลย
หลังจากช่วยสวี่ม่ายซุ่ยทอดปลาเสร็จแล้ว เฉินจินหมิงก็ไม่ได้เกียจคร้านและช่วยเธอเทน้ำมันออกด้วย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดครัวและทำงานนานกว่าสองชั่วโมง
เมื่อมองแผ่นหลังผอมแห้งที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับงานของเขา สวี่ม่ายซุ่ยก็อดใจอ่อนไม่ไหว “เธอมีที่ซ่อนของหรือเปล่า?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จินหมิงดูผ่าเหล่าผ่ากอมาก ใช่ลูกตระกูลเฉินจริงๆ เหรอ
ชิวเฟิง
MANGA DISCUSSION